คบเด็ก พาเที่ยวที่ “อีย่า ดือ โมซัมบิก”
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อนักเดินทางต้องจำใจคบเด็กเป็นไกด์พาเที่ยวที่โมซมบิก
อีย่า ดือ โมซัมบิก (Ilha de Mocambique) เป็นเกาะสวยอยู่ประชิดติดชายฝั่งประเทศโมซัมบิก ประเทศขนาดใหญ่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา
เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกอันควรอนุรักษ์โดยยูเนสโกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 บนเกาะความยาว 3 กิโลเมตรแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยอาคารเก่าทรงยุโรปอันสวยงามมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมอาหรับและแอฟริกัน และที่นี่ก็มีทั้งโบสถ์คาธอลิก มัสยิด และวัดฮินดู
เมื่อวาชกู ดา กามา (Vasco da Gama) นักสำรวจชาวปอรตุเกสเดินเรือข้ามทวีปจากยุโรปมาจนถึงแอฟริกาในปี ค.ศ. 1498 นั้น ในขณะนั้นดินแดนแห่งนี้ยังตกอยู่ใต้อาณัติของสุลต่านอาหรับนามว่า Ali Musa Mbiki และต่อมานามนี้ได้กลายมาเป็นคำว่า “โมซัมบิก” อันเป็นชื่อของประเทศมาตั้งแต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การปกครองของปอรตุเกสตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 ....จวบจนปัจจุบัน
อีย่า ดือ โมซัมบิก ไม่ได้มีความสำคัญในฐานะอดีตเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศเท่านั้น เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้คือจุดกำเนิดที่พัฒนาให้โมซัมบิกกลายเป็นดินแดนพหุสังคมที่ผสมผสานคนหลากเชื้อชาติและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน
ผมตัดสินใจเดินทางมาที่นี่โดยฝันไว้ว่าจะใช้เวลาย่ำไปช้า ๆ เพื่อดื่มด่ำกับเมืองเก่าที่ยังคงความสวยงามอยู่ทุกซอกทุกมุม หลังจากที่พักผ่อนจนหายเจ็ทแล็กแล้ว ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ทำตามความฝันเสียที....แต่
“อามีกู้ อามีกู้... หนีห่าว หนีห่าว” เสียงเด็กเล็ก ๆ ทักทายผมอย่างร่าเริง เมื่อผมเริ่มเดินออกจากโรงแรม คำว่า “อามีกู้” นั้นคือ Amigo อันเป็นคำภาษาปอรตุเกสที่แปลว่าเพื่อน ส่วนหนีห่าวนั้น ก็พอเดาได้ว่าเจ้าหนูทึกทึกว่าผมเป็นชาวจีน
“อามีกู้ อามีกู้... หนีห่าว หนีห่าว” เอาอีกละ... คราวนี้จำนวนเด็กเริ่มเพิ่มขึ้นจากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่ และดูเหมือนว่าจะมาเรื่อย ๆ
“Nao. Sou Tailandes - ไม่ใช่ พี่เป็นคนไทยครับ” ผมตอบด้วยภาษาปอรตุเกสสั้น ๆ ตามที่เพิ่งเรียนมา
“อามีกู้มาจาก Japao รึเปล่า? มาจาก Japao ใช่ไหม?” ....วะ ยังไม่เลิกอีก ก็บอกแล้วไงว่าเป็นคนไทยไม่ใช่จีน ญี่ปุ่น หรือชาติไหนทั้งนั้น
เด็ก ๆ ยังไม่เลิกเดินตาม แม้จะเดินหนี....
“มีปากกาไหม? มีสมุดไหม? อยากได้ อยากเอาไว้ไปเรียนหนังสือ หรือจะรองเท้าแตะของเซนยอร์ก็ได้นะ ขอนะ ขอนะ... ไม่ก็เสื้อของเซนยอร์ก็ได้”...ไม่เลิกอีก
“Nao ปากกาก็ไม่มี สมุดก็ไม่มี และจะไม่ให้อะไรทั้งนั้น แล้วรองเท้ากับเสื้อก็ใส่อยู่ จะให้ถอดให้เหรอครับน้อง...” ผมเริ่มหงุดหงิด
ใจนึงก็แอบสงสารและอยากให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านี้ได้ แต่เมื่อคิดว่าเราอาจจะกำลังจะสร้าง “ขอทานอาชีพ” แล้วก็ต้องใจแข็ง
“เอางี้....” ผมหันกลับไปพูดกับเด็กกลุ่มนี้อย่างจริงจัง “ฟังพี่นะ... ถ้าวัน ๆ เอาแต่มาเดินขอข้าวของจากนักท่องเที่ยวแบบนี้ อีกหน่อยจะไม่มีใครมาเที่ยวที่อีย่า ดือ โมซัมบิก อีก เพราะมันน่ารำคาญมาก ๆ และยังไงพี่ก็จะไม่ให้เด็ดขาด เลิกขอได้แล้ว...เข้าใจไหม?” เด็ก ๆ ดูอึ้งไปทันทีเพราะผมพยายามอธิบายข้อความเมื่อสักครู่ด้วยภาษาปอรตุเกส ผสมอังกฤษ และอิตาเลียน...ซึ่งเป็นภาษาที่ผมพอพูดได้ และใกล้เคียงกับปอรตุเกสมาก ๆ และผมคิดว่าเด็ก ๆ เข้าใจ
“ถ้าอยากได้ของ...ก็ต้องทำงานแลกของ หรือแลกเงินไปซื้อของนะ... เข้าใจไหม?” ผมยังคงพยายามสื่อสารต่อพร้อมกับปิ๊งไอเดียขึ้นมาหนึ่งอย่าง
“ถ้ามาพาพี่เดินเที่ยวอีย่า ดือ โมซัมบิก ให้ทั่ว ๆ แล้วพี่จะพาไปซื้อขนมให้ที่ตลาด...ที่แมรกาดู เซนตราล” และผมก็ตั้งใจจริง ๆ ที่จะพาพวกเด็ก ๆ ไปเลือกซื้อขนมที่ Mercado Central หากเขาพาผมเที่ยวสำเร็จ
ดังนั้น “โครงการอาสาสมัครมัคคุเทศก์ยุวชนแห่งอีย่า ดือ โมซัมบิก” จึงเกิดขึ้นในตอนสายของวันนั้น โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า เราจะต้องไปกันแค่นี้ คือผม และน้อง ๆ อีก 5 คน ห้ามไปชวนใครมาอีก และน้อง ๆ ต้องพยายามอธิบายสถานที่ต่าง ๆ โดยใช้ภาษาอังกฤษผสมปอรตุเกสเท่าที่สามารถจะทำได้ ทั้งนี้เด็ก ๆ จะได้ฝึกภาษาอังกฤษ ส่วนผมก็จะได้ฝึกภาษาปอรตุเกสที่เพิ่งร่ำเรียนมา และเมื่อจบทัวร์นี้จบลง เด็ก ๆ ก็จะได้ไปเลือกขนมที่ตัวเองชอบจากแผงขนมในตลาดมาเป็นรางวัลคนละหนึ่งห่อ
เมื่อก่อนผมเคยเจอเหตุการณ์ประมาณนี้มาบ้าง เวลาเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ทุก ๆ ครั้งผมเลือกที่จะเดินหนี หรือทำหน้าไม่สนใจ แต่วันนี้...ผมขอลองวิธีใหม่
เด็ก ๆ ดูกระตือรือร้นมาก ๆ เมื่อรู้ว่าถ้าเขาทำหน้าที่อะไรบางอย่างแล้วจะได้รับรางวัลตอบแทน สิ่งแรกที่เห็นคือ เขาไปกันเด็กอื่น ๆ “ไม่ต้อง... ไม่ต้องยุ่งกับเซนยอร์คนนี้” อันนี้เป็นการทำตามข้อตกลงข้อที่หนึ่งที่เราจะเดินเที่ยวกันห้าคนเท่านั้น
เด็ก ๆ พยายามอธิบายสถานที่ต่าง ๆ เท่าที่ทำได้ และพยายามพูดอังกฤษด้วย อันนี้เจ๋งมาก ๆ ผมนี่แอบยิ้มตาหยีเลย เราเริ่มที่ปลายสุดของเกาะ นั่นคือป้อมปราการเซา เซบาชเตียว (Sao Sebastião)
ป้อมปราการหินตระหง่านอยู่ริมทะเลสวยงาม เด็ก ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมีเพียงผมเท่านั้นที่เดินเข้าไปได้
“ต้องดูอะไรบ้างที่พวกนายคิดว่าเจ๋งสุด?” ผมกระซิบถามไกด์ตัวน้อย
“เซนยอร์ต้องไปดูโบสถ์เล็ก ๆ ที่ปลายแหลม นั่นคือโบสถ์บาลูอาร์ตือ (Baluarte Chapel) ที่เชื่อกันว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินแอฟริกา แล้วก็อย่าลืมไปดูห้องโถงเก็บน้ำ เป็นห้องโถงที่ใหญ่มาก ๆ สูงมาก ๆ ใช้กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้บนเกาะมาตั้งแต่โบราณ และด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด น้ำฝนที่ตกบนหลังคาหรือบนตัวป้อมปราการทุกเม็ดจะถูกนำมารวมในห้องโถงแห่งนี้ มันเป็นโถงที่สูงเหมือนตึกหลายชั้นเลย และทุกวันนี้ก็ยังเป็นแหล่งน้ำจืดของคนบนเกาะนี้อยู่......นอกนั้นเซนยอร์ก็เดินไปทั่ว ๆ นะ วิวสวยมาก ๆ เซนยอร์จะต้องชอบแน่ ๆ” หัวหน้าทัวร์แนะนำ และแน่นอนว่าเซนยอร์ลูกทัวร์อย่างผมก็ทำตามโดยดี
จากป้อมเซา เซบาชเตียว เด็ก ๆ ผาผมออกมารวมกลุ่มกับเด็ก ๆ เพื่อเที่ยวต่อ
อันอีย่า ดือ โมซัมบิกนั้นมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร และแบ่งพื้นที่ออกเป็นครึ่ง ๆ กล่าวคือ
พื้นที่ยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตรที่อยู่ปลายติ่งด้านทะเลนั้น เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า ‘Stone Town’ ซึ่งชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นเขตที่มีสิ่งก่อสร้างทำจากหิน และมักเป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปอันสวยงาม โอ่โถง ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่ทำการรัฐบาล จวนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของกษัตริย์ปอรตุเกส ที่ทำการศุลกากร โรงพยาบาล โบสถ์ วิหาร รวมทั้งตลาด แน่นอนว่าในอดีต บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นปกครอง และชนผิวขาวเท่านั้น ส่วนชาวแอฟริกันมักจะถูกกีดกันให้อยู่อีกส่วนหนึ่งของเกาะ ในพื้นที่ 1.5 กิโลเมตรที่เหลือ อันเป็นย่านที่เรียกว่า “มากูตี” (Macúti)
วันนี้ผมกับเด็ก ๆ เดินเที่ยวเฉพาะเขตสโตนทาวน์เท่านั้น
สารภาพตรง ๆ เลยนะครับว่าผมจำไม่ได้เลยว่าประวัติความเป็นมาของแต่ละสถานที่นั้นเป็นอย่างไร เด็ก ๆ แย่งกันเล่าเรื่องราวเท่าที่เขานึกออกและจดจำได้ และทำให้สายจนบ่ายวันนั้น ผมได้เดินเที่ยวกับมัคคุเทศก์ยุวชนของผมอย่างสนุกสนาน
“นี่วาชกู ดา กามา นักสำรวจชาวปอรตุเกสที่เดินทางจากยุโรปมาแอฟริกาแล้วมาค้นพบอีย่า ดือ โมซัมบิก ก่อนข้ามทะเลต่อไปอินเดีย แล้วชื่อประเทศโมซัมบิก ก็มาจากอีย่า ดือ โมซัมบิกนี่แหล่ะนะ” เด็ก ๆ เล่าเมื่อพาผมมาหยุดยืนที่หน้าอนุสาวรีย์ของ Vasco da Gama “
นี่โบสถ์ซานตู อันโตนีอู รู้จักซานตู อันโตนีโอไหม? เป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์ที่ใคร ๆ มักจะมาขอพรท่านให้มีลูกที่แข็งแรง” เรื่องเล่านี้มาที่หน้าโบสถ์ชื่อเดียวกัน
“นี่โรงพยาบาล และนี่ศาลาว่าการเมือง” อาคารโรงพยาบาลเก่าของอีย่า ดือ โมซัมบิก ยังคงงดงามแม้จะยืนท้าแดดท้าฝนมาหลายศตวรรษ และที่ผมประหลาดใจก็คือ เมื่อผมลองเดินไปด้านหลังของอาคาร ผมพบว่าบางส่วนยังเปิดใช้เป็นคลินิกอยู่ ผมแอบอ้าปากค้างเพราะมันดูเหมือนโบราณสถานมากกว่าอาคารที่ยังใช้งานได้ในวันนี้
“อันนี้สถานีตำรวจ..... อ๊ะ อ๊ะ เซนยอร์อย่าถ่ายรูปนะ เอากล้องลงเดี๋ยวนี้ เอาลงกล้องลงเดี๋ยวนี้เลย ตำรวจที่นี่โหดจริงอะไรจริงนะ” นี่เป็นคำเตือน และอย่างที่เด็ก ๆ บอกนะครับ นักท่องเที่ยวอย่างเราอย่าได้เผลอไปถ่ายภาพสถานที่ราชการเข้าโดยเด็ดขาดเพราะเรื่องอาจลุกลามบานปลายได้... ว่าแล้วผมก็เก็บกล้องลงทันที
“เวลาออกมาเดินกลางคืน อย่าเอามือถือออกมาจากกระเป๋านะ เอาออกมาแค่ตอนถ่ายรูป แล้วต้องเก็บลงกระเป๋านะ ...อย่าถือไว้ในมือตลอดเวลาแบบนี้นะ มันอันตราย” อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคำเตือนจากเด็ก ๆ
เราเดินเล่นเลาะเมืองสวยแห่งนี้ไปตามตรอกซอกซอย จนผ่านประตูบ้านที่ทำจากไม้สลักเสลางดงาม
“โห...ประตูบานนี้สวยจัง บ้านใครน่ะ” ผมถาม
“อันนี้คือบ้านของกามอยช์ เขาเป็นกวีคนสำคัญของปอรตุเกส และเคยอาศัยอยู่ที่นี่หลายปี” เด็ก ๆ กำลังพูดถึง Luís Vaz de Camoes ผู้ที่นอกจากจะเป็นกวีคนสำคัญของปอรตุเกสแล้ว ยังนับว่าเป็นกวีคนสำคัญของโลกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Os Lusíadas ที่เขาได้เขียนบทกวีพรรณนาถึงอีย่า ดือ โมซัมบิกแห่งนี้ไว้อย่างซาบซึ้งกินใจ
อีย่า ดือ โมซัมบิก นั้นเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก ๆ อาคารเก่าในสถาปัตยกรรมยุโรปผสมผสานอาหรับและแอฟริกันสวยงามชวนหลงไหล สีปาสเทลที่ฉาบอาคารแม้จะดูเก่าและทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่ได้ทำให้สเน่ห์ของเมืองนี้ลดลงแต่อย่างใด
เราเดินเล่นจนบ่ายและมาจบกันที่ตลาดปลาที่วันนี้ไม่มีปลาขายสักตัวและผมก็คิดว่าน้อง ๆ ควรได้รับรางวัลกันแล้ว
“ไปแมรกาดู เซนตราล กัน... ไปเลือกขนมเลย แถมน้ำคนละกระป๋อง” เด็ก ๆ ดีใจ และผมก็ได้โอกาสอบรมอีกครั้ง
“อย่าลืมนะ.... อย่ามาเดินขอของแบบนี้ ต้องทำงานนะ เข้าใจใช่ไหม?”
และผมก็แอบหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ...
บันทึกฉบับบนี้คงจะจบลงไม่ได้ หากผมไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้น เมื่อผมได้มีโอกาสพบกับเด็กน้อยคนหนึ่งในกลุ่มมัคคุเทศก์ยุวชนที่พาผมเดินเที่ยวเมื่อวานนี้
เขาคือ เด็กชายฟาชตินู่ (Fastino)
ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมไปดำผุดดำว่ายตามเกาะแก่งต่าง ๆ รอบอีย่า ดือ โมซัมบิก เมื่อกลับมาที่โรงแรมแล้ว ผมก็พบว่าเด็กชายฟาชตีนู่มารออยู่ที่นั่น
หนูน้อยฟาชตีนู่ไม่ได้มามือเปล่าแต่เอาภาพวาดมาด้วยจำนวนหนึ่งครับ
”เซนยอร์ ไตยลานเด๊ช.... เซนยอร์ ไตยลานเด๊ช... หนีห่าว” ฟาชตีนู่เรียกผมแบบเขิน ๆ
เฮ่อออออ....อีกละ.... หนีห่าวอีกละ ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังเรียกประเทศถูก
“ผมวาดรูปมา... นี่วาชกู ดา กามา นี่โรงเรียนผม แล้วนี่รูปบ้านผมที่มากูตี” ฟาชตีนู่ค่อย ๆ แอบหยิบภาพออกมาที่ละภาพสองภาพ สามภาพไปเรื่อย ๆ
”เฮ้ย....” ผมแอบตกใจ นี่ไปวาดรูปมาจริง ๆ เอามาให้พี่เหรอ ซึ้งใจ ซึ้งใจ
”ผมเอามาขายเซนยอร์รูปละ 100 เมติไกช์ได้ไหมครับ?” ฟาชตีนู่ทำน้ำตาแห่งความซึ้งใจผมแห้งลงทันที ..... แต่ผมกำลังแอบยิ้ม
เจ้าหนูนี่เซ็งลี้ฮ้อมาก ๆ เพราะไปวาดรูปมาทั้งหมด 8 รูป เพื่อนำมาขายผมรูปละ 100 เมติไกช์ ตกประมาณรูปละ 50 บาท
“เซนยอร์ ไตยลานเด๊ช บอกว่าต้องทำงานแลกเงินไง” ฟาชตีนู่พูดต่อ “ผมเลยวาดรูปมาขาย” คราวนี้ผมถึงกับฮาสนั่น
“100 เมติไกช์แพงไปนะ ฟาชตีนู่” ผมเริ่มต่อราคา
“เซนยอร์จะซื้อกี่รูปล่ะ?” ฟาชตีโน่รุก
“ถ้าเหมาหมด 300 เมติไกช์ล่ะ” ผมชิงบอกราคามั่วไปก่อน
“350 ละกัน... นะ นะ เซนยอร์” ฟาชตีนู่ไม่ยอมแพ้
”ได้... งั้นเหมา 8 รูป 350 เมติไกช์” ผมตกลง และยื่นเงินให้ในราคารูปละ 20 บาทโดยประมาณ
ผมรีบเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับในโรงแรมให้มาช่วยแปลประโยคที่ผมกำลังจะบอกเขาว่า
“ฟาชตีนู่... นายเจ๋งมาก ๆ ขอให้นายหัดวาดรูปให้เก่ง ๆ พูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ๆ จะได้พานักท่องเที่ยวเดินเที่ยวอีย่า ดือ โมซัมบิก หรือไม่ก็วันหนึ่งนายอาจจะได้เป็นศิลปินและทำงานศิลปะสวย ๆ มาขายนักท่องเที่ยวนะ”
ผมรู้ดีว่ามันอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาความยากจนที่หมักหมมอยู่ในประเทศนี้แบบถาวร แต่ผมหวังว่ามันจะทำให้เด็กชายคนนึงพยายามดิ้นรนให้มากขึ้นเพื่อดำรงชีวิต... มากกว่าการเดินขอเงิน ขอปากกา ขอสมุดไปวัน ๆ
หากมาอีย่า ดือ โมซัมบิก แล้วเจอฟาชตีนู่แถว ๆ หน้าโรงแรม Villa Sand ขายภาพหรือเดินเข้ามาขออนุญาตพาคุณเที่ยวอีย่า ดือ โมซัมบิกแล้วล่ะก็
ผมฝากให้อุดหนุนเขาด้วยนะครับ
อ่าน "เที่ยวสลัมในโมซัมบิก คลิก
STORY BY โลจน์ นันทิวัชรินทร์