เที่ยวช้าๆ ต้องมาอังวะ
ในยุคโบราณเมืองหลวงเก่าส่วนใหญ่ของพม่าล้วนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศท่ามกลางบรรยากาศสวยงามริมฝั่งแม่น้ำ อังวะคือหนึ่งในนั้น เพราะเคยเมืองหลวงยาวนานเกือบ 400 ปี เรียกได้ว่ายาวนานที่สุดในราชอาณาจักรพม่า อีกมุมหนึ่งของวัดเก่าในเมืองอังวะ การเดินทางจากมัณฑะเลย์มาอังวะ ระยะทาง 20 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองหลวงเก่าแห่งนี้มีลักษณะเป็นเกาะล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมะยิตแง ทำเลยุทธศาสตร์นี้เองทำให้อังวะถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวง ที่สามารถคุมเส้นทางการเดินเรือเข้าสู่เขตเจ้าเส (Kyaukse) แหล่งปลูกข้าวใหญ่ของพม่า
บนฝั่งอังวะมีรถม้าเทียมเกวียนขนาดเล็กจอดเรียงรายรอนักท่องเที่ยว เกวียนทุกคันจะเทียมม้าเพียง 1 ตัว ตัวเกวียนเป็นไม้เก่าและมุงหลังคาด้วยผ้าใบสีเข้มที่ฝุ่นมีน้ำตาลเกาะเต็ม การเที่ยวในเมืองอังวะนี้เราไม่มีทางเลือกนัก นอกจากรถม้าที่นั่งได้คันละไม่เกิน 2 คน ราคามาตรฐานตอนนี้คือคันละ 10000 จ๊าต (ขึ้นราคาไป1 เท่าตัวจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว) มีจุดแวะชมหลักๆ ก็กำหนดไว้ทั้งหมด 4 จุด เขียนขึ้นป้ายให้นักท่องเที่ยวเห็นกันอย่างชัดเจนและทั่วถึง นั่นคือ เจดีย์ยานาดาซินเม วัดบากายา หอคอยนานมะยิง วัดมหาอังยีบองซาน แต่จริงๆแล้ว นอกจากสถานที่สี่แห่งนี้ เราจะขอให้คนขับหยุดรถเพื่อถ่ายรูปตรงไหนเป็นพิเศษบนเส้นทางก็ได้ทั้งสิ้น
ยืนรออยู่พักหนึ่งรถม้าก็มาถึง คนขับเป็นชายวัยกลางคน พร้อมกับม้าขนาดไม่ใหญ่มาก (เมื่อเทียบกับม้าตัวอื่นๆแถวๆนั้น) ม้าเริ่มออกวิ่ง ผ่านชุมชนอังวะในส่วนที่ที่มีบ้านเรือนของชาวบ้านพักอาศัยกันอยู่หลายหลังคาเรือน เมื่อรถม้าวิ่งลึกเข้าไปบนเส้นทางเลียบแม่น้ำฝีเท้าของม้าเริ่มช้าลงนิดหน่อย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ช้าจนผิดสังเกตนัก คนขับรถม้าสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่มาก คอยแต่ส่งเสียงกระตุ้นเจ้าม้าให้ออกวิ่ง เรียกชื่อเจ้าม้าว่า มาเน่ มาเน่ เป็นเสียงหนักๆ ฉันเลยทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการช่วยเชียร์ม้าด้วยคน หวังว่าเจ้ามาเน่จะมีกำลังใจไม่หยุดวิ่งไปเสีย เสียงกุบกับของเกือกม้ากระทบพื้นดินยังฟังดูแข็งขัน จากที่คาดว่าจะมีเวลาเหลือเฟือไปแวะชมพระอาทิตย์ตกทีสะพานอูเบงก่อนกลับมัณฑะเลย์ต่อในตอนเย็นดูจะฝันสลาย เพราะพบสัจธรรมว่าเจ้ามาเน่นี่เป็นม้าชราผู้น่าสงสารที่ยังต้องทำงานหาเลี้ยงเจ้าของ ทั้งที่แทบจะวิ่งไม่ไหวอยู่แล้ว
แต่กว่าจะรู้ เราก็เดินทางผ่านซากกำแพงเมืองเก่า ลึกเข้ามาในเขตเมืองโบราณของอังวะ ในนี้มีชาวบ้านเข้าไปตั้งบ้านเรือน และล้วนแต่เดินทางกันด้วยรถม้าหรือไม่ก็วัวเทียมเกวียน มีสวนผลไม้กระจายอยู่ทั่วไป ในพื้นที่ลุ่มก็มีการปลูกข้าว มีต้นตาลและต้นหมากมากมาย คนอังวะท่าจะมีหมากไว้เคี้ยวกันอุดมสมบูรณ์ แต่ละคนล้วนแต่ปากแดงสดใส ทิวทัศน์เมืองสะกายมองจากหอคอยอังวะ ศูนย์กลางของอารยธรรมพม่าแห่งนี้หลงเหลือวิญญาณของความเป็นเมืองหลวงเก่าอยู่ในบรรยากาศ หากแต่ซากอารยธรรม ในรูปของสถาปัตยกรรมหลวงนั้นมีหลงเหลือน้อยมาก กษัตริย์พม่าชอบย้ายเมืองหลวง ประเพณีนี้ดูจะสืบเนื่องมาแม้ในยุคสมัยใหม่ที่ยังคงย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปที่เนปิดอย์
แม้อังวะจะเป็นราชธานีพม่ามายาวนาน ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 14 จนถึงศตวรรษที่ 18 แต่เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงไปอมรปุระ พระเจ้าปะดุงได้รื้ออังวะเดิมลงเพื่อสร้างเมืองหลวงใหม่ ครั้งพระเจ้ามินดงย้ายเมืองหลวงไปที่มัณฑะเลย์ก็มีการรื้อเรือนไม้ในอังวะที่เหลืออยู่ไปใช้อีก กำแพงเมืองเดิมก็ถูกอังกฤษรื้อไปเช่นกัน อังวะในวันนี้จึงไม่หลงเหลืออะไรให้ชื่นชมมากมายนัก บริเวณทางเข้าวัดบากายา จุดแวะแรกคือวัดบากายาที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง วัดนี้สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2377 ในสมัยพระเจ้าพะคยีดอว์ หรือพระเจ้าจักกายเมง กษัตริย์องค์ที่ 7 ของราชวงศ์คองบอง ภายในวัดนี้มีเสามากถึง 267 ต้น ฝีมือและลวดลายการสลักไม้ในวัดบากายานี้ถือว่าล้ำค่ามากเมื่อเทียบกับวัดอื่นใดในพม่า รวมทั้งครุฑยุดนาค แบบเหมือนฝีมือช่างอยุธยา วัดแห่งนี้ยังไม่ได้รับการบูรณะ ดังนั้นหากใครอยากเห็นวัดไม้ขนาดใหญ่ฝีมือดั้งเดิมให้รีบไปเยือนเสียโดยเร็ว เมื่อเดินเข้าไปภายใน ก็จะเห็นเสาต้นมหึมาสูงลิบลิ่ว เสาต้นที่สูงที่สุดวัดได้ 60 ฟุต และ9 ฟุตโอบ ด้านในมียกพื้นไม้ขึ้น เป็นส่วนของพิธีกรรม ส่วนของพระสงฆ์ก็จะอยู่ด้านข้าง ตอนนี้มีโต๊ะนักเรียนไม้หลายสิบตัวตั้งอยู่ และมีพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งสงบอยู่ด้านใน ไม่ได้ใส่ใจผู้คนที่เข้ามาเที่ยวชม วัดบากายายังคงความดั้งเดิมที่ไม่ได้ผ่านการบูรณะใดๆ
จากวัดบากายา เรามาแวะที่วัดยานาดาซินเม เป็นวัดสวยที่เหลือแต่ซากอิฐ ไม่มีการฉาบปูนปิดทับ มีเจดีย์รูประฆังคว่ำอยู่ตรงกลางลาน มีเด็กวิ่งเล่นกันสนุกสนานในลานวัด จากนั้นเจ้าม้าก็พาเรามุ่งหน้าผ่านทุ่งนาเข้าไปสู่หอคอยนานมยิน (Nanmyin) บางคนชอบเรียกว่าหอเอนอังวะ ซึ่งชื่อเสียงอาจไม่ดังเท่าที่หอเอนปิซ่า มีความสูงเพียง 27 เมตร แต่ก็เอนเหมือนๆกัน
พระพทุธรูปองค์ใหญ่ที่เจดีย์ยานาดาซินเม เด็กๆ-เล่นกันในวัด ในระหว่างเส้นทางกลับ ม้าแทบไม่มีแรง เส้นทางล้อมรอบไปด้วยเรือกสวนไร่นาสุดสายตา ม้าวิ่งมาจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน และมาจอดรถลงหน้าวัดวัดมหาอังยีบองซาน หรือหลายคนเรียกว่า เมห์นู อ๊อกคยัง อันมาจากชื่อของพระนางเมห์นู มเหสีของพระเจ้าพะคยีดอว์ ผู้เป็นยายของพระนางศุภยลัต พระราชินีองค์สุดท้ายของพม่า ส่วนอ๊อคยังหมายถึงวัดที่สร้างด้วยปูน
วัดมหาอังยีบองซาน-จุดแวะสุดท้ายที่เมืองอังวะก่อนกลับ
วัดใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยปูนตามแบบโครงสร้างไม้ดั้งเดิมที่พังทลายลงในในช่วงแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 2381 โครงสร้างดั้งเดิมนั้นว่ากันว่าสวยอลังการมาก มีหอสวดมนตร์ที่มีหลังคาซ้อนสูงมากมายถึง 7 ชั้น ในดูรอบๆในยามเย็น พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน เพราะการเดินทางของเราช้ากว่านักท่องเที่ยวคนอื่นมากๆ ฉันไม่อ้อยอิ่งในวัดนี้มากนัก เดินไปรอบๆวัดและรีบกลับมาขึ้นรถม้า
จากนั้นไม่เกิน 15 นาทีเจ้ามาเน่ก็พาเราก็กลับมาถึงยังจุดเริ่มต้น และได้เวลารีบวิ่งไปที่ท่าเรือ ดูนาฬิกาบอกเวลา 6 โมงเย็น เพื่อรอเรือลำสุดท้าย
บรรยากาศเงียบสงบยามเย็นที่ท่าเรืออังวะ
ท่าเรือบนฝั่งตรงข้ามเมืองอังวะบรรยากาศเงียบสงบ ไม่มีรถแท็กซี่ ไม่มีเด็กมารุมขายของ ไม่มีใครเลย จึงทำใจเริ่มออกเดินเท้า ระยะทางไปถึงถนนใหญ่ดูจะราว 1 กิโลเมตรนิดๆ ฉันเดินไปช้าๆ ชมบรรยากาศเย็นย่ำยามพลบค่ำ
[gallery ids="891,890,889,888,877,868"]
โชคดีที่มาถึงปากทางเจอรถสองแถวจอดอยู่ ผู้โดยสารล้นคันรถ ฉันไม่สนใจความแน่นและแทรกตัวเข้าไปนั่งบนพื้นรถด้านใน ส่วนเพื่อนอีกคนโหนต่องแต่งโต้ลมอยู่ท้ายรถ จุดหมายเราคือการลงรถสองแถวตรงร้านข้าวแกงริมถนนหน้าตลาดเซโฉ่ ที่ขายอาหารพื้นบ้านแสนอร่อยที่เพิ่งไปอุดหนุนมาเมื่อวานเย็นนั่นเอง
พาหนะเรือโดยสารสำหรับชาวเมืองอังวะและนักเดินทางทุกคน
ซากปรักของเจดีย์ยานาดาซินเม
การเดินทาง
อังวะเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่ไปเยือนมัณฑะเลย์ หลายคนทำทริปหนึ่งวันไปทั้ง อังวะ มิงกุน อมรปุระ และสะกาย- วิธีแรกที่ง่ายรองจากการไปเที่ยวกับทัวร์ คือการเหมาสองแถวให้พาไปให้ครบทุกแห่งในวันเดียว
- วิธีสองคือการขึ้นรถสองแถวพื้นเมืองหน้าตลาดเซโจ และค่อยๆเดินทางแบบ Slow ไปตามสภาพ อังวะจะอยู่ฝั่งซ้ายมือก่อนที่รถจะข้ามสะพานไปเมืองสะกาย
- วิธีที่สามคือการเช่าจักรยานในเมืองมัณฑะเลย์และขี่ออกไปตามเส้นทางหลัก ระยะทางจากมัณฑะเลย์-อังวะ 20 กิโลเมตร ระหว่างทางจะแวะเที่ยววัดพระมหามัยมุนี และขับรถเล่นบนสะพานอูเบ็งที่เมืองอมรปุระได้อีกด้วย