7 ข้อต้องรู้ ก่อนไปเทรคกิ้งเนปาล
ใครๆก็อยากไปลองเทรคกันดูสักครั้งที่เนปาล เดินเล่นชมภูเขา เต็มอิ่มกับวิวหิมาลัยแบบสุดสายตาจรดขอบฟ้า แต่การเดินทางสายนี้ก็ต้องแลกด้วยความอึดแบบเล็กๆ ของการเดินยาวๆ แต่การเดินไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การท่องเที่ยวแบบเดินภูเขาของประเทศเนปาล เรียกได้ว่าอยู่ในระดับห้าดาว ห้าดาวนี้ไม่ได้แปลว่าหรูหราหรอกนะ แต่ครบครันที่สุดเท่าที่จะมีได้ (สะดวกกว่าอินเดียเพียบละ) อาหารการกินหลากหลาย มีที่นอน มีน้ำร้อน มีไฟฟ้า แถมมีไวไฟให้อัพรูปได้ตลอดเส้นทางอีกต่างหาก
1. ไปเมื่อไร กรุงเทพก็ร้อนพอแล้ว ถ้าเราจะไปเที่ยวซะหน่อย ก็น่าจะเลือกไปในช่วงอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวโหดร้ายและอย่าไปหน้ามรสุมหากไม่ชอบเดินเทรคกลางฝน ถ้าว่างช่วงต้นปี ช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคมน่าเดินทางที่สุด เพราะฤดูหนาวเพิ่งสิ้นสุดลง อากาศบนภูเขากำลังหนาวแบบสบายๆ อีกช่วงที่พีคสุดขีด ก็คือช่วงปลายปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก โดยเฉพาะชาวจีนนักผจญภัย ที่ฮิตไปเทรคเนปาลกันเหลือเกิน แต่ต้องยอมรับว่าช่วงนี้อากาศดีจริงๆ เส้นทางเดินยอดนิยมก็จะแน่นมากๆ ราวกับตลาดนัดสวนจตุจักร หากใครไม่เกี่ยงเรื่องอากาศ เดินทางช่วงปลายกันยายนก็จะพบกับความเงียบสงบ แลกกับฝนช่วงปลายฤดูมรสุมแวะเวียนมาทักทายเป็นระยะๆ และอาจจะทำให้เที่ยวบินจากกาฐมาณฑุสู่เมืองลุคลา เพื่อเดินเทรคเส้น Everest base camp แปรปรวนได้บ้าง บางครั้งอาจถึงขั้นลุ้นระทึกระหว่างเที่ยวบินจากสภาพอากาศ ยิ่งถ้าใครชอบแบบหนาวโหดๆ ไปช่วงมกราถึงกุมภาก็ได้ รับรองว่าคุณจะเดินอย่างสงบตลอดเส้นทาง
2. ไปกับใคร เรื่องนี้เกี่ยวพันกับการกิน การนอน การเดิน การใช้ชีวิตบนภูเขา แน่นอนว่าเราไปกับเพื่อน ใครก็ได้ที่ว่างตรงกันและเกิดตกลงกันไว้ว่าจะไปด้วยกัน จะให้ดีที่สุดคือ คนๆนั้นจะเดินกับเราไปตลอดเส้นทาง มีระดับความฟิตของร่างกายพอๆกัน และมีศีลเสมอกัน เช่น ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดบนหิมาลัย ไม่เดินมึนๆ จนหลงหายไป ไม่วิ่งแข่งขึ้นภูเขาให้อาการแพ้ความสูงถามหา ไม่บอกทุกคนว่าโอเค ทั้งๆป่วยจนเดินไม่ไหว และในที่สุดต้องเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับกลางภูเขา กินนอนได้ง่ายๆ พอประมาณ หรือสนุกกับการปรับตัวกับอาหารและที่นอนใหม่ๆได้ รื่นรมย์กับสภาพแวดล้อมจนเพ้อเจ้อไปเลยยิ่งดี จะได้เดินหัวเราะกันลั่นภูเขา
3.ไปอย่างไร ง่ายที่สุดคือการซื้อตั๋วเครื่องบินจากรุงเทพ ไปกาฐมาณฑุ ที่น่าใช้บริการที่สุดคือการบินไทย รองลงมาคือเนปาลแอร์ไลน์ ส่วนแอร์เอเชียจู่ๆก็เลิกเที่ยวบินตรงซะงั้น ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ทำให้เสียเวลาเกินไป นอกจากจะจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ถ้าใครจะหาคนจัดการการเดินเทรคให้ ก็ติดต่อบริษัททัวร์ท้องถิ่นไว้เลย ตกลงราคากันให้เรียบร้อย ทุกอย่างยืดหยุ่นได้หมด เริ่มจากแจ้งช่วงเวลาเดินทาง จำนวนคนเดินทาง จำนวนวันที่จะเดินเทรค หากอยากได้ลูกหาบมาช่วยแบกเป้ที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่เอาไกด์ก็ได้เหมือนกัน ลูกหาบมีหน้าที่จะมาช่วยเราแบกสัมภาระใบใหญ่ให้ แต่ระหว่างการเดินนั้นเราต้องแบกเป้ส่วนตัวเอง ค่าบริการที่ว่านี้จะเหมารวมอาหารและที่พัก หรือไม่รวมก็ได้ ถ้าไม่รวมแปลว่าเราจ่ายเองในระหว่างการเดินทาง ถ้าไม่บอกให้ชัดเจนเขาจะคิดราคาเหมาให้เรามาเลย หากใช้บริษัททัวร์ ส่วนใหญ่เขาจะแนะนำที่พักที่กาฐมาณฑุให้เลย พร้อมมีรถมารับที่สนามบินด้วย สบายดี หากไม่ใช้บริการนี้ เราก็อาจจะเดินเอง แบกเป้เอง หรือว่าจ้างลูกหายเองโดยตรงแบบ DIY ก็ได้เหมือนกัน เส้นทางเทรคยอดนิยมในเนปาล มีป้ายบอกเส้นทางชัดเจน ไม่ง่ายที่จะเดินหลง
4. ไปเทรคเส้นไหน เส้นทางท่องเที่ยวเทรคกิ้งในเนปาลมีอยู่เยอะแยะ ที่ยอดนิยมก็ได้แก่ ปูนฮิลล์ (Poon Hill) เส้นรอบอันนาปุรณะ (Annapurna Circuit) อันนาปุรณะและมัจฉาปูชเรเบสท์แค้มป์ (ABC/MBC) และ เอเวอร์เรสเบสแค้มป์ (EBC) เส้นยอดฮิตรองลงมาก็เช่น มุสตังเหนือ (Upper Mustang) มานัสลู (Manaslu) ลังตัง (Langtang) เส้นทางทั้งหมดนี้ไม่มีลำดับชั้นอะไรเลย มือใหม่หรือมือเก่าสามารถเลือกไปได้อย่างเท่าเทียมกัน ระยะเวลาการท่องเที่ยวน่าจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเสียมากกว่าความยากง่ายของเส้นทาง เพราะ Time is the ultimate luxury เส้นทางอย่างปูนฮิลล์และเส้น ABC/MBC เดินไม่ยาก เต็มไปด้วยบันไดขึ้นลงเป็นระยะทางยาวๆ แถมเป็นเส้นทางที่ใช้เวลาไม่นาน หากใครพักร้อนราวๆ 1 อาทิตย์ก็เร่งเดินเส้นนี้พอไหว หรือไม่ก็เดินเส้นสั้นๆ ของลังตังก็ได้ หากหรูขึ้นไปอีก คือมีเวลาสัก 12 วันขึ้นไป มีลุ้นไปเส้นรอบอันนาปุรณะ หรือ EBC หากมี 2 อาทิตย์ขึ้นไป ก็ไปเส้นมานัสลู หรือไปเส้น EBC แถมด้วยข้ามเขาไปเที่ยวทะเลสาป หรือหากมีทั้งเวลาและมีเงินเหลือๆ ไปเดินมุสตังเหนือ ดินแดนทะเลทรายของเนปาล ที่ต้องเสียค่าผ่านทางเพิ่มอีกวันละ 50 ดอลลาร์ รับรองว่าสวยลืมไม่ลง หรือหากมีเวลาสักเดือน ให้อ่าน The Snow Leopard ของ Peter Natthiessen และไปโดลโปเหนือ (Upper Dolpo) ให้โลกลืมเราสักพัก
5. จัดกระเป๋ายังไง กระเป๋าเป้เดินทางแบบสะพายหลังน่าจะสะดวกที่สุดเพราะใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ แต่ด้วยอากาศที่สุดขั้วของดินแดนแถบนั้น หลายคนเลือกจะใช้กระเป๋ากันน้ำทรงกระบอก วัสดุที่ทนทานสุดๆ ทื่นิยมมากก็คือกระเป๋ารุ่น Base Camp Duffel ของยี่ห้อ North Face ส่วนของที่จะใส่ในกระเป๋า หัวใจสำคัญคือเรื่องขนาดและน้ำหนัก สิ่งที่เน้นคือเสื้อผ้าที่น้ำหนักเบาๆ แพคได้เล็กๆ ซักแล้วแห้งได้ยิ่งเร็วยิ่งดี การเดินทางไปเผชิญอากาศระดับ 0 องศาหรือติดลบบนภูเขาไม่ได้แปลว่าจะต้องแบกแต่เสื้อหนาวหนาหนัก ส่วนใหญ่สภาพอากาศเวลากลางวันมักจะเจอแดด ฝน สลับกันไป บางวันที่ไร้เมฆ แสงแดดอาจจะแรงจัด การเดินขึ้นลงเขาตลอดวันก็น่าจะสวมเสื้อยืดที่ระบายเหงื่อได้ดี ที่เคยใช้แล้วดีมากทั้งสภาพอากาศหนาวและร้อนบนภูเขาคือ เสื้อยืดผ้า wool เนื้อบางๆ และแจ็กเกตผ้าฟลีทสักตัวก็เพียงพอ ส่วนเสื้อกันฝนก็ต้องเตรียมไว้ระหว่างวัน ส่วนในเวลาเย็นค่อยเป็นเวลาที่จะใช้เสื้อตัวอุ่น ซึ่งก็อาจจะเป็นเสื้อขนเป็ดที่พับแล้วเหลือก้อนนิดเดียว หากเดินในอากาศหนาวมาก วิธีที่ทำให้อุ่นคือการหา baselayer ดีๆ สักตัว ที่หลายคนนิยมใช้คือ heat tech และที่ขาดไม่ได้คือรองเท้าที่ทนทานแสนสาหัส ที่จะอยู่กับเราตลอดเส้นทางโดยไม่บีบ ไม่กัด ไม่พัง ไม่แหก หากอยากได้เสื้อผ้าและรองเท้าเทรคราคาโอเค ร้านดีแคทลอน (Decathlon) มีให้เลือกเยอะ หรือร้านเล็กๆ ก็อีกมากมาย หากอยากได้แบรนด์ใหญ่ๆ ในบ้านเรามี North Face, Columbia และ Montbell เลือกตามกำลังเงินกันเลย หากเตรียมตัวไม่ครบจริงๆ ขาดเหลืออะไรไปเก็บตกได้ที่ย่านทาเมล Thamel ในกาฐมาณฑุ มีสินค้าเทรคทุกชนิดให้เลือกอย่างเมามัน แบบว่ามีแล้วก็อยากซื้ออีก มีหมดทุกรูปแบบทั้งของจริง และของปลอมที่ดูไม่เหมือนของจริง 6. เดินอย่างไรไม่ให้แพ้ความสูง อันที่จริงการเดินช้าๆ บนภูเขาไม่ได้ทำให้เราแพ้ความสูง เพราะร่างกายค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับระดับของออกซิเจนที่เบาบางลงทีละน้อยๆ อย่ากระโดดเริงร่าบนภูเขาเหมือนในนางเอกหนังแขกในระหว่างที่ร่างกายกำลังปรับสภาพ ระหว่างทางควรจะดื่มน้ำเยอะๆ แต่ละวันค่อยๆไต่ระดับไปทีละนิด หากเราขึ้นที่สูงมากไป ร่างกายจะสำแดงอาการ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง นอนไม่หลับ เหนื่อย หายใจเร็ว หากมีการพักสักวันสองวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว อาการก็จะหายไป ทางทีดีควรจะหัดสังเกตอาการของตัวเอง หากรู้สึกผิดปกติให้หยุดพักการเดิน ก่อนการเดินทางเราจะต้องศึกษาเส้นทาง และส่วนใหญ่จะมีการบอกความสูงจากระดับน้ำทะเลของแต่ละเมืองเอาไว้ เช่น หากบินจาก กาฐมาณฑุที่ระดับความสูง 1,400 เมตร ไปยังเมืองลุคลาที่ 2,860 เมตร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินลงไปยังเมืองฟักดิง ที่ระดับ 2,610 เมตร เพื่อพักค้างคืน ก่อนจะเดินขึ้นไปยังนัมเชบาซาร์ ที่ 3,440 เมตร เพื่อปรับร่างกายอีก 2 คืน ก่อนจะเดินสูงขึ้นๆ บนเส้นทาง EBC หากเรามีเวลาให้ร่างกายปรับตัวเองได้ดีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ความสูง
7. บนภูเขามีอะไรให้กิน เรื่องกินเรื่องใหญ่ ... หลายคนคิดสาระตะอย่างดีก่อนไปเทรค ว่าจะต้องเตรียมอาหารส่วนตัวอะไรไปบ้าง บางทีขนใส่กระเป๋าไปมากกว่าเสื้อผ้าเสียอีก ครั้นพอออกเดินทางจริง พบว่ากลับกินอาหารตามร้านระหว่างเส้นทางได้เอร็ดอร่อยเป็นอย่างมาก แถมมีตัวเลือกเยอะอยู่ ตั้งแต่อาหารพื้นเมืองที่โด่งดังอย่าง ดาลบัต - อาหารถาดประจำชาติของเนปาล ที่ชาวบ้านเขากินกันทุกมื้อ นอกจากนั้นยังมี ข้าวผัด บะหมี่น้ำ ไข่เจียว พิซซ่า สปาเกตตี้ และอีกมากมาย รสชาติอาจจะไม่ได้มาตรฐานชาวไทย เมนูของแต่ละร้านมักจะใกล้เคียงกัน แต่ฝีมือการปรุงแตกต่างกันอยู่ หากสั่งสปาเกตตี้ สิ่งที่ได้จะมีรสชาติประมาณหมี่เจผัด ส่วนบะหมี่สำเร็จรูปใส่ผักก็มีน้ำซุปร้อนๆและรสชาติผงชูรสทีคุ้นลิ้น ทุกอย่างอาจจะมีรสชาติที่แปลกและแตกต่าง เอาเป็นว่าน้ำพริกเผ็ดๆ ที่พกใส่กระเป๋าไปช่วยสร้างสีสันให้มื้ออาหารได้แน่นอน
ส่วนราคาอาหารนั้นก็จะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูง จากราคาน้ำดื่มขวดละ 80 รูปีในช่วงแรกๆ เมื่อเดินไปที่ระดับความสูงเกิน 3500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ราคาก็จะขึ้นไปได้ถึงขวดละ 300 รูปี เมนูอื่นๆก็เช่นกัน ยิ่งสูงยิ่งโหด เพราะทุกอย่างต้องขนส่งขึ้นไปจากพื้นราบ วิธีการขนส่งคือการใช้ลูกหาบพื้นเมืองเดินแบกขึ้นไป รวมทั้งใช้แรงวัวควาย และจามรีขนขึ้นไปให้นักท่องเที่ยวได้กินอยู่กันอย่างไม่อดอยาก และทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวของเนปาลดำเนินต่อไป...