Finding Marimo....ไปดูตะไคร่น้ำที่ฮอกไกโด
ทริป 7 วันที่ฮอกไกโดที่มีไฮไลท์เป็นตะไคร่น้ำ Marimo ตัวเป็น ๆ
การไปเยือนฮอกไกโดครั้งที่สองของฉัน จุดมุ่งหมายคือ "Lake Akan" ที่มี Moss Ball หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า "Marimo" ...ที่จริงแค่ตะไคร่น้ำ ทำไมต้องถ่อไปดูถึงฮอกไกโด... ฉันว่ามันน่ารักดีออกค่ะ เป็นตะไคร่น้ำลูกกลม ๆ แล้วที่ทำให้ฉันทึ่งคือ มันสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ มีอายุเป็นสิบ ๆปี ทั้ง ๆ ที่ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาว!
Day One
เรา (ดิฉันและคุณชายข้างกาย) ไปกับทัวร์ ซึ่งมีแค่สองเจ้าที่มีไป Lake Akan ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมงครึ่งจากไทเปถึงสนามบินนิวชิโตเสะ แล้วนั่งรถต่อไป Tomamu Resort เป็นรีสอร์ทที่มีครบทั้งเล่นสกี กอล์ฟ แช่น้ำแร่ ขึ้นบอลลูนกระเช้า แถมมีหาดในร่มให้ได้เล่นน้ำได้ตลอดปี ภายในรีสอร์ทมีรถบัสวิ่งรับส่งตามที่ต่างๆ เราไปถึงก็ไปแช่น้ำแร่ก่อนเลย เป็น outdoor ห้ามถ่ายรูปในนั้น นั่งแช่น้ำแร่ ดูวิวต้นไม้ภูเขาเขียวชอุ่มพักสายตา
แช่น้ำแร่เสร็จก็มากินมื้อเย็นกัน ในรีสอร์ทมีหลายภัตตาคารให้แขกเลือก เราได้คูปองราคา 3800 เยน ถ้าเรากินเกินกว่านั้นต้องจ่ายส่วนต่างเอง เราเลือกกินบุฟเฟต์ที่ราคาคนละ 3800 เยนพอดี อยากกินอะไรก็เลือกกินได้ตามใจชอบ กินเสร็จได้เวลาเดินไปดู "Chapel on the water" เป็นโบสถ์กลางน้ำที่ใช้จัดพิธีแต่งงาน สวยจนอยากจัดพิธีแต่งอีกสักรอบ มีงานเลี้ยงเล็กๆที่สวนด้านข้าง เฮ้อ! เพ้อเลย แล้วก็ได้คูปองสำหรับนั่งกระเช้าขึ้นไปบนเขาเพื่อดูทะเลเมฆหมอกตอนเช้าวันรุ่งขึ้นด้วย เห็นว่าขึ้นอยู่กับโชคค่ะว่าจะได้เห็นทะเลเมฆหรือเปล่า เราสองคนขอเสี่ยงโชคพรุ่งนี้รึกัน
Day Two
รุ่งขึ้นตื่นกันตั้งแต่ตี 4 กว่า ลงมาถึงหน้าตึก โอ้โฮ! คนญี่ปุ่นยืนรอรถบัสแถวยาวแล้วอ่ะ เราก็ไปต่อแถวกะเค้ามั่งสิ ไปถึงที่ขึ้นกระเช้าตี 5 ต่อแถวรอขึ้นกระเช้าอีก 1 ชั่วโมง หนาวก็หนาว หมดสภาพสิคะอาคุงนายฮวง! ฉันเลยไม่ลงจากกระเช้าที่สถานีปลายทาง นั่งกลับลงมาเลยเพราะคิดว่าไม่สามารถต่อคิวรอตอนขากลับแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ปล่อยคุณชายเธอลงไปคนเดียวละกัน เพราะดูสภาพท้องฟ้าแจ่มใส คงไม่มีทะเลเมฆให้ดูแล้วล่ะ
กินข้าวเช้าเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางสู่เป้าหมายการชม Marimo ของฉัน "Lake Akan" เย้ๆๆๆ วันนี้ไกด์บอกแล้วค่ะว่านั่งรถกันนานหน่อยเพราะอยู่ไกลพอควร ถ้าขับแบบไม่แวะก็ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่มาทัวร์นี่คะ ก็มีการแวะดูโรงไวน์ ตลาดปลา และ Kushiro shitsugen National Park ในระหว่างทางซะนิดนึง อารมณ์ประมาณดูการแสดงเปิดม่านรอโชว์เด็ด
ในที่สุดก็มาถึงทะเลสาบ Akan เป้าหมายของฉัน พอดีว่าเรามาถึงทันเวลาเรือชมทะเลสาบรอบสุดท้ายพอดี เลยลงเรือเพื่อไปชมเจ้าตะไคร่น้ำกะลุกปุ๊กของฉัน ที่ท่าเรือมีเจ้า Marimo ใส่ขวดขายเป็นของที่ระลึกนักท่องเที่ยวด้วย
เราวางแผนไว้ว่ากินข้าวเย็นเสร็จ ออกมาเดินย่อยอาหาร ชมร้านรวงหน้าโรงแรมและถนนที่เป็นร้านค้าของชนพื้นเมือง - ไอนุ จากนั้นค่อยกลับโรงแรมแช่น้ำแร่กัน เราติดใจร้านค้าของชาวไอนุ เพราะแต่ละร้านตกแต่งด้วยงานแกะสลักไม้สวยๆ ทางเข้าถนนมีนกฮูกตัวเบ้อเริ่มแกะได้สวยจริง
Day Three
ตื่นแต่เช้าไปแช่น้ำแร่ให้หายหนาวอีกสักรอบก่อน แล้วค่อยมานั่งละเลียดอาหารเช้าพร้อมชมวิว "Lake Akan" ไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวัยหรือว่าเพราะเดินทางมาแล้วหลายทวีป เดี๋ยวนี้ฉันชอบเที่ยวแบบธรรมชาติมากกว่าจะไปเมืองใหญ่ๆ อย่างเช้าวันนั้นนี่รู้สึกสุขสงบนิ่ง ทั้งๆที่นั่งอยู่ในห้องอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ของโรงแรม แต่กินไปมองออกไปข้างนอกเห็นทะเลสาบภายใต้ฟ้าใสแบบนี้ ลืมสภาวะรอบข้างไปเลย ยี่สิบกว่าปีที่แล้วที่คุณเตี่ยพามาเที่ยวฮอกไกโดครั้งแรกก็รู้สึกชอบแล้ว แต่ทริปนี้นี่...หลงรักฮอกไกโดเลยทีเดียว เห็นว่าวันนี้ระหว่างทางไป "Shiretoko Peninsula" จะแวะให้ชมทะเลสาบ "Mashu" จากมุมสูงอีกด้วย ฮอกไกโดนี่ทะเลสาบเยอะจริงๆ โดยเฉพาะทางแถบตะวันออกของเกาะ
จากนั้นเราแวะดูบ่อน้ำพุร้อนที่ Mount Iō ซึ่งยังอยู่ในเขต Akan National Park แค่ลงรถก็ได้กลิ่นกำมะถันอย่างแรง แหม! เล่นเอาคิดถึงบ่อน้ำพุร้อนที่เป่ยโถวขึ้นมาทันที green sulphur กลิ่นดีกว่าเยอะ
จุดต่อไปก็ยังอยู่ในเขต Akan National Park และก็เป็นจุดหมายรองของทริปนี้ นั่นคือ Lake Kussharo หรือที่รู้จักกันดีกว่าในชื่อ Sunayu onsen นั่นเอง ได้ยินว่าน้ำในทะเลสาบเย็นแบบปกติ แต่ลองขุดหลุมตรงหาดทรายริมทะเลสาบ จะเจอน้ำแร่ข้างใต้ที่อุณหภูมิสูงพอที่จะแช่เท้าให้หายเมื่อยได้ แค่นี้ก็มีแรงดึงดูดให้มาท้าพิสูจน์กันแล้ว และก็จริงด้วยแฮะ แค่ถอยจากทะเลสาบมาก้าวเดียว ขุดลงไปใต้ทราย เจอน้ำแร่ที่อุ่นจัด แช่เท้ากำลังสบายเลย
และก่อนที่จะไปถึงจุดตะวันออกสุดของเกาะ เราแวะเดินยืดเส้นยืดสายชมน้ำตก Oshinkoshin กันเล็กน้อย ก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่นั่งนานๆมันไม่ดีใช่ไหม เดินนิดหน่อยให้เลือดไหลเวียนบ้าง อิอิ
และแล้วเราก็มาถึง "Shiretoko Peninsula" ซึ่งเป็นคาบสมุทรที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ยอดสูงสุดที่ 1660 เมตร คือ Rausu-dake โดยป่าในแถบภูเขานี้เป็นแหล่งที่มีประชากร Brown bear มากสุดของญี่ปุ่น ได้จดทะเบียนขึ้นเป็น UNESCO World Natural Heritage เมื่อปี 2005 เนื่องจากตรงนี้คือจุดใต้สุดของทะเลน้ำแข็งในเขต Northern Hemisphere ชื่อ Shiretoko นี้ได้มาจากภาษาไอนุคำว่า sir etok ที่แปลว่า จุดสิ้นสุดของแผ่นดิน ซึ่งก็จริงนะเพราะตรงนี้เป็นจุดตะวันออกสุดของเกาะฮอกไกโดแล้ว
Day Four
วันที่สี่ เราเริ่มวกกลับหลังจากมาถึงด้านตะวันออกสุด มุ่งหน้ากลับเข้าแผ่นดินฮอกไกโด ที่แรกที่จะไปเยือนคือ Okhotsk Ryū-hyō Museum คำว่า Ryu-hyo = Drift Ice เป็นมิวเซียมที่ฉันได้สัมผัสอากาศอุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส ได้เห็นสัตว์ใต้ทะเล Okhotsk ที่น่าเอ็นดูเรียกว่า clione sea angel
ออกจากมิวเซียมไปต่อที่ Fox village สถานที่ที่เขานำหมาจิ้งจอกที่บาดเจ็บหรือไม่มีที่อยู่แล้วมาดูแล เนื่องจากมนุษย์เปลี่ยนป่าเป็นเมืองซะนี่ หมาจิ้งจอกพวกนี้ไม่ดุร้ายสักนิด เราเข้าไปเดินดู เขาก็มองเราแค่นั้นเอง บางตัวดูท่าทางกลัวคนด้วยซ้ำ ฉันเห็นแล้วก็สงสาร เฮ้อ! โดนแย่งที่อยู่จากคน
แล้วก็ไป Daisetsuzan Sōunkyō Kurodake Ropeway เป็นเคเบิ้ลคาร์ใหญ่ขึ้นไปบนภูเขาที่หน้าหนาวคนขึ้นไปเล่นสกี หน้าร้อนคนขึ้นไปไฮกิ้ง ฤดูใบไม้ร่วงคนขึ้นไปชมใบไม้เปลี่ยนสีกัน แต่ตอนฉันไปใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี เลยไม่มีอะไรมาก
จากนั้นเข้าโรงแรมที่พัก แช่น้ำแร่ต่อ แต่หนนี้ฉันสังเกตุว่า ห้องพักของโรงแรมในญี่ปุ่นจะมีทั้งเตียงและทาทามิ ให้แขกเลือกนอนตามใจชอบ ยี่สิบกว่าปีก่อนที่ฉันมากะเตี่ยหรือที่สิบกว่าปีที่แล้วมากับคุณชาย โรงแรมที่พักจะเป็นแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง สิบกว่าปีก่อนไปทางเกียวโต โอซาก้า นารา นั่นก็จำได้ว่า นอนเตียงหมด ยกเว้นโรงแรมที่มีแช่น้ำแร่ถึงได้นอนทาทามิ คิดว่าเป็นพัฒนาการของระบบโรงแรมในญี่ปุ่นมั้ง เพื่อความสะดวกของคนพัก หรือว่าเป็นเฉพาะโรงแรมที่ฉันเข้าพักในทริปนี้ก็ไม่รู้
Day Five
เริ่มรายการด้วย Takushinkan Photo Gallery ที่นี่แสดงผลงานของ Shinzo Maeda ช่างภาพชื่อดัง ที่ถ่ายทอดความงามภูมิประเทศของฮอกไกโดในฤดูต่างๆ เสียดายที่ถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้ สวยมาก ๆค่ะ
จากนั้นเริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทางทัวร์ยอดฮิต “Biei-cho”หรือ“บิเอะ” เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ปลูกอยู่บนพื้นที่สูงต่ำลดหลั่นกันเป็นภูมิประเทศที่สวยงาม จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต
ที่รู้จักกันดี ที่ฮิตสุดก็น่าจะเป็น “Shikisai-no-oka” มีความกว้างของพื้นที่ถึง 7 เฮกตาร์ เดินให้ทั่วคงไม่ไหว ก็นั่งรถที่ทางสวนจัดไว้แล้วกัน จ่ายเงินก็ได้นั่งรถชมสวนดอกไม้สวยๆแบบชิลๆ อีกที่หนึ่งคือ Tomita farm ที่จะเล็กกว่านิดนึง แต่ก็สวยไม่แพ้กัน มีพวกเรือนกระจก ร้านขายของที่แต่งด้วยดอกไม้แห้งซึ่งฉันชอบมาก สมัยก่อนก็เคยทำช่อกุหลาบแห้งเองมาแล้วด้วย(เพราะไปเห็นร้านดอกกุหลาบแห้งที่เมืองบาร์เซโลนาประเทศสเปนมา ถึงขั้นซื้อหนังสือสอนทำดอกไม้แห้งเลยทีเดียว )
เราไปเยือนสองฟาร์มใหญ่ในละแวกนั้น เรียกว่าวันชมดอกไม้ละกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
มื้อกลางวันวันนี้ไปกินอาหารฝรั่ง ไม่น่าเชื่อว่าในเมืองเล็กๆแห่งนี้ มีภัตตาคารมิชลินสตาร์อยู่ด้วย ร้านนี้ได้หนึ่งดาว อาหารอร่อยใช้ได้เลย (แค่ปริมาณน้อยไปหน่อย กรรมกรอย่างฉันเลยไม่ค่อยอิ่ม) แต่ที่ฉันชอบคือทางร้านใช้วัตถุดิบทั้งหมดจากฟาร์มในพื้นที่ กินแล้วรู้สึกได้ถึงความสดของเครื่องปรุงจริงๆ ร้านชื่อ Asperges Restaurant นอกจากภัตตาคารแล้ว ยังมีร้านขายของด้วย เข้าไปดูของที่ขายได้ที่ http://bieisenka.jp/en/about/index.html
ออกจากแดนดอกไม้แสนสวยแล้ว เราเดินทางต่อเข้าเมืองซัปโปโร มื้อเย็นนี้เป็นบุฟเฟต์ปูสารพัดชนิด... Alaskan king crab, Snow crab, Horsehair crab สามชนิดหลักนี่เป็นแบบนึ่งวางให้หยิบ ปูชนิดอื่นเอาไปผัดบ้าง ชุบแป้งบางๆทอดบ้าง จากมื้อกลางวันที่ไม่ค่อยอิ่มดี มื้อเย็นนี่พุงจะแตกเอา กินเสร็จได้เวลาเดินช็อปปิ้งย่อยอาหาร เราพักอยู่ใกล้ถนนช็อปปิ้งสายหลัก ก็เดินดูของดูเมืองไปชิลๆตามประสาช็อปปิ้งควีนที่แขวนนวมแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
Day Six
รุ่งเช้าเราออกเดินทางต่อไปเมืองท่องเที่ยวยอดฮิต "โอตารุ" แต่เมื่อไปเห็นคลองโอตารุของจริงแล้ว ฉันรู้สึกเฉยๆนะ ไปดูมิวเซียมที่เป็นที่ทำการธนาคารเก่านั่นยังน่าสนใจกว่าอีก แต่ก่อนหน้านั้นเรานั่งรถลากชมเมือง ซึ่งพ่อหนุ่มที่ลากรถให้เรานี่อย่างฮาเล็กๆ นอกจากเป็นสารถีแล้ว ยังทำหน้าที่ตากล้อง+สไตลิสต์อีกด้วย นางหยุดจอดหน้าตึกมิวเซียม แล้วกำกับท่าทางให้เราโพสเสร็จสรรพ ดูจากภาพละกันนะ ขำๆดี ตามใจนางซะหน่อยไม่เสียหายนิ
เดินชมร้านค้าจนเมื่อยได้ที่ เราเดินทางต่อไป Noboribetsu Onsen แหม!เดินช็อปมาทั้งวัน ตกเย็นก็ต้องออนเซ็นกันหน่อยอ่ะนะ อิอิ แต่ไม่ได้ไปดู Jigokudani(Hell Valley) หรอกนะ ไปถึงบริเวณนั้นก็เย็นมากแล้ว เข้าโรงแรมแช่น้ำแร่ดีกว่า ฟินกว่าเยอะ แล้วยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ฉันก็ไปดูมาแล้ว บ่อน้ำพุร้อนคงไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก
Day Seven
หลังอาหารเช้าของวันที่เจ็ด เรานั่งกระเช้าขึ้นเขาไปดูน้องหมี ประชากรหมีน้อยลงไปกว่าครึ่ง จากยี่สิบกว่าปีที่แล้วที่ฉันมาครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นกันนี่ นึกว่าจะออกลูกออกหลานเต็มพาร์คซะอีก แต่เออ! ดันแยกที่อยู่ของตัวเมียตัวผู้นี่เนอะ มิน่าถึงได้ประชากรลดลง บรรดาน้องหมียังน่ารักเหมือนเดิม ยกมือไหว้ปลก ๆ ขอขนมกิน มีสิ่งบันเทิงต่างๆเพิ่มขึ้น มีบ้านของชาวไอนุให้ดู เพิ่มมุมถ่ายรูปมากขึ้น มีการแข่งขันเป็ดวิ่งอีกตะหาก ก็ไม่เลวนักนะยี่สิบกว่าปีให้หลังเนี่ย
จบการท่องเที่ยวเจ็ดวันด้วยราเมนอุ่นท้องที่ Chitose Outlet Mall Rera ฉันไม่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นเท่าไร เพราะไม่กินของดิบ แต่ชอบเที่ยวญี่ปุ่นนะ บ้านเมืองสะอาดสะอ้านทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ ผู้คนก็น่ารักมีระเบียบ ยังมีอีกหลายที่ที่อยากไป คงค่อย ๆเก็บไป ยังไง ๆ ก็ใกล้ไทเปนี่นะ
PHOTO BY MR. Huang