สวรรค์แห่งแอฟริกานามว่า “มอริเชียส”
“เมอซิเออร์ชาปงเนส์....เมอซิเออร์ชาปงเนส์” เสียงทักทายกันขรมไปหมดขณะที่ผมกำลังก้าวลงจากรถโดยสารประจำทางที่สถานีเมืองปอรต์ ลุยส์ (Port Louis) เมืองหลวงของประเทศมอริเชียส (Mauritius) ประเทศเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรอินเดียทางซีกตะวันออกของทวีปแอฟริกาตอนแรกก็งงอยู่ว่าเรียกใคร แต่ไม่นานก็รู้ว่าไม่ใช่ใครอื่นหรอก เพราะคำว่าเมอซิเออร์ชาปงเนส์ (Monsiuer Japonais) นั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสที่หากแปลง่าย ๆ ก็หมายถึงว่า “นาย...ญี่ปุ่น” นั่นเอง และบริเวณนั้นไม่มีใครที่เป็น “นาย (ที่ดูเหมือน) ญี่ปุ่น” เลยสักคนเดียวนอกจากอาตี๋น้อยจากเมืองไทยคนนี้
“เอ๊ะ หรือว่าเครืองบินพาเรามามุมไบ? ...ก็เราว่าเราบินมามอริเชียสในแอฟริกานี่หว่า” ผมเริ่มสับสนจนเกิดคำถามบ๊อง ๆ นี้ขึ้นในหัวสมอง ยิ่งมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัวแล้วยิ่งคิดว่าอยู่ในอินเดีย แผงขายโรตีมีดาดดื่น คนหาบปี๊บกะหรี่ปั๊บเดินร้องขายสินค้า ไหนจะร้านขายชาชงใส่นมสดร้อน ๆ แบบชาชัก คนซื้อคนขายล้วนเป็นคนอินเดียทั้งนั้น คนแอฟริกันมีปะปนอยู่บ้างเพียง 30 เปอร์เซนต์และแล้วผู้ที่คลี่คลายเรื่องนี้ได้อย่างทันท่วงทีคือพนักงานตอนรับสาวแห่งโรงแรม Merville Grand Baie ที่ผมเลือกมาพักตลอดสิบวันบนเกาะสวรรค์แห่งนี้....และแน่นอนว่าเธอก็เป็นอินเดีย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... อธิบายได้ง่าย ๆ อย่างนี้ค่ะเมอซิเออรรร์ มอริเชียสเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสนานหลายปีก่อนที่อังกฤษจะเข้ามาปกครอง แล้วพออังกฤษเข้ามาก็มาบุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศนี้ด้วยการขยายพื้นที่ปลูกไร่อ้อยและสร้างโรงงานแปรรูปน้ำตาลขึ้นเยอะมาก ๆ จนมอริเชียสกลายเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลคุณภาพดีมากที่สุดในโลก...“คนงานแอฟริกันที่อยู่มาก่อนถูกฝรั่งเศสยั่วยุให้ต่อต้านพวกอังกฤษและไม่ยอมมาเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล รัฐบาลอังกฤษในสมัยนั้นจึงแก้ปัญหาโดยนำแรงงานมาจากอินเดียแทน ตอนนั้นคนอินเดียเลยเดินทางมาที่นี่เป็นแสน ๆ คน เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ แต่ฉันยังมีญาติที่อินเดียเลยนะ ว่าง ๆ ก็หาโอกาสเดินทางไปเจอกัน เรายังนับถือศาสนาฮินดู ที่นี่มีวัดฮินดูเยอะ ว่าง ๆ ไปเที่ยวสิคะ”“แล้วทำไมพวกคุณสื่อสารกันกี่ภาษาครับ?” ผมถามอีกเรื่องที่คาใจ“เราพูดฮินดีกันในครอบครัว แต่เราพูดฝรั่งเศสในชีวิตประจำวันเวลาไปซื้อข้าวซื้อของติดต่อทำธุระ ส่วนอังกฤษนั้นเป็นภาษาราชการ ที่นี่คนพูดกันอย่างต่ำ 2-3 ภาษาเลยค่ะ” เธอตอบขอบคุณมากเลยครับ... ทีนี้ผมกระจ่างขึ้นเยอะ ที่สำคัญผมมั่นใจแล้วว่าผมอยู่ในประเทศมอริเชียสแน่ ๆ หุ หุ
ปอรต์ ลุยส์ (Port Louis) เป็นเมืองหลวงของมอริเชียส คำว่า “ลุยส์” (Louis) นั้นมาจากพระนามของพระเจ้าลุยส์ที่ 15 กษัตริย์ฝรั่งเศสผู้เผยแผ่พระราชอำนาจอันเกรียงไกรไปทั่วโลก มอริเชียสนั้นตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1715 แม้อังกฤษจะเข้ามาครอบครองต่อในปี ค.ศ. 1810 เมืองปอรต์ ลุยส์ ก็มิได้เปลี่ยนชื่อไปแต่อย่างใดจนปัจจุบันการเที่ยวปอรต์ ลุยส์ ทำได้ไม่ยากเพราะเป็นเมืองหลวงขนาดเล็ก หากจะเริ่มเที่ยวขอแนะนำให้ขึ้นไปเที่ยวที่ Citadel Fort Adelaide ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเป็นป้อมปราการโบราณตั้งตระหง่านอยู่บนเขามองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองตั้งอยู่ริมอ่าว ด้านหลังมีภูเขาทะมึนโอบล้อม บนป้อมมีลมแรงเย็นสบายช่วยให้หายเมื่อย ทราบว่าที่นี่เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่มีศิลปินระดับโลกมาเปิดเวทีแสดงมากมาย ป้อมปราการนี้สร้างโดยชาวอังกฤษในช่วงปี ค.ศ. 1835 เป็นสิ่งก่อสร้องที่สวยงามและขลังมากทีเดียว
เมื่อลงมาจาก Citadel Fort Adelaide ความสงบเงียบบนป้อมปราการที่เพิ่งสัมผัสมาหยก ๆ จะมลายหายไปทันทีความจอแจ คึกคักจะเข้ามาแทนที่ ผมเริ่มทอดน่องท่องปอรต์ ลุยส์ที่ตลาดกลางเมืองที่เรียกว่ามาร์เช่ เดอ ปอรต์ ลุยส์ (Marché de Port Louis) อันเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยของสดของแห้งสารพัด ชาวยุโรปจะตื่นเต้นกับผัก ผลไม้ และดอกไม้เมืองร้อนที่มีอยู่หลากหลายประเภทที่ต่างแข่งกันขโมยซีนด้วยสีสันสดใสล่อตาล่อใจ ผู้คนจับจ่ายชื้อของกันแน่นขนัด พ่อค้าแม่ขายต่างแข่งกันร้องเรียกลูกค้ากันสนุกสนาน
ผมอดที่จะรู้สึกไม่ได้อีกครั้งว่า “นี่มันอินเดียชัด ๆ” เพราะผู้คนล้วนเป็นชาวอินเดียเดินส่าหรีปลิวว่อน ป้ายชื่อร้านก็เป็นภาษาอินเดียมีปะปนไปกับอังกฤษและฝรั่งเศส ภาพเทวรูปบูชาอย่างพระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ และพระลักษมี มีติดไว้บูชาอยู่ทั่วไป แม้แต่โปสเตอร์ภาพยนตร์และดารา ส่วนมากก็เป็นภาพยนตร์และดาราจาก Bollywood เพลงก็เป็นเพลงอินเดีย สิ่งที่พอยืนยันผมได้ว่าผมอยู่ที่มอริเชียสคือภาษาฝรั่งเศสที่ดังอึงอลอยู่รอบตัว.....และแน่นอนว่ามันยังเป็นสำเนียงอิน-ตะ-ระ-เดียอยู่... บงจูรรร์ เมอซเออรรรร์นอกจากของสดก็มีเครื่องไฟฟ้า เครื่องจักสาน ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเช่นเสื้อยืด หมวก ผ้าโสร่ง ที่ฮิตมากคือขวดโหลขายน้ำตาลสี ๆ ที่เมื่อเรามองทางด้านข้างของขวดโหลแล้วเราจะเห็นน้ำตาลเรียงตัวเป็นรูปภาพต่าง ๆ รวมทั้งเรือใบแบบเรือโจรสลัดที่ทำจากไม้จำลองใส่ไว้ในขวดแก้ว ฯลฯ พ่อค้าแม่ขายอาจจะเดินตามแต่ก็ไม่ตื๊อเราจนน่ารำคาญเพราะพอเราส่ายหัวปฏิเสธ เขาก็จะไปจากเราดี ๆ อันนี้ก็ต้องขอชื่นชมนะครับ
หากเดินจากตลาดต่อไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ก็จะพบปล๊าซ ดาร์มส์ (Place d’Armes) ซึ่งเป็นศูนย์รวมสถานที่ราชการของประเทศ โดยจะมีถนนสายกว้างแบบอเวนิวที่มีต้นปาล์มปลูกเรียงรายให้ความร่มรื่นและทอดตัวไปสู่อาคารรัฐสภาซึ่งเป็นอาคารโคโลเนี่ยลที่สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1729 และเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศที่ยังคงความสวยสง่าไว้ให้ได้ชื่นชมจากภายนอก
บริเวณนี้ยังมีอาคารที่น่าสนใจมากมายเช่นอาคารหอสมุดแห่งชาติ (Bibliothèque Nationale) และอาคารสำนักงานของหน่วยงานราชการอย่างกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ที่ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยล หากใครเป็นคนหลงไหลสถาปัตยกรรมประเภทนี้รับรองว่าจะเดินชมได้อย่างไม่รู้เบื่อเพื่อซึมซับอดีตที่ยังอ้อยอิ่งอยู่รอบ ๆ ตัวหากเริ่มร้อนก็สามารถแวะหลบแดดเข้าไปที่มหาวิหารแซ็งต์ ลุยส์ (Cathédrale de Saint Louis) ที่ก่ออิฐสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมแบบนิโอกอธิคและสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1752 สมัยที่มอริเชียสยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส มหาวิหารแห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายศตวรรษและเคยถูกภัยธรรมชาติทำลายลงถึงขั้นต้องบูรณะและสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1932 จนกลับมาตั้งตระหง่านงดงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ที่ปอรต์ ลุยส์ มีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่นั่นคือ Natural History Museum ซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง ตัวอาคารเป็นอาคารโคโลเนี่ยลโบราณสีเหลืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1880 ดูจากข้างนอกไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่พอเข้าไปเดินก็พบว่ามีอะไรให้ดูมากมาย ส่วนที่เป็นไฮไลต์ที่ใคร ๆ ก็ไม่ยอมพลาดคือส่วนที่เรียกว่า โดโด้ แกเลอรี่ (Dodo Gallery) ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับนกโดโด้ นกพื้นเมืองของมอริเชียสที่สูญพันธุ์ไปจากโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1688ความจริงผมก็ไม่รู้จักเจ้านกตัวนี้สักเท่าไหร่ รู้แค่ว่ามันเป็นนกที่บินไม่ได้และถูกล่ามาปรุงอาหารเพราะตัวใหญ่ เนื้อเยอะ เมื่อเข้ามาดูที่โดโด้ แกเลอรี่ก็พบว่าตัวมันใหญ่จริง ๆ สูงถึง 3.3 ฟุต จึงเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญให้กับชาวเกาะ แต่การสูญพันธุ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ตอนที่ชาวยุโรปเดินทางข้ามมหาสมุทรมาที่นี่ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นกโดโด้ต้องสาบสูญไปเพราะการไล่ล่านกโดโด้เป็นอาหารทั้งการบริโภคบนเกาะและเป็นเสบียงกรังในการเดินทางข้ามทวีปมนุษย์นั้นชอบถือเสมอว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่มีสมองที่ล้ำเลิศกว่าใคร เที่ยวได้ทำลายชีวิตสัตว์อื่น ๆ โดยปราศจากความเคารพต่อธรรมชาติ และสักวันหนึ่งมนุษย์ก็จะได้รับผลการกระทำที่บ้าคลั่งของตัวเองเช่นกัน
หากอยากสัมผัสความทันสมัยของปอรต์ ลุยส์ ก็ให้มุ่งหน้ามาที่ริมอ่าว บริเวณนั้นจะมีห้างสรรพสินค้าและแหล่งเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจขนาดใหญ่แบบเรียกกันว่า โกด็อง วอเตอร์ฟร้อนท์ (Caudan Waterfront) ซึ่งเป็นแหล่ง “ฮิต” ของผู้คนที่นี่ อาคารใหญ่โตโก้หรูติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มีฟู้ดคอร์ทขนาดใหญ่ที่รอให้เราทดลองชิมอาหารแบบเครโอล (Créole) อันเป็นอาหารพื้นเมืองตำรับมอริเชียสอยู่หลายร้านสำหรับผม อาหารเครโอลก็แสดงถึงวัฒนธรรมผสมผสานของดินแดนแห่งนี้เพราะมีความเป็นยุโรปและอินเดียอยู่ด้วยกัน เราอาจทานเนื้อเสต็กปลาราดซอสไวน์ขาวเคล้าข้าวคลุกผงกะหรี่หรือหญ้าฝรั่นไปพร้อม ๆ กับเครื่องเคียงอย่างผักดองคลุกพริกรสจัดจ้านแบบอินเดีย ส่วนใครอยากจะซื้อของ ที่นี่ก็มีร้านหรูอยู่มากมาย หากมีเวลาอยากให้ลองเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์การไปรษณีย์ (Postal Museum) ที่จัดแสดงแสตมป์สวย ๆ จากทุกมุมโลก
นอกจากปอรต์ ลุยส์แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจยังมีอีกมากที่นักท่องเที่ยวจอมเสาะแสวงหาอย่างเราไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาดเลยคือ ดินเจ็ดสี แตร์ เดส์ เซ็ต กูเลอรส์ (Les Terres des Sept Couleurs) อันเป็นสิ่งมหัศจรรย์และน่าทึ่งมากเพราะเป็นภูเขาดินที่มีสีสันไล่กันถึง 7 สี 7 เฉด ด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่สะสมอยู่ในเนื้อดินมาตั้งแต่โบราณกาลนั่นเอง แถว ๆ นั้นมีเต่ายักษ์ตัวมหึมาอยู่จำนวนหนึ่งรอให้เราแวะไปเยี่ยมเยียนทักทาย เต่าชนิดนี้คือเต่าอัลดาบร้าซึ่งเป็นเต่าพื้นเมืองของเซแช็ลส์ ประเทศเพื่อนบ้านของมอริเชียส และรัฐบาลเซแช็ลส์ได้ส่งมาเป็นของขวัญให้ที่นี่
มอริเชียสยังเป็นดินแดนที่ผลิตเกลือคุณภาพส่งออกสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเช่นกัน หากมีเวลาควรไปชมวิธีการผลิตเกลือที่ตามาแร็ง (Tamarin) ซึ่งเป็นนาเกลือใหญ่และสำคัญของประเทศนี้มาแต่สมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองที่นี่ และวิธีการผลิตเกลือนั้น ก็ยังคงใช้กรรมวิธีการผลิตแบบเดิมที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เราสามารถศึกษากระบวนการตั้งแต่การใช้กังหันลมวักน้ำเข้าสู่นา การปล่อยให้น้ำระเหยกลายเป็นเกล็ดเกลือ การชำระเกลือให้สะอาดจนมีสีขาวบริสุทธิ์ การสกัดเม็ดเกลือให้มีขนาดเท่ากันก่อนบรรจุเป็นถุงเพื่อขาย แม้ว่าปัจจุบันเกลือมอริเชียสจะไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมการค้าที่สำคัญอย่างเมื่อก่อน แต่การอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมให้คงอยู่เช่นนี้นับเป็นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากทีเดียวสวนพฤษศาสตร์ ชาร์แด็ง เดอ ป็องเปลอมูส (Jardin de Pamplemousse) หรือเรียกอย่างเป็นทางการอีกชื่อหนึ่งว่า Sir Seewoosagur Ramgulam Botanic Garden เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ตั้งตามชื่อประธานาธิบดีคนสำคัญของประเทศนี้เป็นอีกสถานที่ที่ไม่น่าพลาดเช่นกัน เพราะเป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้หลากชนิดของมอริเชียส สำหรับคนเมืองร้อนอย่างเรานั้น ต้นไม้ ดอกไม้ที่สวนแห่งนี้อาจไม่สรางความตื่นตาตื่นใจมากเท่าไหร่ แต่บรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ กว่า 650 สายพันธุ์ก็ทำให้เราสดชื่นได้มากทีเดียว ที่ผมเสียดายที่สุดคือบ่อวัววิคตอเรีย บัวขนาดยักษ์ที่ใบใหญ่ราวกระด้งที่เด็กอาจนั่งได้น่ะครับ ในภาพโบรชัวร์ที่แจกก่อนเข้าไปในสวนนั้นดูอลังการมาก จินตนาการว่าจะได้เห็นสระใหญ่ที่อุดมไปด้วยใบบัวขนาดมหึมา ปรากฏว่าเอาเข้าจริงเหลือแต่ใบเล็ก ๆ แห้ง ๆ ไม่กี่ใบเพราะโดนหอยเชอร์รี่ตัวเขื่องกินราบคาบไปหมด รอบ ๆ สระน้ำมีไข่ของหอยเชอร์รี่เป็นเม็ดเล็ก ๆ สีแดงสดนับพัน ๆ เกาะกลุ่มกันเป็นยวง เจ้าหน้าที่สวนเล่าว่าต้องคอยกำจัดไข่และตัวหอยเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาเพราะเป็นตัวการที่ทำลายสวนบัววิคตอเรียจนแทบไม่เหลือหรอ หอยเชอร์รี่ไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองของมอริเชียสและไม่สามารถสืบเสาะได้ว่ามันเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่มันได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นเยอะมากทีเดียว
ในแง่สถาปัตยกรรม ผมขอแนะนำแกมบังคับให้คุณผู้อ่านไปชมบ้านเก่าหลังงามที่ชื่อว่า เมซง อิวเรกา (Maison Euréka) ซึ่งสร้างโดย Mr. Carr ขุนนางอังกฤษที่อาศัยในมอริเชียสในช่วงศตวรรษที่ 17 ต่อมา François Alexis Leclézio ได้ซื้อต่อและเข้าครอบครองบ้านหลังนี้และเป็นสมบัติของตระกูล Leclézio มาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้กลายเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งศึกษาสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยลที่สมบูรณ์แบบสุดแห่งหนึ่งของมอริเชียสเมซง อิวเรกาเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ สูง 2 ชั้น ตัวบ้านตั้งเด่นสง่าอยู่กลางสนามหญ้าเขียวขจี รายล้อมด้วยไม้เมืองร้อนหลากพันธุ์ให้ความร่มรื่น ในตัวบ้านมีห้องหับต่าง ๆ มากมายที่ยังตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสวยคลาสสิคของศตวรรษที่ 17 และ 18 ไม่ว่าจะเป็นตู้ไม้ โต๊ะไม้หลังใหญ่ ๆ ตลอดจนเก้าอี้ไม้ที่ล้วนสลักเสลาสวยงาม นาฬิกาไม้เรือนงาม ภาพเขียนสีน้ำมันโบราณเต็มไปด้วยรายละเอียด คนโฑแก้วและขวดแก้วเจียระไนสำหรับใส่น้ำดื่มและวิสกี้ จานชามกระเบื้องเคลือบฝีมือปราณีตพร้อมช้อน-ส้อมเงินแท้ ๆ โคมไฟและแชนเดอเลียร์งามระยับ เตียงที่มีเสาและม่านคลุมสุดคลาสสิค อ่างอาบน้ำและอ่างล้างหน้าที่ทำจากหินอ่อนทั้งเซ็ท แกรนด์เปียโนไม้หลังงามตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องรับแขกโอย.....ดูแล้วเพลิดเพลินกับความรวยหรูอันแท้ทรูของชาวยุโรปที่เคยมาปกครองดินแดนแห่งนี้เมื่อเดินจนเมื่อยแล้วก็สามารถนั่งละเลียดกาแฟร้อนหอมกรุ่นกับขนมเค้กที่อบสด ๆ จากร้านกาแฟของที่นี่พร้อมซึมซับบรรยากาศรื่นรมย์ของอดีตที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้อีก เราสามารถนั่งเล่นไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีใครว่า อยากออกมาเดินที่สนามยืดเส้นยืดสายหรือจะเล่นกับเจ้าหมาน้อยที่วิ่งรับแขกอยู่แถวนั้นก็ได้ ผมนั่งอยู่นานทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเสียจนเย็นย่ำ เวลาเจอบรรยากาศแห่งอดีตเช่นนี้ ผมมักจะขอจมจ่อมอยู่ในภวังค์ด้วยความหลงไหลของเก่าอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสมอหากคุณผู้อ่านกำลังมองหาที่เที่ยวใหม่ ๆ ที่มีทั้งธรรมชาติของท้องทะเล หาดทราย สายลม แสงแดด รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมที่ผสมผสานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างยากที่จะหาที่ไหนในโลกเช่นนี้ อย่าลืมนึกถึง มอริเชียส สวรรค์ของแอฟริกา...แห่งนี้นะครับ

“เมอซิเออร์ชาปงเนส์ ซื้อไหม?” ว่าแล้วคุณพี่ที่หน้าตาเป็นชาวอินเดียเสียยิ่งกว่าอินเดียก็ยื่นสินค้าสารพัดมาให้เลือกตรงหน้า“นี่....สร้อยข้อมือทำจากเงิน...หรือหนังถักก็มีนะ ไม่เอาเหรอ?...งั้นสร้อยคอทำจากหอยก็มีนะ ว้า..ไม่สนเหรอ? งั้นแหวน... สนไหมแหวน?” ไม่ได้มาเพียงหนึ่งคนนะครับ แต่สอง สาม สี่ ห้า และเริ่มทยอยมาจนเป็นหก เจ็ด แปด....โอ๊ย... ไปแล้วโว้ย ผมรีบเดินชิ่งหนี ปากก็พร่ำบอกว่า “นง แม็คซี่ – Non, Merci ไม่ซื้อ ไม่ซื้อ”สถานีรถโดยสารปอรต์ ลุยส์ เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และกว่า 70 เปอร์เซนต์เป็นคนอินเดีย หากเป็นผู้หญิงก็ยังคงแต่งกายด้วยชุดส่าหรี เสียงภาษาฝรั่งเศสที่ได้ยินก็เป็นสำเนียงแบบอินเดียที่เน้นตัว ร.เรือ ระรัวชัดในคำที่มีตัว R สะกด อย่างเช่น “บงชูร์” (Bonjour) คำภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าสวัสดีนั้น เมื่อพวกเขากล่าวก็จะกลายเป็น บง-จูรรรร ทันที






การหลบร้อนภายในวิหารนั้น นอกจากจะหนีแสงแดดยามสายแล้วยังได้ชื่นชมศิลปะการตกแต่งด้วยกระจกสีภายในบริเวณหน้าต่างที่เล่าเรื่องพระประวัติของพระเยซูคริสต์ไว้หลายฉากหลายตอน เมื่อสังเกตรอบ ๆ ตัวก็อาจจะเห็นสาวมอริเชียสในชุดส่าหรีคุกเข่าสวดมนต์อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างสงบอยู่ข้าง ๆ เราผมว่าความเป็นพหุสังคมที่มีวัฒนธรรมหลากหลายเช่นนี้คือเสน่ห์อันน่าหลงไหลของมอริเชียสด้วยเช่นกัน




