HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
เดินเที่ยวสลัมในโมซัมบิก
by โลจน์ นันทิวัชรินทร์
24 ส.ค. 2561, 00:35
  2,486 views

ดูร่องรอยประวัติศาสตร์การต่อสู้ของโมซัมบิกและถิ่นกำเนิดวีรบุรุษของชาติในสลัม “มาฟาลาลา”

        ผมกำลังยืนอยู่บน อเวนิดา มาเรียน กูวาบี (Avenida Marien Ngouabi) ถนนสายหลักเส้นหนึ่งของกรุงมาปูตู (Maputo) มืองหลวงของประเทศโมซัมบิก (Mocambique) ประเทศขนาดใหญ่ในแอฟริกาตะวันออก อดีตอาณานิคมของปอรตุเกส

        ในอดีตถนนสายนี้เป็นถนนที่ตัดขึ้นเพื่อเป็นเส้นแบ่งเขตเมืองมาปูตูออกเป็นสองส่วน ในสมัยที่ปอรตุเกสยังปกครองโมซัมบิกอยู่นั้น เมืองมาปูตูมีชื่อว่า ลอเรนซู มารเกช” (Lourenco Marques) และเมืองหลวงแห่งนี้ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ

น้องกำลังจะไปโรงเรียนครับ

        ส่วนแรกคือ ย่านคนขาว ที่สงวนไว้สำหรับคนผิวขาวอย่างชาวปอรตุเกสเจ้าอาณานิคมเท่านั้น และเรียกขานกันง่าย ๆ ด้วยภาษาปอรตุเกสว่า Cidade de Cimento (ซิด๊าดดึ ดือ ซีเมนตู้)

        สาเหตุที่ชาวเมืองขนานนามย่านคนขาวว่าเป็น เมืองซีเมนต์ ก็เพราะสิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้ทั้งหมดล้วนทำจากซีเมนต์ ก่ออิฐถือปูนจนโอ่โถง อลังการและงดงาม นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรอันนับว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองอีกด้วย

        ส่วนอีกย่านหนึ่งนั้นเรียกว่า Cidade de Canico (ซิด๊าดดึ ดือ กานิซู) อันเป็นย่านของคนผิวสี ชาวแอฟริกันผู้เป็นเจ้าของประเทศมาตั้งแต่โบราณกาล

ต้นกกหายไป กลายเป็นสังกะสีและไม้เก่าๆ 

        คำว่ากานิซู (Canico) นั้น เป็นศัพท์ภาษาปอรตุเกสที่มีหมายความว่าต้นกกเพราะสิ่งก่อสร้างในย่านนี้ล้วนทำมาจากต้นกกอันเป็นวัตถุดิบพื้น ๆ ที่ไม่คงทนถาวรอย่างซีเมนต์ การกำหนดให้บ้าน หรือสิ่งก่อสร้างใด ๆ ในย่านนี้สร้างขึ้นด้วยต้นกกนั้น เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยปอรตุเกสในสมัยอาณานิคม ทั้งนี้เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่ประชากรชาวปอรตุเกสที่อาศัยอยู่ในย่านคนขาวเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นจนแน่นขนัด และจำเป็นต้องขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้นออกไปแล้วล่ะก็ การรื้อถอนบ้านที่ทำจากต้นกกของคนผิวสีก็จะทำได้อย่างง่ายและรวดเร็ว

        และในที่สุด... ชาวแอฟริกันผู้เป็นเจ้าของดินแดนนี้ก็ต้องถอยร่นออกไปเพื่อหลีกทางให้คนขาวอีกครั้ง

        สำหรับชาวแอฟริกานั้น การจะเดินข้ามเขตมาสู่ย่านคนขาวนั้นทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษสถานหนัก จะมีเฉพาะบางคนที่นับเป็นกรณียกเว้นด้วยมีเหตุผลอันสมควร เช่น มาเป็นแรงงานในการก่อสร้าง มาทำความสะอาด หรือมารับใช้เจ้านายผิวขาว เป็นต้น และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้วก็ต้องรีบกลับไปถิ่นเดิมของตนในเวลาค่ำโดยไม่สามารถค้างคืนในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ และก่อนจะข้ามเขตมานั้น ก็ต้องมีเอกสารอนุญาตอย่างถูกต้องจากทางการปอรตุเกสที่มาพร้อมกับกฏยิบย่อยอีกหลายประการ เช่นต้องเข้ารีตประกาศตนเป็นคาธอลิก ต้องพูดภาษาปอรตุเกสได้อย่างดี ต้องแต่งตัวแบบชาวยุโรป และต้องมีกิริยาที่ “เหมาะสม”

ทางเดินในฟาลาลา

        มาฟาลาลา (Mafalala) เป็นสลัมที่อยู่ติดย่านคนขาวเพียงแค่ข้ามถนนสายนี้ไปเท่านั้น ปัจจุบันก็ยังคงสภาพเป็นเช่นอดีตกาลที่ผ่านมา แต่มาฟาลาลาไม่ใช่สลัมธรรมดา เพราะที่นี่คือสถานที่สำคัญที่นำโมซัมบิกให้พ้นจากการปกครองของปอร์ตุเกสและก้าวสู่อิสรภาพในที่สุด

        ”มูลาตู มูลาตู เด็ก ๆ ตะโกนเรียกผมกันสนุกสนานขณะที่ผมเดินเข้าสู่เขตมาฟาลาลา และคำว่า Mulato นั้น เป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมระหว่างคนขาวและคนผิวสี

         ผมคิดว่าเด็ก ๆ อาจงงว่าตี๋ ๆ แบบนี้ฝรั่งก็ไม่ใช่ แอฟริกันก็ไม่ใช่... งั้นเป็นมูลาตูไปละกันนะพี่นะ

        จากถนนใหญ่กลายเป็นถนนฝุ่นสายแคบ ๆ ที่พาผมลัดเลาะเข้าสู่มาฟาลาลาพร้อมกับไกด์ท้องถิ่นนามว่า เบเน บ้านต้นกกในอดีตถูกแทนที่ด้วยบ้านไม้บุสังกะสีเก่าคร่ำคร่าที่ดูโทรมบ้างผุบ้าง ตรงกันข้ามกับหน้าตาผู้คนที่ยิ้มแย้ม สดใส และเป็นมิตร

        เบเน เกิดและเติบโตในมาฟาลาลา เขาพูดได้ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ไม่นับปอรตุเกส และชังกาน่าอันเป็นภาษาแม่ของเขา และที่ผมแปลกใจคือ

หน้าตาร้านขายของชำในมาฟาลาลา

        “ส่วนมากผมเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเองครับ... เริ่มเรียนจากโรงเรียนตอนประถม หลังจากนั้นผมก็เรียนจาก Youtube หรืออ่านจากอินเทอร์เน็ต รวมทั้งฝึกพานักท่องเที่ยวอย่างเซนยอร์เดินเที่ยวในมาฟาลาลา” เบเนเล่าให้ฟังด้วยภาษาอังกฤษที่อยู่ในขั้นดีทีเดียว

       ผมภูมิใจมากที่เกิดและเติบโตที่นี่ เพราะมาฟาลาลาคือสลัมที่สร้างชาติ

          ในอดีต เมื่อชาวแอฟริกาผู้เป็นเจ้าของประเทศถูกไล่ต้อนและจำกัดพื้นที่อยู่อาศัย พวกเขามองเห็นความแตกต่างที่อยู่ห่างเพียงแค่ข้ามฟากถนน ทั้งต้องอดทนกับการกดขี่และเอาเปรียบมาอย่างต่อเนื่องนับร้อย ๆ ปี กระบวนการปลดแอกสู่อิสรภาพจึงเกิดขึ้นในสลัมแห่งนี้

        เบเนพาผมเดินผ่านซอกเล็กซอยน้อยลัดเลาะไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ ยังคงเป็นพระเอกนางเอกที่สร้างสีสันให้มาฟาลาลา พวกเขาตื่นเต้นยินดีที่มีมูลาตูมาเยี่ยม ยิ่งพอเราเดินไปถึงโรงเรียนประถมหมายเลข 23 อันเป็นที่หยุดพักแรก เด็ก ๆ ก็กรูมาทักทายอย่างสนิทสนม

โรงเรียนประถมหมายเลขที่ 23 ในมาฟาลาลา

       หนีหาว หนีห่าว สบายดีไหม? เด็ก ๆ ทักทายกันเสียงขรม แม้จะพยายามบอกว่าผมเป็น “Tailandes” แต่ก็ดูเหมือนว่าเด็ก ๆ จะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่ากับ “Chines”

        ผมกับเด็ก ๆ เล่นกันอยู่พักใหญ่ก่อนคุณครูจะตามไปเข้าแถวเพื่อร้องเพลงชาติ และแยกย้ายกันเข้าห้อง

        เบเนเริ่มเล่าให้ผมฟังต่อเกี่ยวกับสลัมสร้างขาติแห่งนี้ “มาฟาลาลาเป็นสลัมที่รวมวีรบุรุษแห่งชาติโมซัมบิกทุกสาขาไว้เป็นจำนวนมาก Samora Machel ประธานาธิบดีคนแรกผู้นำการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของโมซัมบิก รวมทั้งประธานาธิบดีคนที่สอง Joaquim Chissano และอดีตนายกรัฐมนตรี Pascoal Mocumbi ก็เติบโตในมาฟาลาลา

        ปราชญ์ของแผ่นดิน ผู้เป็นทั้งกวีนามว่า Jose Graveirinha ผู้ซึ่งเขียนบทกวีชื่อว่า ‘Grito Negro’ หรือเสียงคร่ำครวญของคนดำ ก็เกิดและโตในมาฟาลาลา บทกวีของเขาบทนี้ช่วยจุดประกายความคิดเรื่องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของวีรบุรุษหลายต่อหลายคน รวมทั้งเป็นสร้างแรงผลักเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมในสังคมแอฟริกาผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Negritude Movement

ห้องสมุดในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ด้านหลังคือรูปของเอวเซบิโอ้ นักฟุตบอลชาวโมซัมบิกผู้เป็นสุดยอดนักเตะระดับโลก

        “ศิลปินคนสำคัญของโมซัมบิกอย่าง Malangatana หรือแม้กระทั่งนักบอลคลาสสิค Eusebio de Silva Ferreira ศูนย์หน้าผู้ได้รับฉายาว่าเสือดำแห่งโมซัมบิก นักฟุตบอลระดับตำนานตลอดกาลของโลก ก็เติบโตจากสลัมแห่งนี้ เบเนเล่าให้ผมฟัง ใบหน้าบ่งบอกความภูมิใจในบ้านเกิด ขณะที่เราเดินมาถึงสนามบอลใหญ่กลางชุมชนแออัดแห่งนี้พอดี

        “สนามนี้เอวเซบิโอ้คงเคยเตะมาก่อนแน่ ผมถามเบเนด้วยความเชื่อเช่นนั้น

        “.... ผมไม่แน่ใจ แต่เรามีแข่งขันฟุตบอลมาฟาลาลา คัพ เพื่อสืบทอดตำนานวีรบุรุษอย่างเขา และสร้างความภูมิใจให้เยาวชนรุ่นต่อ ไป เบเนบอก

สนามบอลนี้นักเตะในตำนาน เอวเซบิโอ้ เคยเตะมาก่อน

        และการเดินเที่ยวในมาฟาลาลาจะไม่มีทางเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์หากเราพลาดการชมการแสดงของหญิงสาวชนเผ่ามากัว (Macua) ในนามของ ตูฟู ดือ มาฟาลาลา” (Tofu de Mafalala)

        ความจริงชนเผ่ามากัวนั้นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือในเขตเมืองอย่างเช่นเมือง นัมปูลา (Nampula) หรือเมือง อีย่า ดือ โมซัมบิก (Ilha de Mocambique) อันเป็นเมืองหลวงดั้งเดิมที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนของประเทศโมซัมบิก ก่อนที่ต่อมาปอรตุเกสจะย้ายเมืองหลวงมายังมืองลอเรนซู มารเกช ที่ปัจจุบันคือมาปูตู

ศิลปะบนกำแพงคือภาพตูฟู ดึ มาฟาลาลาหรือหญิงชาวมากัว นักเต้น นักร้อง และศิลปินที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มาแต่โบราณ

       และเมื่อสร้างเมืองขึ้นมาในช่วงแรก ๆ นั้น จำเป็นต้องอาศัยแรงงานที่มีฝีมือและความรอบรู้ ดังนั้นชาวมากัวจำนวนมากจึงถูกกวาดต้อนลงมาในพื้นที่นี้ด้วยเพื่อสร้างเมืองใหม่ และพวกเขาก็ได้อาศัยในมาฟาลาลาแห่งนี้

        โรงละครคือบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีชานบ้านพอนั่งเล่นสำหรับครอบครัวใหญ่ ๆ ผมเห็นสาว ๆ มากัวแต่งกายในชุดพื้นเมือง พวกเธอสวมใส่ผ้ากาปูลาน่าสีสวยสดใส และทาหน้าด้วยแป้งชนิดหนึ่งที่ทำจากไม้ แว่บหนึ่งผมแอบนึกถึงสาวชาวพม่าที่ใช้ ทานาคา ทาหน้าในลักษณะเดียวกัน

หญิงสาวชาวเผ่ามากัว ศิลปินของย่านนี้ ทาหน้าด้วยแป้งคล้าย ทานาคาของพม่า

       สาว มากัวผิวสวยเพราะทาหน้าด้วยไม้นี้แหล่ะครับ นอกจากจะบำรุงแล้วยังช่วยกันแดดด้วยครับ เบเนอธิบายสรรพคุณอันครบถ้วนของแป้งวิเศษนี้

        ดนตรีเริ่มขึ้นด้วยเสียงกลอง และกรับไม้ นอกนั้นคือเสียงร้องเพลงของหญิงสาวที่สอดประสานกันอย่างไพเราะ พวกเธอค่อย ๆ ลุกขึ้นเต้นโดยโยกตัวไปตามจังหวะอย่างพร้อมเพรียง และเดินไปมา และแล้วพวกเธอก็เริ่มเดินมาที่ผม

การแสดงของตูฟู ดึ มาฟาลาลา ของหญิงชาวเผ่ามากัว

      ตกลงผมต้องเต้นด้วยใช่ไหมครับ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” ผมถามแก้เขิน แต่มือและเท้านั้นเริ่มออกสเต็ปตามพวกเธอไปแล้ว

        ท่าเต้นของชาวมากัวเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลยครับ สะโพกของพวกเธอส่ายได้พลิ้วสวยแม้จะเดินด้วยหมุนตัวด้วย ในขณะที่ผมเต้นเหมือนคนเอวบิด และต้องแอบลงนั่งชื่นชมในที่สุด

        อันที่โชว์สกิลกันสุด ๆ ก็คือการกระโดดเชือกไปร้องเพลงไป เต้นกันไป แม้จะทำหลายอย่างก็ไม่มีข้อผิดพลาดแต่อย่างใดเลย

มีหนุ่มไทยแอบปลื้มในความสามารถของพวกเธอทุกคนครับ.

        สำหรับผมนั้น การเดินเที่ยวมาฟาลาลาไม่ได้เพียงแต่ทำให้ผมได้เห็นวิถีชีวิตที่ชาวโมซัมบิกจำนวนหนึ่งอยู่กันจริง ๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญสุดก็คือได้เดินดูร่องรอยประวัติศาสตร์โมซัมบิกที่ผ่านการต่อสู้อย่างทรหดนับร้อย ๆ ปีกว่าจะได้รับอิสรภาพเมื่อปี ค.ศ. 1975... รวมทั้งเรื่องราวอันน่าจดจำของวีรบุรุษของชาติหลายต่อหลายคนที่ล้วนมาจากสลัมนามว่า มาฟาลาลา แห่งนี้

STORY AND PHOTOS BY โลจน์ นันทวชรินทร์

ABOUT THE AUTHOR
โลจน์ นันทิวัชรินทร์

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่มีใครอยากไปเลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker

ALL POSTS