The Gift of Anger: ค่าของความโกรธในมุมมองของคานธี
คำสอนของ "คานธี" ที่ยังคงร่วมสมัยผ่านการบันทึกของหลานชายแท้ๆ อรุณ คานธี
มหาตมะ คานธี นับเป็นหนึ่งในบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ด้วยหลักการการต่อสู้ด้วยอหิงสา หรือ การไม่เบียดเบียน และ การเว้นจากการทำร้ายผู้อื่น และในยุคนี้ที่ดูเหมือนทุกหย่อมหญ้าบนโลก (รวมถึงประเทศไทย) ตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชังและทำร้ายกัน หากมีใครศึกษาหลักการอหิงสาของคานธีและนำไปปฏิบัติ ความสงบสุขจะอยู่แค่เอื้อมนี่เอง
มีหนังสือหลายเล่มที่บอกเล่าถึงประวัติชีวิตและคำสอนของคานธี แต่สำหรับคนที่ไม่มีเวลา ขอแนะนำหนังสือชื่อ The gift of anger ที่เขียนโดยอรุณ หลานชายคนหนึ่งของคานธีที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับคานธีช่วงอายุ 12 ถึง 14 ปี ที่อาศรมซาบาร์มาตี ใจกลางของประเทศอินเดียที่เชื่อมต่อโลกภายนอกด้วยถนนดินยาวเกือบ 13 กิโลเมตร
อรุณเขียนหนังสือ 292 หน้าเล่มนี้จากการใช้ชีวิตร่วมกับปู่ การสังเกต การซักถาม และการติดตามปู่ของเขาไปในบางสถานที่ ได้รับรู้ถึงแรงบันดาลใจที่คานธีใช้หลักการอหิงสานี้ในการต่อสู้เพื่อให้อินเดียได้เอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลกในยุคที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ที่ทำให้น่าอ่านมากกว่าหนังสืออัตชีวประวัติทั่วไปคือ The Gift of Anger เต็มไปด้วยวิธีการสอนแบบง่ายๆของคานธี ที่ทำให้เด็กอายุ 12 เข้าใจถึงความสำคัญของการรักเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา เพศ สีผิว หรืออื่นๆ
จากบทเรียน 11 ข้อที่ได้เรียนรู้จากปู่ บทเรียนที่ 1 คือชื่อเดียวกับหนังสือ 'ค่าของความโกรธ' อรุณเล่าถึงชีวิตเขาที่สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในสมัยที่การเหยียดผิวยังรุนแรงอยู่มาก ชาวอินเดียที่ไปขายแรงงานใช้ชีวิตอย่างลำบาก เพราะเป็นที่รังเกียจของคนขาวที่คิดว่าคนผิวขาวเท่านั้นคือพวกของตน คนผิวดำเองก็หลีกเลี่ยงเพราะเหตุผลเดียวกัน เด็กอย่างอรุณถูกแกล้งจากเด็กทั้งสองกลุ่ม แม้จะโกรธแต่ด้วยคำสอนของพ่อแม่ไม่ให้โต้ตอบใครด้วยความรุนแรง เขาต้องเก็บความโกรธไว้ จนกลายเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย พ่อแม่เขาจึงต้องการให้คานธีอบรมสั่งสอนหลาน
ในบทเรียนนี้ อรุณจำได้ว่าคานธีบอกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า 'มนุษย์ทุกคนมาจากครอบครัวเดียวกัน'
คานธีไม่ยอมรับการแบ่งชนชั้น เขาอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาทุกศาสนาและไม่ยอมรับศาสนาที่สร้างความแตกแยก คานธีเชื่อว่าทุกศาสนามีความจริงเพียงบางส่วน และปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อว่าความจริงบางส่วนคือความจริงทั้งหมด คานธีเองหยิบความจริงจากหลายๆศาสนามาใช้ในการสั่งสอนผู้อื่น
วันหนึ่ง อรุณถูกเด็กคนหนึ่งในอาศรมแกล้งขัดขา เขาโกรธมากและเกือบขว้างก้อนหินใส่เด็กคนนั้น เขาร้องไห้วิ่งไปหาปู่ที่บอกเขาให้ไปหยิบเครื่องปั่นฝ้ายมา
คานธีมักจะมีเครื่องปั่นฝ้ายไว้ข้างตัว และมีอีกเครื่องให้อรุณที่ต้องปั่นวันละ 1 ชม. ตอนเช้า และอีก 1 ชม ตอนเย็นทุกวัน เพื่อให้หลานได้นั่งนิ่งๆทำสมาธิ
ในวันนั้น ปู่และหลานปั่นฝ้ายไปพร้อมๆกัน และคุยเรื่องความโกรธ
คานธี: "จะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โกรธอยู่ตลอดเวลาเพราะอะไรก็ไม่ได้อย่างใจ เขาไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น และถ้ามีใครมาแหย่ เขาก็จะระเบิดความโกรธออกมา
"วันหนึ่ง เขาไปต่อยตีกับคนและทำให้คู่ต่อสู้ตาย แค่วินาทีหนึ่งที่เขาไม่มีสติ เขาได้ทำลายชีวิตเขาด้วยการฆ่าผู้อื่น
"หลานก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ปู่ก็ดีใจนะที่หลานมีความโกรธ ความโกรธเป็นสิ่งที่ดี ปู่เองยังโกรธโน่นนี่ตลอดเลย"
อรุณ: "ผมไม่เคยเห็นปู่โกรธซักครั้ง"
คานธี: "เพราะปู่เรียนรู้ที่จะใช้พลังความโกรธในทางที่ดีน่ะสิ ความโกรธก็เหมือนน้ำมันที่ทำให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าไม่มีความโกรธก็เหมือนเราไม่มีแรงผลักดัน"
คานธีเล่าถึงชีวิตวัยเด็ก เขาเคยขโมยเงินพ่อแม่ไปซื้อบุหรี่และต่อยตีกับเด็กคนอื่น เมื่อแต่งงานตอนอายุ 13 ปี ก็ชอบตะโกนใส่ภรรยา บางครั้งก็กระชากลากถูไล่ภรรยาออกจากบ้าน แต่เขาก็ไม่ชอบใจเหมือนกันที่เป็นคนแบบนั้น เลยพยายามควบคุมอารมณ์ เมื่อหลานถามว่าเขาจะทำได้บ้างไหม คานธีตอบว่าหลานกำลังทำอยู่ด้วยการปั่นด้าย และเล่าต่อว่าการปั่นด้ายก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ความโกรธให้ถูกทาง อินเดียผลิตฝ้ายได้มากมายแต่ฝ้ายทั้งหมดถูกส่งไปอังกฤษเพื่อผลิตผ้า ผ้าที่ส่งกลับมาขายที่อินเดียมีราคาสูงจนคนอินเดียซื้อไม่ไหว คนอินเดียเจ็บแค้นมากแต่แทนที่จะไปสร้างสงคราม คานธีสนับสนุนให้คนอินเดียมีเครื่องปั่นฝ้ายไว้ใช้เองทุกบ้าน จนผ้าจากอังกฤษขายไม่ได้
เมื่อเห็นหลานฟังอย่างตั้งใจ ปู่ก็เล่าอีกหนึ่งตัวอย่าง ด้วยการเปรียบความโกรธกับไฟฟ้า
"ถ้าเราใช้ไฟฟ้าอย่างฉลาด ไฟฟ้าก็จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ถ้าเราใช้มันไม่ถูกทาง ไฟฟ้าก็ฆ่าเราได้"
จากนั้น เขาก็หยิบสมุดและดินสอให้หลาน บอกให้หลานจดรายการความโกรธ จดให้หมดว่าโกรธใครหรืออะไร และเหตุผลว่าทำไมถึงโกรธ การจดบันทึกทำให้เรามองตัวเราจากมุมอื่น และเข้าใจผู้อื่น วิธีการนี้ไม่ใช่ทำให้เรายอมแพ้ แต่ทำให้เราหาทางแก้ที่จะไม่เพิ่มความโกรธแค้นให้มากขึ้น คนที่โต้ตอบความโกรธแบบไม่มีสติ เช่นใช้คำพูดแรงๆเวลาโดนแหย่ ตัวเองก็ไม่มีความสุข สังเกตุได้จากกล้ามเนื้อที่ตึง และจิตที่ปั่นป่วนเหมือนมีไฟสุม บางครั้งเราเสียใจกับการโต้ตอบเช่นนั้นและไปขอโทษ แต่ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว เหมือนกระสุนที่ยิงออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ บันทึกความโกรธคือขั้นแรกในการจัดการกับความโกรธ ขั้นต่อไปคือเราต้องควบคุมอารมณ์เพื่อจะได้รับกับความโกรธอย่างมีสติในเวลาต่อไป
"เราต้องรู้ถึงเหตุของความโกรธ เราถึงจะหาทางดับมันได้"
อีกบทเรียนที่เข้ากับยุคสมัยมากคือ Waste is violence (การทิ้งขว้างของคือความรุนแรงอันหนึ่ง)
อรุณเล่าถึงครั้งหนึ่งที่เขาเห็นดินสอใหม่ในร้านค้าแล้วอยากได้ เขาเลยโยนดินสอแท่งเก่าทิ้ง เขากลับบ้านไปหาปู่บอกว่าอยากได้ดินสอใหม่ เพราะอันเก่ามันสั้นกุดแล้วไป เมื่อปู่ขอดูแท่งเก่าและพบว่าเขาโยนทิ้งแล้ว ปู่สั่งให้เขาไปเอากลับมา เขาต้องใช้ไฟฉายหาดินสอแท่งเล็กในพุ่มหญ้าเป็นเวลานาน เมื่อพบเขาคาดว่าจะได้แท่งใหม่ ปู่กลับเก็บไว้และบอกว่ายังใช้ได้อีกตั้ง 2 อาทิตย์ พร้อมกับคำคมที่ว่า "การทิ้งขว้างอะไรก็ตามเป็นนิสัยที่ไม่ดี มันแสดงถึงความไม่ใส่ใจต่อโลก และเป็นการทำร้ายธรรมชาติ"
"ของชิ้นนึงต้องใช้เงิน เวลา และความพยายามในการสร้าง การโยนของทิ้งก็เหมือนทิ้งขว้างทรัพยากร มีคนจนมากมายที่ไม่มีเงินซื้อดินสอ แต่เราสิ ซื้อได้ แต่ก็ทิ้งขว้างของ ถ้าเราทำแบบนี้เรื่อยๆ เราก็จะทำให้ไม่มีอะไรเหลือให้กับคนที่เขาไม่มี"
คานธีให้อรุณวาดรูปต้นไม้ความรุนแรงที่มีกิ่งไม้สองกิ่ง กิ่งหนึ่งสำหรับความรุนแรงที่เรามองเห็น เช่นการทุบตี อีกกิ่งสำหรับความรุนแรงที่มองไม่เห็นด้วยตา เช่นการกดขี่ การทิ้งขว้างสิ่งของ เมื่ออรุณนำการบ้านมาส่ง คานธีให้บทเรียนที่น่าสนใจมาก
ในยุคของเขาที่ยังไม่มีกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ คานธีมองเห็นว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองโดยบางประเทศก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก การใช้ทรัพยากรแบบฟุ่มเฟือยในยุควัตถุนิยม มีแต่ทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการแก่งแย่งทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
"ความรุนแรงที่มองไม่เห็นด้วยตาคือเชื้อไฟที่ทำให้เกิดความรุนแรงที่เราเห็นๆกันบนโลกนี้ เราต้องตัดเชื้อไฟถ้าเราต้องการดับความรุนแรง"
อีกบทหนึ่ง คานธีเล่าถึงเมื่อครั้งที่เขาขึ้นรถไฟในอาฟริกาใต้มีชายผิวขาวไล่เขาลงไปจากตู้รถไฟแม้ว่าเขาจะมีตั๋วถูกต้องและแต่งกายเยี่ยงชาวตะวันตก เมื่อเขาปฏิเสธตำรวจมาช่วยชายคนนั้นจับเขาลงจากรถไฟที่สถานีต่อไป เขาต้องทนหนาวอยู่ที่สถานีนั้นจนเช้า เหตุการณ์นั้นทำให้เขาต้องการต่อสู้กับความอยุติธรรมที่คนในสังคมระดับล่างต้องเจอ รวมถึงคนอินเดียที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมากว่าร้อยปี
ตอนหนึ่งในหนังสือเล่าถึงการสอนของคานธีที่อธิบายว่าทุกชีวิตบนโลกมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร เขาให้อรุณถอดเครื่องปั่นด้ายออกเป็นชิ้นๆ แล้วสั่งให้หลานปั่นฝ้าย แน่นอนว่าทำไม่ได้ เมื่อประกอบเครื่องขึ้นมาใหม่คานธีถอดขดลวดอันหนึ่งออกทั้งที่ขดลวดนั้นเป็นตัวยึดเครื่อง บอกว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์ชิ้นเล็กนิดเดียว พออรุณแย้งว่าเครื่องขาดขดลวดนั้นไม่ได้ คานธียิ้มและกล่าวว่า "ทุกๆส่วนทุกมีความสำคัญ ที่ทำให้ภาพรวมทำงานได้ ขดลวดเล็กๆอันนี้ก็ทำให้เครื่องปั่นด้ายทำงานได้ ดังนั้นคนทุกคนคือส่วนเติมเต็มของสังคม เราขาดใครไปไม่ได้ และไม่มีใครที่เป็นคนไม่สำคัญ ทุกคนต้องเดินไปด้วยกัน"
อรุณเล่าบทเรียนเหล่านี้ ไปพร้อมๆกับวิธีที่เขานำบทเรียนเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตจริง ตัวเขาเองเมื่อยังเป็นนักข่าวอยู่ในอินเดียเคยพบเห็นทารกที่ถูกทิ้งไว้ข้างกองขยะ เขาพบว่ามีเด็กกำพร้าจำนวนมากที่ตายจากการขาดอาหาร เขาและภรรยาพยายามหาพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กเพียงเพื่อไม่ให้ชีวิตน้อยๆเหล่านี้ถูกทิ้งขว้าง
เมื่อย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา เขาก่อตั้งสถาบันการต่อสู้ด้วยหลักอหิงสา เพื่อสืบทอดคำสอนของคานธี เขาเชื่อว่าคำสอนของคานธีจะทำให้โลกสงบและน่าอยู่ขึ้น แม้ผู้นำประเทศบางคนจะปฏิบัติตัวตรงข้ามแต่คนทุกคนทำส่วนของตัวเองได้
แน่นอนว่าถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณก็จะคิดแบบอรุณ มาเริ่มต้นจัดการกับความโกรธและความเกลียดด้วยการอ่านหนังสือเล่มนี้กันเถอะ