ฝ่าสารพัด "ด่าน" ระทึกใจในแอฟริกา
รักจะเที่ยวแอฟริกาก็ต้องทำใจและฝ่าด่านไปให้ได้
ผมขอขึ้นต้นบทความนี้ด้วย “คำชี้แจง” นะครับ
เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผมเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ประเทศโมซัมบิก ทางฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่หลงรักจนถึงขั้นหลงไหลประเทศต่าง ๆ ในทวีปนี้มาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศโมซัมบิก ดังนั้นผมจึงไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างภาพลักษณ์เชิงลบใด ๆ ให้กับทวีปนี้ หรือประเทศนี้
บทความนี้ต้องการสะท้อนความจริงว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ ดอกไม้ที่สวยงามก็อาจแฝงด้วยหนามแหลม ผมเชื่อว่าบนโลกใบนี้ไม่มีที่ใดที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วนพคุณเป็นดั่งดินแดนในฝัน นักเดินทางอย่างเราควรรับรู้ข้อเท็จจริงเพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ และป้องกันเหตุการณ์ร้าย ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง...... โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา
บนเครื่องบินของสายการบินเอธิโอเปียน แอร์ไลนส์ ผมได้นั่งข้าง ๆ “จอห์น” นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายจีน เรากำลังจะบินจากกรุงเทพ ฯ ไปยังแอดดิส อะบาบา ประเทศเอธิโอเปีย ผมจะต้องไปต่อเครื่องบินที่นั่นเพือเดินทางต่อไปยังกรุงมาปูตู ประเทศโมซัมบิก ในขณะที่จอห์นกำลังจะไปกรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย
“เวลาเดินทางในแอฟริกา ระวังเจ้าหน้าที่ทั้งหลายนะ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทหาร ฯลฯ.... บางครั้งคนที่อยู่ในเครื่องแบบเหล่านี้ก็คือโจรที่ปล้นคุณได้โดยไม่มีความผิด” จอห์นเตือนผมพร้อมกับแบ่งปันประสบการณ์มากมายที่เขาเคยเผชิญตลอดสิบกว่าปีที่ทำธุรกิจในไนจีเรียและอีกหลายประเทศในแอฟริกา ผมรับฟังเรื่องเล่าของเขาไว้เป็นประสบการณ์
“อย่าปล่อยให้เอกสารสำคัญ หรือข้าวของของเราไปอยู่ในมือเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ถ้าเขาจะดูเอกสารอะไรก็ให้ดูแต่สำเนา พยายามยื้อให้มากที่สุด..... ไม่เช่นนั้นเราจะต้องเอาเงินเราไปจ่ายเจ้าหน้าที่เพื่อไถ่ของคืนให้ตัวเอง” จอห์นสำทับอีกครั้งก่อนเราจะแยกย้าย คำเตือนเช่นนี้ได้เคยผ่านหูผ่านตาผมมาบ้าง ดังนั้นผมจึงทำสำเนาหนังสือเดินทางมาหลายชุดก่อนมาเที่ยวที่นี่
Warm-up ด้วยประสบการณ์แรก
ผมเดินทางเที่ยวเล่นในมาปูตู เมืองหลวงของโมซัมบิกอย่างสนุกสนาน และไม่ได้เผชิญกับอะไรร้ายแรงเลย จนกระทั่งวันที่ผมต้องบินจากมาปูตูไปนัมปูลา เพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะอีย่า ดือ โมซัมบิก และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นในสนามบินนั่นเอง
วันนั้นผมมีกระเป๋าเดินทางแบบลากใบเล็กหนึ่งใบที่ล็อคกุญแจอย่างแน่นหนาสำหรับบรรจุลงใต้เครื่อง และมีเป้อีกหนึ่งใบที่ผมจะสะพายขึ้นเครื่อง
เมื่อผมเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จ และได้รับ Boarding Pass เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปยังด่านเอ๊กซเรย์เพื่อวางเป้ลงบนสายพานเครื่องสแกนตามปกติ

คำเตือนของจอห์นกระตุ้นให้ผมนำกระเป๋าเงินซ่อนในเป้ เอาไอโฟนซ่อนในเป้ เอาอะไรก็ตามที่หยิบฉวยกันง่าย ๆ ซ่อนในเป้ให้หมด หากเป็นสนามบินอื่น ๆ เราอาจวางของใช้จุกจิกลงในถาดที่เตรียมไว้ แต่การปฏิบัติเช่นนั้นถือเป็นความเสี่ยงของที่นี่
ส่วนหนังสือเดินทางนั้น หลังจากผมแสดงตนว่าเป็นผู้โดยสารตัวจริงแล้ว ผมก็กำแน่นติดมือไว้เช่นกัน วันนั้น มีสิ่งเดียวที่ผมพลาด....นั่นก็คือผมลืมถอดนาฬิกาข้อมือที่เป็นโลหะซ่อนไว้ในเป้ และเมื่อผมต้องเดินผ่านประตูเอ๊กซเรย์มันก็ร้องดัง “ตี๊ด” ดังสนั่น
เจ้าหน้าที่หน้าโหดชี้ให้ผมเอานาฬิกาข้อมือวางในลงถาด ผมจึงต้องถอยมาทำตามและ.... วินาทีนั้นผมรู้ว่า “เสร็จล่ะกู”
เมื่อผมเดินผ่านประตูเอ๊กซเรย์มาได้โดยไม่มีเสียงร้องใด ๆ ผมรีบวิ่งมาคว้าเป้ที่ไหลผ่านเครื่องสแกนไว้ทันที แต่นาฬิกาข้อมือของผมกำลังอยู่ในมือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่คนนึง และเขาก็ไม่ส่งมันคืนกลับมาให้ผม พร้อมกับพูดเสียงเบา ๆ ว่า
“Give me something” พร้อมกับเอามือชี้ที่มุมถาดเป็นสัญญาณให้ผมวางเงินลงไป
ในวินาทีนั้นผมยอมรับว่างงมาก ๆ และกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี
ผมเลือกทำเป็นไม่รู้เรื่อง พร้อมกับแบมือขอนาฬิกาข้อมือคืน แต่เขาเคาะที่มุมถาดแรงขึ้น พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงข่มขู่ว่า
“Give me something NOW!!!”
ขณะนั้นผู้โดยสารอื่น ๆ กำลังทยอยผ่านด่านเอ๊กซเรย์มาเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่มีหลายคนและแต่ละคนก็ตรวจตราสัมภาระกันไป ผมรู้สึกว่านี่เป็นการทำงานที่เป็นกระบวนการ ทุกคนรู้เห็น และผู้โดยสารก็กำลังเป็นเหยื่อ รวมทั้งตัวผมด้วย
ผมตัดสินใจเปิดกระเป๋าเงินในเป้ดูแล้วพบว่าผมมีเหรียญ 10 เมติไกช์ (5 บาท) จำนวนหนึ่ง ผมเลยกลั้นใจหยิบเหรียญ 10 เมติไกช์สี่ห้าเหรียญนั้นวางลงในถาด
วินาทีต่อมาผมก็ได้นาฬิกาคืนกลับมา
เมื่อเครื่องถึงนัมปูลา ผมรอกระเป๋าของผมอยู่ที่สายพาน และเมื่อมันไหลวนออกมาถึงมือผม ผมก็พบว่ากุญแจที่ล็อคกระเป๋าไว้ด้านหนึ่งนั้นถูกต่อยออกจนล็อคหลุดออกมา แต่โชคดีว่า ผมไม่ได้ใส่อะไรไว้ในนั้นเลย
ประสบการณ์ที่สอง...เริ่มร้องอ๋อ
จากนัมปูลา ผมต้องนั่งรถยนต์ต่อไปยังอีย่า ดือ โมซัมบิก ด้วยระยะเวลาราว 2 ชั่วโมงครึ่งบนถนน ผมเจอด่านตรวจไปประมาณ 7 ด่าน และรถก็ต้องหยุดทุกด่าน และตำรวจจะมาตรวจใบขับขี่ของคนขับ และมาดูเอกสารต่าง ๆ ของผม
ด้วยการเตรียมตัวมาในระดับหนึ่งอย่างที่กล่าวไว้ ผมจึงถ่ายสำเนาหนังสือเดินทางหน้าที่มีรูปผม และหน้าที่มีวีซ่าของโมซัมบิก และอย่างที่จอห์นแนะนำก็คือ “พยายามยื้อไว้” เวลาใครมาขอดู ก็ให้ยื่นสำเนาไป อย่ายื่นเล่มจริง

ตั้งแต่ด่านแรก ผมก็ยื่นแต่สำเนาเอกสารให้ดู และแอบเอกสารตัวจริงไว้กับตัวเอง จนผมก็ผ่านด่านที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ฯลฯ มาได้เรื่อย ๆ ด้วยวิธีนี้......จนด่านสุดท้ายที่ตำรวจเกิดจะดูหนังสือเดินทางเล่มจริงให้ได้
ผมตัดสินใจไขกระจกขึ้น เอาหนังสือเดินทางเล่มจริงมาเปิดละชี้ให้ดูผ่านกระจกว่าหนังสือเดินทางของผมก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ... วีซ่าก็ถูกต้อง ทุกอย่างก็ถูกต้อง ผมพลิกหนังสือเดินทางแต่ละหน้าให้ดูผ่านกระจกโดยไม่ปล่อยให้มันไปอยู่ในมือตำรวจ
“หิวน้ำ มีเบียร์ มีโค้ก ติดมาไหม?” เจ้าหน้าที่ถาม และผมก็พอจะเข้าใจความหมายประโยคนี้นะครับว่ามันแปลว่า “จ่ายกูมาเหอะ”
ผมแอบหยิบแบงค์ 50 เมติไกช์ (25 บาท) รอไว้แล้ว และผมก็รีบส่งให้...ผ่านช่องกระจก
“เอาไปทานน้ำ” ผมตอบ
“มีสัก 500 เมติไกช์ไหม?” ตำรวจยื้อ
“ไม่มีครับ.... ผมมีเท่านี้” ผมตอบ พร้อมกับที่เขาปล่อยให้รถผ่านด่านไปในที่สุด
ขอตัดภาพมาตอนขากลับที่ผมบินจากนัมปูลามาที่มาปูตู ผมซ่อนทุกอย่างไว้ในเป้หมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาข้อมือ และเดินผ่านประตูเอกซเรย์โดยไม่มีเสียง “ตี๊ด” ใด ๆ
“ไม่มีอะไรให้พวกเราบ้างเหรอ?” เจ้าหน้าที่ถามตรง ๆ
“ไม่มี” ผมตอบ และเดินหยิบเป้ไปรอขึ้นเครื่องอย่างคูล ๆ
แสบส่งท้ายด้วยประสบการณ์ที่สาม
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สนามบินนานาชาติมาปูตูในวันที่ผมมาขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ผมยอมรับว่าวันนั้นผมเกร็งมาก ๆ และผมได้ขบคิดกลยุทธ์เอาไว้อย่างรัดกุมที่สุดเพื่อที่จะผ่านด่านนี้ไปให้ได้อย่างดีที่สุด
กลยุทธ์ข้อแรก ผมเตรียมตัวในวันสุดท้ายก่อนเดินทาง นั่นคือผมแลกเงินเมติไกช์อันเป็นเงินท้องถิ่นของโมซัมบิกกลับไปเป็นเงินดอลลาร์อเมริกันทั้งหมด เพราะผมเกรงว่าวิธีการเอาเงินที่ง่ายที่สุดคือการอ้างกฏหมายด้วยศัพท์แสงหรู ๆ ประมาณว่า “ตามกฏหมายมาตรา XYZ ระบุไว้ว่าห้ามคนต่างชาตินำสกุลเงินท้องถิ่นออกนอกประเทศโดยเด็ดขาดนะยู ดังนั้นยูต้องทิ้งไว้ที่นี่...ทั้งหมด” .....อะไรแบบนี้
กลยุทธ์ข้อที่สอง ผมแบ่งเงินดอลลาร์อเมริกันที่แลกกลับมาและที่มีอยู่ทั้งหมดออกเป็นหลายส่วน เรื่องที่จะใส่ไว้ในกระป๋าสตางค์แบบปกตินั้นลืมไปได้เลย ผมต้องหาทางซ่อนธนบัตรทุกใบให้ดีที่สุด
ผมเก็บธนบัตรจำนวนหนึ่งไว้ในกระเป๋าลับของเสื้อหนาว โดยผมตรวจสอบแล้วว่ามันไม่ได้ทำให้เสื้อหนาวดูโป่งพองผิดปกติ ธนบัตรอีกส่วนผมเลือกซ่อนไว้ในถุงสีเข้มที่ใส่แผงยา 4 – 5 ถุง โดยผมม้วนธนบัตรให้เป็นวงเล็กและเรียวที่สุดสอดลงไปใต้แผงยาเม็ด หากเจ้าหน้าที่เปิดซองขึ้นมาก็จะเจอแผงยาหวัด ยาไข้ 4 – 5 แผงซ้อน ๆ กันอยู่ ส่วนธนบัตรอีกส่วนหนึ่ง ผมเลือกใส่ไว้ในหนังสือเล่มหนา แยกใส่ไว้หน้านู้นหน้านี้ ดูแล้วเหมือนหนังสือธรรมดา ผมเลือกขั้นหน้าหนังสือด้วยโปสการ์ด 8 – 9 ใบที่ผมอ้างได้ว่าผมกลัวยับ และเมื่อลองกรีดหนังสือดู ก็จะพบว่าโปสการ์ดเหล่านั้นช่วยทั้งหยุดหรือผลักให้ไปไม่ถึงหน้าที่ผมซ่อนธนบัตรเอาไว้
กลยุทธ์ข้อที่สาม อันนี้เหมือนครั้งก่อน ๆ ก็คือผมจัดของทุกอย่างใส่ลงในเป้สะพายหลังที่มีซิบซับซ้อนหลายชั้น ไม่ว่านาฬิกาข้อมือ ไอโฟน ฯลฯ เพื่อจะได้ไม่มีโลหะติดตัวให้เกิดเสียง “ตี๊ด” เมื่อผ่านประตูเอ๊กซเรย์อันอาจทำให้เขาต้องมาค้นอะไรจากผมมากกว่าปกติ
กลยุทธ์ข้อที่สี่ อันนี้สำคัญมาก ๆ ครับ นั่นคือผมมีกระเป๋าสตางค์สองใบที่ใส่เป้ไว้ ใบนึงใส่ในกระเป้ลึก ๆ แบบซุกซ่อนหน่อย มีแบงค์ดอลล่าร์ย่อยอยู่ไม่เกิน 10 ดอลล่าร์ และในนั้นจะมีบัตรเครดิต ใบเสร็จ กระดาษจดยุก ๆ ยิก ๆ ที่ดูเป็นกระเป๋าสตางค์ปกติทั่วไป
ส่วนอีกใบ... ผมขอเรียกมันว่า “กระเป๋าสตางค์ล่อเป้า” ที่ผมตั้งใจใส่เงิน 6 เหรียญไว้ในนั้น โดยจะเป็นธนบัตรใบละ 1 เหรียญ 1 ใบ กับใบละ 5 เหรียญ 1 ใบเท่านั้น และก็ “จัดฉาก” ให้เหมือนกระเป๋าสตางค์ปกติที่มีบัตรเครดิต บัตร ATM บิล และใบจดยุกยิกเช่นกัน.... กระเป๋าล่อเป้านี้อยู่ในเป้ด้านหน้าแบบเห็นกันง่าย ๆ เลย
ผมติดว่าถ้าจะโดนไถ ก็เอาตังค์จากกระเป๋าล่อเป้านี่แหล่ะ ให้ไปเลย 6 ดอลล่าร์.... ผมพร้อมจ่ายเท่านี้และเท่านั้น
และเมื่อเวลาผ่านด่านมาถึง... ผมเดิน “นิ่ง ๆ คูล ๆ หล่อ ๆ” ไปยังด่านเอ๊กซเรย์ เจ้าหน้าที่ในชุดทหารยืนกันอยู่เพียบ ผมรู้สึกว่าทุกคนมองมาที่ผม การที่เราเป็นชาวเอเชีย เรามักเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเขาอยู่แล้ว และยิ่งผมทราบมาว่านักธุรกิจจีนที่มาสร้างธุรกิจในแอฟริกาก็นิยม “จ่าย” เพื่อให้ทุกอย่างง่ายและผ่านได้ฉิว ๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหน้าที่สนามบินจะเคยชินกับระบบแบบนี้
ผมวางเป้ ถอดเข็มขัดลงในถาด และเดินผ่านประตูเอ๊กซเรย์โดยไม่มีเสียง “ตี๊ด” ผมรีบไปหยิบเป้ เข็มขัดอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น
“ขอดูเป้หน่อย” ทหารร่างใหญ่นายหนึ่งพูดขึ้น และเดินมาต้อนผมไปอีกโต๊ะ จากนั้นมีทหารอีก 4 คนนั้นตามมายืนหน้าผม และเริ่มเปิดเป้
สิ่งแรกที่เห็นคือกระเป๋าล่อเป้าอันมีเงิน 6 ดอลลาร์ในนั้น และมันก็ถูกเปิดออก
“ไม่มีเงินเมติไกช์ใช่ไหม? ห้ามเอาออกนอกประเทศนะ ถ้ามีต้องทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งหมด” มาแล้ว... ข้ออ้างเอาเงินข้อที่หนึ่ง
“นี่มีแต่ดอลลาร์นี่” อ้า... พวกเจ้าหน้าที่เห็นเงินทั้ง 6 ดอลล่าร์ในกระเป๋าล่อเป้าของผมแล้วล่ะ
“ขอนะ.... ดอลลาร์ก็ห้ามเอาออกเหมือนกัน” ว่าแล้วก็เอามือหยิบเงิน 6 ดอลล่าร์นั้นใส่กระเป๋าเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง โดยมีทหารทั้ง 4 คนยืนดูตรงนั้นพร้อมกัน และหลิ่วตากัน ....
จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อหนาวของผมขึ้นมาตบ ๆ นิดหน่อย เอาของออกมาดู ไม่ว่าซองยา หรือหนังสือ ช่วงที่ผมเสียวที่สุดคือช่วงที่เขาลองกรีดหนังสือเล่มนั้น แต่โปสการ์ดที่ผมใส่ไว้ช่วยทำให้ธนบัตรที่สอดอยู่ในเล่มปลอดภัย จากนั้นการค้นของก็ดำเนินไปอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ พวกเขาไม่ได้สนใจจะหาอะไรจริงจังหลังได้เงิน 6 เหรียญนั่นไปแล้ว
ผมแอบคิดว่าคิดว่าถ้าเจอพวกเขาเจออะไรที่ผมซ่อน ๆ ไว้บ้างนี่ “กูคงมีเหนื่อยแน่ ๆ”
“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่? ที่นี่รอต้อนรับเสมอนะ” ทหารเริ่มพูดจาน่ารัก
ผมเดินจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของสนามบินมาอย่างสบายใจ ....อย่างน้อยเงินอีกจำนวนนึงที่มีธนบัตรใบละ 20, 50 และ 100 ดอลล่าร์ก็ยังนอนสงบอยู่ดีในมุม ซอก หลืบ ต่าง ๆ ในเป้วงกตที่อยู่บนหลังผม
และผมขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วย “คำชี้แจง” อีกครั้งนะครับ ว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่หลงรักแอฟริกาจนถึงขั้นหลงไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศโมซัมบิก ดังนั้นผมจึงไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างภาพลักษณ์เชิงลบใด ๆ ให้กับทวีปนี้ หรือประเทศนี้
เหรียญมีสองด้านเสมอ ดอกไม้ที่สวยงามก็อาจแฝงด้วยหนามแหลม นักเดินทางอย่างเราควรรับรู้ข้อเท็จจริงเพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ และป้องกันเหตุการณ์ร้าย ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง...... สวัสดีครับ