5 เหตุผลดีๆ ที่ต้องพาแม่เที่ยวอินเดีย
พาแม่ไปเที่ยวอินเดียดีไหมนะ เริ่มจาก "ราชสถาน" ละกัน
บางทีแม่ก็ไม่รู้ว่าแม่อยากไปเที่ยวไหน และอินเดียก็ไม่เคยผ่านแวบเข้ามาในหัวสักนิด แต่ก็นั่นแหละ แม่อาจไม่รู้ตัวว่าอยากไปอินเดีย และเมื่อแม่ชอบภูฐาน อินเดียอาจจะโดนใจแม่ก็ได้ ใครจะรู้
... ที่สำคัญคือ ไม่ลองก็ไม่รู้
รัฐหนึ่งในอินเดียที่เราเชื่อว่า พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา และใครๆก็สามารถเข้าถึงและสัมผัสได้ อย่างสบาย สบาย แถมยังมีสีสันของอินเดียเต็มเปี่ยม นั่นก็คือราชสถาน รัฐใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ แถมชื่อก็บอกแล้วที่สถานที่ของมหาราชา ใหญ่โตโอ่อ่ากว่ารัฐใดๆ ในอินเดีย และเจริญมากเสียด้วย ตอนนี้เติบโตรวดเร็วอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไปแล้ว เมืองหลวงของรัฐนี้คือ จัยปูร์ เรียกเพราะๆแบบไทย ว่าชัยปุระ เมืองแห่งชัยชนะ เหตุผลดีๆ ที่พาแม่มาที่นี่คือไรนะ
1. มหานครสีชมพู
แอบนึกดีใจ ที่สีชมพูของนครจัยปูร์ไม่ใช่ ชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ หรือสีชมพูเสื้อกีฬาสีโรงเรียน แต่เป็นสีชมพูอมส้มของหินทรายสีชมพู ที่เรียกว่า เทอราคอตต้าพิงค์ สวยแบบอบอุ่นๆ
ที่มาของสีสันแสนพิเศษนี้ ก็มาจากการที่องค์มหาราชาสั่งการให้ประชาชนทาเมืองให้สวยงามเพื่อต้อนรับการมาเยือนของ อัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระโอรสองค์โตของควีนวิคตอเรีย เมื่อ 142 ปีก่อน ว่ากันว่าสีชมพูอมส้มนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับแขกเมือง (แม้หลายคนอาจงง ว่ามันชมพูตรงไหน ส้มชัดๆ )
ก่อนที่จัยปูร์ เมืองหลวงสีชมพูแห่งนี้จะเกิดขึ้น อาเมอร์ Amer เมืองหลวงเดิมนั้นอยู่บนภูเขาห่างออกไป 11 กม. เมื่อเกิดภัยแล้งขาดแคลนน้ำบ่อยเข้าๆ มหาราชาไสว ใจ สิงห์ ที่ 2 แห่งราชบุตร เลยบัญชาให้ก่อสร้างเมืองใหม่ แต่ความคิดจะสร้างเมืองใหม่นั้นธรรมดาเสียเมื่อไร นึกสิว่าเมื่อเกือบ 300 ปีมาแล้ว มหาราชาไม่คิดสร้างเมืองไปอย่างสะเปะสะปะ แต่เกิดแนวคิดให้จ้างสถาปนิกมือโปรมาวางผังเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผลงานจึงออกมารูปผังตารางสี่เหลี่ยม 9 ช่องตัดกัน ตามตำราศิลปะศาสตร์ของฮินดู แต่ละช่องตารางห่างกัน 7 ช่วงตึก คั่นด้วยถนน แสดงถึง ทวีปทั้ง 9 ในจักรวาล และยังมีถนนล้อมรอบสี่ด้าน มีกำแพงสูงรอบขอบเขตเมือง
ในที่สุด เมืองใหม่แห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 4 ปี เสียเงินค่าสร้างไปเท่าไรไม่ปรากฏ
ผังเมืองสวย แม่ก็สบายตา สบายใจ ที่เที่ยวในเมืองก็มีทั้งพระราชวังของมหาราชาประดับประดาอย่างงดงามตามแบบราชบุตรและโมกุล มีฮาเวลีหรือแมนชั่นแบบดั้งเดิม ป้อมปราการโบราณ ย่านการค้าคึกคัก มีสีสันแห่งวัฒนธรรมเต็มเปี่ยม
หากใครมาที่จัยปูร์ รัฐราชสถาน รับรองว่าแตกต่างกับทริปแสวงบุญในรัฐพิหาร ดินแดนพุทธภูมิที่เต็มไปด้วยขอทานยากจนลิบลับ เพราะที่นี่รวยกว่าเยอะ
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ จัยปูร์ยังเติบโตรวดเร็วมาก มีประชากรเพิ่มขึ้นไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ตอนนี้ในเมืองมีกว่า 3 ล้านคนแล้ว แถมตอนนี้มีเที่ยวบินตรงจากรุงเทพฯเสียด้วย ใช้เวลาเดินทางเพียง 4 ชั่วโมงนิดๆเท่านั้น บินสั้นแค่นี้แม่บอกไม่เหนื่อย
2. ป้อมปราการ วัง และบ้านโบราณ
แม้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่อดีตที่สวยงามของจัยปูร์ ยังมีให้เห็นมากมาย แปลกตาด้วยการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของราชบุตรและโมกุล สร้างด้วยสีสันสดใสของหินทรายสีชมพู
ใจกลางเมืองมีพระราชวังโบราณ รายรอบด้วยถนนกว้างขวางและอาคารร้านตลาดที่ออกแบบมาอย่างดีงาม มีฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) หรือพระราชวังสายลม อันเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจในบริเวณตลาด สร้างจากหินทรายสีแดงและสีชมพู ออกแบบอาคารในรูปทรงของมงกุฎพระกฤษณะ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมราชบุตร เข้ามาภายในจะเจอลานกว้าง ล้อมรอบด้วยอาคารสองชั้น สามด้าน ส่วนด้านหน้าที่เป็นมาฮาล มี 5 ชั้น ภายในนั้นไม่มีรายละเอียดมากนัก มีทางเดินลาดไร้บันไดนำไปสู่ชั้นบน
ว่ากันว่าที่นี่มีหน้าต่าง 953 บาน ออกแบบไว้อย่างแนบเนียน ให้นางในวัง ที่ไม่สามารถออกไปเดินเตร็ดเตร่ในที่สาธารณะได้ สามารถแอบมองชีวิตผู้คนนอกวังได้บ้าง ส่าหรีคงปลิวไสวในสายลม ดูๆไปที่นี่ก็เหมือนปราสาทรังผึ้งที่มีหน้าต่างเยอะแยะ ช่องเหล่านี้ทำให้ลมพัดผ่านเข้ามาข้างใน
City Palace พระราชวังของมหาราชา ตอนนี้ถูกยึดโดยนักท่องเที่ยว ผสานแนวการออกแบบแสนจะฟิวชั่น ทั้งโมกุล ราชบุตร และอิทธิพลจากยุโรป อาคารที่โดดเด่นได้แก่ จันทรามาฮาล ที่มี 7 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อเรียกของตนเอง ภายในมีทั้งภาพเขียน งานกระจก และการตกแต่งอลังการ พระราชวังมหารานี ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอาวุธ และภักคิคาณา กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงพาหนะของมหาราชา ส่วนมูบารัคมาฮาล คือพิพิธภัณฑ์แสดงภัสตราภรณ์ที่สุดยอดของเมืองนี้
ตรงข้ามพระราชวัง คือหอดูดาวจันทาร์ มันทาร์ ซึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมๆกัน เพราะองค์มหาราชาทรงสนใจดาราศาสตร์ คิดค้นเครื่องมือที่ขนาดใหญ่มหึมาและหน้าตาแสนประหลาด 14 ชิ้น เพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่นี่มีนาฬิกาแดดที่สูง 27 เมตร สูงขนาดนี้ก็ที่สุดในโลกแน่นอน มหาราชาคำนวณมาว่าหากเงาเคลื่อน 6 ซม. เท่ากับเวลา 1 นาที ตรงหรือไม่คงต้องลองไปวัดกันดู
บนภูเขาก็มีป้อมอาเมอร์ (Amer Fort) บ้างก็เรียก แอมเบอร์ เมืองหลวงเก่าที่ยังคงมีป้อมปราการและวังขนาดใหญ่มหึมา สร้างตั้งแต่ ต้นศตวรรษที่ 17 ยุคของราชา แมน สิงห์ และสร้างเสร็จอีกกว่า 100 ปีต่อมา ที่นี่รับประกันว่าคนแน่นตลอดวัน เพราะคนอินเดียเองก็เดินทางมาชื่นชมความงามของป้อมแห่งนี้ ช่วงเทศกาลวันหยุด อาจได้เจอรถติดหนึบไปทั้งภูเขา
ป้อมอาเมอร์ นี้เองที่นักท่องเที่ยวขี่ช้างกันขึ้นไป ช้างแต่ละตัวทาสีสวยงาม เดินส่ายก้นไปมาน่ารักดี แต่ถ้าใครไม่ชอบขี่ช้าง แต่ชอบเดินขึ้น บอกให้แท็กซี่พาไปตรงทางเดิน ลัดเลาะขึ้นไปใช้เวลาเดินไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงแล้ว
ที่ป้อมอาเมอร์แห่งนี้มีหอท้องพระโรง Diwan-i-Aam และพระราชวังกระจก Sheesh Mahal ซึ่งมีเสาหินอ่อนแกะสลัก The Magic Flower ที่ซ่อนดีไซน์ 7 สิ่งได้แก่ หางปลา ดอกบัว งูเห่าแผ่แม่เบี้ย งวงช้าง หางสิงห์ ฝักข้าวโพด และแมลงป่อง แต่ไม่ได้มองออกกันง่ายๆ หรอกนะ หากดูเร็วๆ ก็คือภาพสลักช่อดอกไม้ช่อหนึ่งเท่านั้นเอง
ใกล้กันมีป้อมชัยคฤห์ (Jaigarh Fort) เคยเป็นโรงหล่อปืนใหญ่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ชาห์จาฮาน แห่งโมกุล และยังคงมีปืนใหญ่บนล้อลากที่ใหญ่ในโลก แต่ไม่เคยผ่านการใช้งานในศึกสงครามใดๆเลย หรือเพราะมันใหญ่เกินไปก็ไม่ทราบได้ ส่วนบนกำแพงป้อมหินทรายสีแดง มีฝูงลิงวิ่งกันสนุกสนาน ส่วนทางเข้าป้อมแห่งนี้มีร้านอาหารอินเดียอยู่ที่แกงไก่อร่อยสุดยอด อันนี้แม่ยืนยัน แม้ตอนแรกจะทำหน้าตาไม่ไว้ใจในสภาพอันมอมแมมของร้านก็ตามที
ถ้าจะไปให้ครบทุกป้อม ต้องไม่พลาดป้อมนหาการห์ Nahargarh Fort หรือหลายคนเรียก Tiger Fort เพราะแถวนี้เมื่อก่อนเสือชุมมาก ที่นี่มี Madhavendra Bhawan ภายในมีการสร้างอพาตเมนท์ 7 ห้อง ห้องใหญ่สุดเป็นขององค์มหาราชา ส่วนอีก 6 ห้องเป็นห้องรับรองมหารานี 6 องค์ของมหาราชาไสว มโด สิงห์ แต่ละส่วนมีทางเดินเชื่อมและบันไดที่สร้างให้มเหสีแต่ละองค์ไม่สามารถส่องได้ว่ามหาราชาเสด็จไปห้องไหน
3. ช้อปปิ้ง
อาคาร ร้าน ตลาด ของจัยปูร์ที่เห็นในตัวเมืองเก่านั้นได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีหลังคาคลุมทางเดิน รวมทั้งมีโค้งหลังคาพร้อมที่บังแสงแดดตอนบ่าย นี่ทำให้การเดินซื้อของในตลาดไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับแม่ สิ่งที่ต้องเหนื่อยก็แค่การต่อรองราคา ที่ถูกโก่งขึ้นไปสูงลิบ ต่อกันจนเบื่อไปข้างหนึ่ง
ตลาดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้คือ จอฮารี บาซาร์ Johari Bazaar ที่มีซอยแยกย่อยมากมาย บางซอยจะมีแต่ร้านเครื่องประดับ อัญมณี ที่ส่วนมากออกแบบมาอย่างอลังการงานสร้าง ที่นางเอก Bolliwood เท่านั้นพอจะใส่ได้ แบบเล็กๆ เรียบๆ อย่าหวังจะได้เจอ ในตลาดนี้ยังเป็นย่านขายผ้าสาหรี ที่มีทุกแบบ จากทุกมุมเมืองในราชสถาน โดยเฉพาะส่าหรีมัดย้อม ที่เป็นงานฝีมือโดดเด่นเฉพาะถิ่นนี้เท่านั้น
อีกตลาดที่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวงก็คือ ทรีโพเลีย บาซาร์ Tripolia Bazaar ที่มีสินค้าให้เลือกสารพัดสารพัน พรม ผ้า เครื่องทองเหลือง หีบเหล็ก ชา และของจิปาถะมากมาย ส่วน บาปู บาซาร์ Bapu Bazaar ก็จะมีพวกของพื้นเมือง อย่างรองเท้าโมจารี แบบราชสถาน เครื่องหนัง ผ้า ส่าหรี น้ำหอม หินแกะสลัก และงานหัตถกรรมพื้นเมือง แถวตลาดนี้รถจะติดสาหัสพอดู หากเรียก uber อาจจะรอนานสักหน่อยกว่าจะฝ่าฟันการจราจรมารับเราได้
นอกจากเดินตลาด การสรรหาร้านผ้าพิมพ์ลวดลายแบบราชสถานก็มีให้เลือกสรร รับรองถูกใจแม่แน่ๆ ก็ต้องร้าน Anokhi ร้านผ้าที่ดังที่สุดในจัยปูร์ ที่นี่ยังคงใช้เทคนิคการพิมพ์ผ้าจากบล็อกไม้ด้วยฝีมือช่างแบบดั้งเดิม และสืบสานลวดลายอ่อนช้อยของราชสถานมาครบถ้วน ที่นี่ไม่เน้นขายส่าหรี มีเสื้อผ้าตัดเย็บแบบที่ร่วมสมัย ซื้อมาแล้วใส่เดินในกรุงเทพได้แน่นอน ร้านใหญ่ในตัวเมืองจัยปูร์อยู่ในย่านหรูละแวก C-Scheme แถมยังมีพิพิธภัณฑ์ผ้า Anokhi อยุ่ใกล้ๆกับทางไปป้อมอาเมอร์ ที่แสดงงานฝีมือผ้าสะสมเลอค่า และเวิร์คชอปการพิมพ์ผ้าด้วยบล็อคไม้
รอบๆ "ราชแมนเดียร์" โรงหนังเก่าแก่ของเมืองก็มีร้านผ้าสวยๆ หลายร้าน ตรงข้ามคือ ร้านกุหลาบจันทร์ Gulab Chand เน้นขายผ้าส่าหรี เสื้อซัลวาร์ กูรตะ ที่ผู้หญิงอินเดียนิยมใส่ เป็นเสื้อตัวยาวถึงเข่า และกางเกงแบบหลวมๆ และผ้าคล้องคอที่เรียกว่า ดูปัตตะ สินค้าพวกผ้าปูที่นอนหรือปลอกหมอนก็มีเช่นกัน และร้าน RASA ที่มีดีไซเนอร์มาช่วยสร้างเสน่ห์ให้งานฝีมือดูลุ่มลึก ราคาร้อนแรงตามไปด้วย
ร้านขายผ้าพิมพ์ลายชื่อดังอีกแห่งคือ Soma สีสันสดใส สูสีกับ Anokhi มีทั้งของแต่งบ้าน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน กระเป๋า และเสื้อผ้า ส่วนร้านผ้าชื่อดัง Fab India ก็มีสาขาที่เมืองจัยปูร์เช่นกัน แต่เป็นขนาดไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ
4. โรงแรม
เมื่ออินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษเมื่อปี 1947 ยุครุ่งเรืองของมหาราชาก็จบลง แต่มหาราชาและครอบครัวยังคงครอบครองพระราชวังโอ่อ่า ทุกวันนี้พระราชวังของมหาราชาในจัยปูร์หลายแห่งถูกแปลงเป็นโรงแรมราคาแพงลิบ
พระราชวังราชมาฮาล อายุเกือบ 300 ปี แปลงกายมาเป็นโรงแรม Sujan Rajmahal Palace ที่มีห้องเคนเนดี้สวีท ว่ากันว่าแจ็คเกอลีน เคนเนดี้เคยพำนักเป็นเวลา 3 เดือนในช่วงปี 1962
หรูหราไม่แพ้กัน เห็นจะเป็นพระราชวังรามบักห์ หรือ Rambagh Palace สร้างเมื่อปี 1835 และตกทอดเป็นสมบัติของมหาราชารุ่นสู่รุ่น เราอาจเคยได้ยินข่าวเรื่องทายาทของมหาราชาจกัต สิงห์ กับอดีตชายาเชื้อพระวงศ์ไทย ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ที่ชนะคดีมรดก ได้ส่วนแบ่งในพระราชวังรามบักห์ ซึ่งตอนนี้ได้แปลงมาเป็นโรงแรมแพงลิบ
ส่วนแบ่งของทายาทมหาราชาลูกครึ่งไทยอินเดียอีกแห่งหนึ่งก็คือ พระราชวังชัย มาฮาล ตอนนี้คือ Taj Jai Mahal Palace โรงแรมในเครือ Taj ที่งดงามแบบโมเดิร์นคลาสสิค
พระราชวังราช Raj Palace ที่เก่าแก่กว่าอายุของเมืองจัยปูร์ มหาราชา ไสว ใจ สิงห์ทรงสร้างให้มหารานีองค์โปรด ต่อมาทายาทมหาราชารุ่นที่ 16 เจ้าหญิงชเยนทรา กุมารี แปลงโฉมพระราชวังแห่งนี้เป็นโรงแรมหรู เปิดบริการในปี 1997 ห้องสวีทแต่ละห้องมีพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ชมของสะสมโบราณกันแบบเอ็กคลูซีฟสุดๆ
แมนชั่น หรือ ฮาเวลี สวยๆ หลายแห่งก็แปลงมาเป็นที่พัก เช่น Royal Heritage Haveli ที่จัยปูร์ ที่ดูแลโดยหลานของมหาราชา มีแค่ 15 ห้องเท่านั้น นอกจากนั้นก็มี Alsisar Haveli ที่อยู่ใจกลางเมือง เป็นฮาเวลีของหลานองค์มหาราชาแห่งอาเมอร์ ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1892 ปรับปรุงเป็นโรงแรมขนาด 36 ห้อง และอีกแห่งที่หลายคนรู้จักคือ Samode Haveli อยู่ใกล้ประตูแกงกาโพล
ถ้าไม่อิงประวัติศาสตร์ร่วมกับมหาราชา ในเมืองก็มีโรงแรมแนวฮาเวลีงามหยด อย่าง Umaid Mahal หากไม่เน้นความเว่อวังอลังการ โรงแรมเรียบๆ ง่ายๆ แบบ โรงแรมอารยานิวาส หรือโรงแรมอื่นๆในเครือเดียวกัน เป็นที่พักที่เราชอบใช้บริการทุกครั้งที่ไปจัยปูร์ สงบสบายแถมยังมีร้านของที่ระลึกเล็กๆ ที่ขายของราคาถูกกว่าซื้อจากตลาดแบบที่แม่ไม่ต้องต่อรองให้เหนื่อย
5. อาหาร
บอกเลยว่าไม่ง่าย เพราะแม่ไม่เคยชอบอาหารอินเดีย จะทำหน้าตาเบื่อๆ เมื่อถึงเวลาอาหาร เสียดายเลยว่า แมคโดนัลล์สาขาเดียวในเมืองนี้ปิดบริการไปแล้ว ยังไงแม่ก็ต้องลิ้มลองอาหารอินเดีย ไม่พลาดละคราวนี้
ก่อนไปถึงมื้ออาหาร พาแม่ไปชิมลาสซี่เจ้าดังของเมือง Lassiwala รับรองความหอม หวาน อร่อย เสิร์ฟในแก้วดินเผาอย่างดี แม่ติดใจแน่นอน
มีร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่แม่บอกว่าผ่านฉลุย และอยากจะแนะนำมากๆ สำหรับเราชาวไทย ที่มองหาอาหารแนวทันดูริ ที่มีเนื้อแกะ และเนื้อไก่ปิ้งย่างหอมอร่อย คือร้านอาหาร Handi อยู่ตรงข้ามที่ทำการไปรษณีย์ บนถนน M.I. หน้าร้านจะเป็นเตาปิ้งย่างควันโขมง เดินผ่านเตาทันดูร์เข้าไปด้านใน จะเป็นที่นั่งของร้านอาหารชั้นล่าง และข้างก็ยังมีบันไดขึ้นไประเบียงชั้นบนด้วย ที่นี่หนาแน่นไปด้วยคนอินเดียและต่างชาติ คึกคักทุกคืน นอกจากไก่ย่าง และข้าวหมกไก่ ต้องไม่พลาด Laal Maas หรือแกงแดงแกะ และ Mutton Tikka เนื้อแกะย่างร้อนๆจากเตา หอมอร่อย หมักเครื่องเทศแบบเบาๆ ไม่มีกลิ่นสาบแกะหลงเหลือ คืออร่อยมากแบบต้องซ้ำ
ร้านอาหารดังอีกแห่งที่ต้องไม่พลาด โด่งดังทั้งกับนักท่องเที่ยวอินเดียและต่างชาติ ก็คือร้าน LMB หรือ Laxmi Mishthan Bhandar เป็นร้านมังสวิรัติแท้ๆ ที่เสิร์ฟอาหารถาดแนวราชสถาน (Rajasthani Thali) ที่ลูกค้าแห่กันมาอุดหนุนแน่นร้านทุกวี่วัน จัดว่าอร่อยพอผ่าน ไม่แซ่บสะใจเหมือน Handi อาจเพราะไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ก็กินขาดตรงที่บริการดี ลุงพนักงานแนะนำอาหารได้คล่องแคล่วมาก คิดไม่ออกก็ช่วยเลือกให้ได้ด้วย ด้านหน้ายังมีขนมหวานเจี๊ยบให้เลือกมากมาย
หากมื้อไหนเบื่ออาหารแขก ร้าน Anokhi Cafe ติดกับร้านเสื้อผ้า Anokhi มีอาหารออแกนิกส์ สลัด ซุป เบอเกอร์ พิซซ่า และแกงมัสมั่นแบบไทยๆ ให้แก้เบื่อ ในตึกเดียวกัน ที่ชั้น 3 ก็มีร้านอาหารหรู Little Italy ที่เมนูจริงจังมาก ใช้เส้นพาสต้าแบบโฮมเมด แถมปรุงรสชาดอิตาเลี่ยนขนานแท้ แม้จะแอบตั้งชื่อแบบฟิวชัน เช่น พิซซ่าหน้าบอมเบย์ มานาลี หรือ อินเดีย
บาร์สวยๆ ที่ลงสื่อเยอะ ที่หลายคนอาจอยากเช็คอิน น่าจะเป็น Bar Palladio ทาสีฟ้าสวยแจ่ม ในโรงแรมนเรนทร์นิวาสพาเลส มีอาหารอิตาเลียนบวกกับเครื่องดื่มมากมายให้เลือกสรร
อีกร้านที่บังเอิญผ่านไปเจอ คือ Home Cafe by Mr. Beans ร้านบรรยากาศสบายๆ น่านั่งในย่าน C-Scheme เป็นร้านแนวคาเฟ่ร้านแรกๆในเมืองนี้ มีอาหารและขนมทานง่ายๆ เครื่องดื่มเย็นชื่นใจ และกาแฟอิตาเลี่ยนสุดฟิน บอกเลยร้านนี้ดีงามมาก เมนูดูตั้งใจ และไม่มีนักท่องเที่ยวหน้าไหนหลงทางมาง่ายๆ แน่นอน จัยปูร์ยังมีร้านอาหารดีงามอีกมากมาย ไปชิมกันไม่หมดแน่นอนในทริปเดียว
เสียดายตรงที่แม่บอกว่าไปครั้งนี้ครั้งเดียวละกัน จากนี้ขอไปแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นเป็นพอ...
STORY AND PHOTO BY Saiaway