ปักด้วยใจ
ก้าวข้ามอุปสรรคของผู้พิการทางสายตา ด้วยงานปักผ้าที่ใช้ใจล้วน ๆในโครงการ "ปักจิตปักใจ"
ใครๆ คงคิดว่างานฝีมือเช่นงานปักที่ต้องทำงานกับของมีคมเช่นเข็มและอาศัยความแม่นยำของฝีเข็มน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้พิการทางสายตาจะเลือกทำเป็นอาชีพ แต่ด้วยโครงการ “ปักจิต ปักใจ” ที่ต้องการท้าทายความพิการทางร่างกายของพวกเขา ทำให้คนพิการทางสายตากลุ่มแรกได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด... การปักผ้าซาชิโกะ
“ทำไมเราไม่มีสินค้า [โดยคนพิการ] ที่ใช้ได้จริง และคนซื้อไม่ได้ซื้อเพราะความสงสาร” คือคำถามที่วันดี สันติวุฒิเมธีมักตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่เห็นกระเป๋าหรือของชำร่วยที่ทำจากลูกปัดสีสันสดใสร้อยมาในรูปแบบคล้ายคลึงกันจนทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อเพราะความสงสารแต่กลับไม่เคยใช้สินค้าเหล่านั้นจริง
ความพยายามหาคำตอบที่ค้างคาในใจมานานได้นำวันดีมาสู่การนำเสนอความคิดให้กับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยเพื่อก่อตั้งโครงการ “ปักจิต ปักใจ” เพื่อมุ่งหวังเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคที่ต้องการอุดหนุนสินค้าของคนพิการไม่ใช่เพียงเพราะความสงสาร อีกทั้งยังต้องการให้คนพิการทางสายตาท้าทายศักยภาพตัวเอง เปลี่ยน “มุมมอง” ต่อความพิการของตัวเอง และไม่จำกัดอยู่ในอาชีพที่ถูกกำหนดโดยสังคมเท่านั้น
โครงการนี้เริ่มขึ้นอย่างง่ายๆ ในวันหนึ่งที่วันดีได้นึกถึงการปักผ้าซาชิโกะที่เธอได้รู้จักเมื่อสามปีก่อนตอนที่เริ่มเรียนเย็บผ้าเป็นครั้งแรก จึงลองปรึกษากับภวัญญา แก้วนันดา เซียนปักผ้าซาชิโกะ ซึ่งนักเรียนที่ Sewing Studio ในเชียงใหม่เรียกเธอว่า “ป้าหนู” ถึงความเป็นไปได้ที่คนพิการทางสายตาจะทำงานฝีมือกับการปักผ้าซาชิโกะที่ใช้เส้นด้ายหนากับเข็มเล่มใหญ่ ป้าหนูไม่รอช้าจึงทำการทดลองปิดตาตัวเองแล้วนั่งปักผ้าทันทีและค้นพบว่า “มันเป็นไปได้” จึงทำให้เป็นที่มาของโครงการที่มีคนพิการทางสายตา 6 คนแรกของประเทศมาหัดสนเข็มและปักผ้าซาชิโกะกับป้าหนูตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ป้าหนูคิดว่าการมองไม่เห็นไม่ใช่อุปสรรคในการปักผ้าซาชิโกะแต่อย่างใด เพราะแม่บ้านในสมัยโบราณก็ต้องปักผ้ากันในยามค่ำคืนท่ามกลางตะเกียงไฟสลัวๆ ซึ่งต้องใช้สัมผัสและความรู้สึกในการปักมากกว่าใช้สายตามองในปัจจุบัน
“เพราะฉะนั้น ถ้าแม่บ้านในยุคโบราณสามารถปักผ้าได้ถึงแม้ว่าแสงไม่ค่อยมี [คนพิการทางสายตา] ก็ต้องทำได้ เพราะเขาจะมีสัมผัสที่ดีกว่าเราที่ใช้สายตามอง” ป้าหนูเล่าย้อนถึงช่วงเริ่มโครงการ
การปักเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งเดิมทีเป็นเพียงการซ่อมหรือชุนผ้าที่ขาด วิธีการเย็บง่ายๆ คล้ายการด้นผ้าบ้านเรา แต่ในปัจจุบันการปักผ้าซาชิโกะถูกนำมาใช้เป็นการปักลวดลายที่ไม่ซับซ้อน นั่นก็คือการปักผ้าเส้นสั้นๆ ให้เป็นลายสายฝน หรือวงกลม การปักผ้าซาชิโกะถูกแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยผู้ฝึกหัดต้องเริ่มจากลวดลายที่ไม่ซับซ้อน เช่น เส้นประตรง ที่มองดูคล้ายฝนตก แล้วค่อยๆ ยกระดับความยากไปที่การทำเส้นประเป็นวงกลมซ้อนกันหลายๆ วงที่เรียกกันว่า “รอยเท้าแมงปอแตะผิวน้ำ” ซึ่งเป็นความยากระดับ 1+ ที่นักเรียนสายตาปกติใช้เวลาเรียนหลายสัปดาห์ แต่ผู้เข้าร่วมโครงการปักจิตปักใจสามารถทำได้ภายในเวลาอันสั้น “เพราะพวกเขาใช้มือสัมผัสและความใจเย็นในการปัก ไม่ใช่การมองเห็น”
การสื่อสาร
แน่นอนว่าการสอนคนพิการทางสายตาเป็นครั้งแรกคงไม่ได้ง่ายเหมือนการสอนให้คนมองเห็นปักผ้าเหมือนเคย นอกเหนือที่ป้าหนูต้องเตรียมอุปกรณ์ทุกชิ้นให้ติดกระดิ่งเพื่อ “สื่อสาร” กับนักเรียนที่มองไม่เห็นเมื่อต้องจับหรือใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งครูและนักเรียนต่างประสบปัญหาในการสื่อสารเทคนิคการปักผ้าในช่วงแรก
สุดาพร ยศอาลัย หรือ พี่หวล เล่าว่าครั้งแรกกลุ่มนักเรียนไม่เข้าใจเทคนิคการปักที่ป้าหนูพยายามอธิบายการปักโดย “ปักขึ้นขนาดเมล็ดข้าวสาร และปักลงขนาดก้านไม้ขีดไฟ” ในแบบที่เธอใช้กับนักเรียนมาตลอดหลายปี แต่นักเรียนรุ่นพิเศษ “มอง” ไม่เห็นภาพขนาดเมล็ดข้าวสารกับก้านไม้ขีด
“พวกเราถกกันอยู่นานว่ามันคืออะไร และพูดคุยกันระหว่างเรียนจนได้ข้อสรุปเทคนิคการปักด้วยคำอธิบายง่ายๆ สำหรับสอนคนพิการทางสายตากันเองว่า “ปักขึ้นยาว ปักลงสั้น” เท่านั้นเอง” พี่หวลเล่าให้ฟังแบบภาคภูมิใจที่พวกเธอสามารถช่วยหาข้อสรุปการสื่อสารเพื่อใช้เป็นเทคนิคการสอนนักเรียนรุ่นต่อไป
นอกจากความภาคภูมิใจที่ได้เป็นนักเรียนรุ่นแรกแล้ว นักเรียนผู้พิการทางสายตายังภาคภูมิใจกับชิ้นงานที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้แต่กลับสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าและยังสร้างชิ้นงานที่ประณีตและสวยงามไม่แพ้คนสายตาปกติ
ป้าหนูคาดหวังว่าภารกิจที่ท้าทายความสามารถทางการมองเห็นของการปักผ้าซาชิโกะภายใต้ โครงการ “ปักจิต ปักใจ” จะช่วยส่งเสริมให้คนพิการทางสายตามีความมั่นใจในศักยภาพตัวเองมากขึ้น ไม่จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่อาชีพที่สังคมกำหนดให้ “แต่พวกเขายังจะมีหนึ่งอาชีพรองรับชีวิต”
ในขณะที่วันดี ผู้ริเริ่มความคิดหวังว่าโครงการนี้จะทำให้สังคมมีมุมมองต่อผู้พิการเปลี่ยนไป และซื้อสินค้าที่พวกเขาผลิตเพราะความสวยงามหรือการใช้งานจริง ไม่ใช่เพียงเพราะความสงสาร
ความฝัน
ระหว่างการสนทนาในร้านนวดแผนโบราณในเชียงใหม่ของสุพัตรา จิโน หรือ ป้าพัตร หมอนวดที่พิการทางสายตาทุกคนมักนิ่งอยู่นานและส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า พวกเขาอยากจะเป็นอะไร หรืออยากจะทดลองทำอะไรนอกเหนือไปจากกิจกรรมหรืออาชีพที่สังคมกำหนดให้
แน่นอนว่าผู้พิการทางสายตากลุ่มแรกที่เข้าร่วมไม่ได้มั่นใจในความสามารถของตนเองนัก เพราะถูกสังคมหล่อหลอมความเชื่อจนทำให้พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าอาชีพของพวกเขาไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เพียงการขายล็อตเตอรี่ นวดแผนโบราณ หรือร้อยลูกปัด
ป้าพัตร ในวัย 68 ปีใช้เวลาเกือบ 20 นาทีกว่าจะหาคำตอบได้ว่าป้าเคยอยากเป็นหมอ แต่ข้อจำกัดจากการสูญเสียการมองเห็นตั้งแต่สองขวบทำให้เธอเริ่มฝึกอาชีพและกลายมาเป็นหมอนวดแผนโบราณที่มีโอกาสรักษาคนในอีกรูปแบบมาตั้งแต่ปี 2528
แม้ว่าป้าพัตรจะมีความทรงจำกับสิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นในสองปีแรกน้อยมาก และไม่เคยเห็นแม้แต่เข็ม แต่เธอกลับมีความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการร้อยลูกปัดสีให้เป็นกระเป๋า หรือทำกับข้าวกินเองได้โดยไม่เคยโดนมีดบาดแม้แต่หนเดียว แต่ตัวป้าพัตรเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถปักผ้าซาชิโกะได้ แต่ด้วยความรักงานฝีมือจึงอยากร่วมท้าทายความพิการของตนเอง “ถ้าคนอื่นทำได้ เราต้องทำได้”
ป้าพัตรและเพื่อนๆ ร่วมรุ่นต่างเรียนรู้การปักผ้าจนสามารถสร้างชิ้นงานขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
โครงการ “ปักจิต ปักใจ” ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยและก่อตั้งเป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่มุ่งหวังจะช่วยให้ผู้พิการมีความภาคภูมิใจในการสร้างผลงาน มีอาชีพที่นอกเหนือจากที่สังคมกำหนด และสามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โครงการดังกล่าวกำลังสอนนักเรียนผู้พิการทางสายตารุ่นแรกจำนวน 6 คนให้ปักผ้าเพื่อที่จะนำไปทำเป็นสินค้า รายได้จากการขายสินค้าจะถูกแบ่งให้เป็นค่าฝีมือให้กับเจ้าของผลงานโดยคิดจากความยากง่ายและความคิดสร้างสรรค์ของลวดลาย และอีกจำนวนหนึ่งจะถูกแบ่งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสอนคนพิการทางสายตารุ่นต่อไป
STORY BY Arinya
PHOTO BY ศุภจิต สิงหพงษ์