สวทช. พลิกกลยุทธ์การทำวิจัย S&T ใหม่ เน้นการใช้ประโยชน์จริงมากกว่าวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ
แม้ว่าการวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทุกด้าน แต่เราก็ได้ยินคนตั้งคำถามว่า มีผลงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐ และอุดมศึกษาถูกนำไปใช้ประโยชน์มากแค่ไหน ทำให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นขุมพลังหลักในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ประกาศปรับระบบนิเวศวิจัยแบบใหม่ โดยมุ่งเน้นการวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ มากกว่าการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ

หลังจากครบวาระแรกใน 3 ปีที่ผ่านมา และได้รับแต่งตั้งให้นำทัพ สวทช. เป็นวาระที่ 2 นับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้วางแนวทางพลิกกระบวนทัศน์งานวิจัย โดยเปลี่ยนการขับเคลื่อนด้วยตัวชี้วัด มาเป็นผลกระทบที่จับต้องได้ ซึ่งจะต้องปฏิรูปกระบวนการทำงานภายในของทั้ง 5 ศูนย์วิจัย รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของนักวิจัยใหม่ด้วย
ดร.ชูกิจ บอกว่า หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสวทช. ยุคใหม่ คือ การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน จากเดิมที่ career path ของนักวิจัยจะเน้นความเลิศในเรื่องที่ตัวเองถนัดหรือสนใจ เมื่อเรียนจบปริญญาเอกด้านนี้มาก็จะทำด้านนี้ต่อ แต่แนวทางใหม่ สวทช. จะเปลี่ยนการเลือกโจทย์ทำวิจัย โดยการเลือกเรื่องจากปัญหาของประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เลือกจากสิ่งที่อยากทำ และต้องละทิ้งความเชื่อที่ว่า ความสำเร็จของงานวิจัยคือการได้รับการตีพิมพ์ หรือจดสิทธิบัตร หากแต่นักวิจัยที่เก่ง หมายถึงคนที่เอง S&T (Science and Technology) มาใช้ได้จริงในวงกว้างทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และประชาสังคม ซึ่งต้องอาศัยหลายปัจจัย เพราะถ้าไม่มีการขยายผลไปถึงประชาชนและผู้รับประโยชน์ งานวิจัยก็จะถูกเก็บเอาไว้ชื่นชมกันเองกับผลงานทางวิชาการเท่านั้น
ปักหมุด 12 สมรภูมิหลัก
สวทช. ยังมุ่งผลักดันงานวิจัยใน 12 battles โดยเริ่มต้นจากปัญหาของประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ และร่วมกับพันธมิตรสำคัญในการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น
การวิจัยและพัฒนาใน 12 battles ได้แก่ นวัตกรรมการผลิตสารสกัดมูลค่าสูง (นำร่องด้วยกระชายดำ, บัวบก, กะเพรา), แพลตฟอร์มอาหารฟังก์ชั่นและส่วนผสมฟังก์ชั่น (FoodSERP), ทุ่งกุลาม่วนซื่น, แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง (Traffy Fondue), แพลตฟอร์มผู้พิการและผู้สูงอายุ, ตัวชี้วัดและฐานข้อมูล Co2, CE, SDGs, อุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียว, บริการการแพทย์ดิจิทัล, ชุดตรวจโรคไตและเบาหวาน, วัคซีนสัตว์, ระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ (National AI Ecosystem), และ ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ซึ่งมีบทบาทสำคัญทั้งในมิติสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพึ่งพาตนเอง การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
Traffy Fondue เป็นหนึ่งในผลงานเด่นที่มีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระบบนิเวศการบริหารจัดการเมืองที่ใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน ปัจจุบันถูกนำไปใช้แล้วใน 29 จังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมประชากรกว่า 30-37 ล้านคน และมีส่วนราชการร่วมใช้งานกว่า 19,228 หน่วยงาน รวมทั้งช่วยรับมือสำคัญในภาวะวิกฤต เช่น การแจ้งรอยร้าวอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุทกภัย และการแจ้งเบาะแสต้นตอของฝุ่น PM2.5
แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล Digital Healthcare มีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 7.8 ล้านคน และมีหน่วยงานเข้าร่วมแล้ว 8,441 และเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมต่อประชาชนกับหน่วยบริการปฐมภูมิใกล้บ้าน ช่วยลดภาระของโรงพยาบาลขนาดใหญ่และสนับสนุนนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพลตฟอร์ม Food SERP แพลตฟอร์มส่วนผสมฟังก์ชัน อาหารและเวชสำอาง มีการผลิตนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ 47 รายการ สร้างการลงทุน 318 ล้านบาท สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ 4,853 ล้านบาท และมีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 13,000 ล้านบาท
ขณะที่แพลตฟอร์ม Industry 4.0 Platform เพื่อเพิ่มคุณภาพการผลิต โดยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร ซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมใช้งาน Thailand i4.0 Check up จำนวน 917 ราย มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี Smart Factory สู่สถานประกอบการ 117 แห่ง และพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ของไทยให้มีระดับความพร้อมถึง 9 กลุ่มอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ทำการวิจัยและพัฒนาโครงการใหม่ (Pre-battles) ที่จะยกระดับเป็นโครงการหลักในอนาคต ได้แก่ พืชผักสมุนไพรเกษตรอัจฉริยะ, ธนาคารอาหาร, BCG-area based 5 จังหวัดนำร่อง, Thai School lunch, ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์พลาสติก, พลังงานสะอาด, Inno-agro industry, การพัฒนาเทคโนโลยี Carbon capture and utilization (CCU, การพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม, นวัตกรรมเพื่อการศึกษา, เครื่องมือแพทย์ฝังในสำหรับรักษาโรคกระดูกและข้อ, และการบริการการแพทย์แบบแม่นยำ
ปัจจุบัน สวทช. มี 5 ศูนย์วิจัย ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาสร้างความสามารถเทคโนโลยีฐานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ, ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) พัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) พัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์, ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) พัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี, และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ