ปีนปล่อง ท่อง"ยัซด์" เมืองเก่ากลางอิหร่าน
ถ้าวางแผนจะแบกเป้เที่ยวอิหร่านแล้ว เมืองหนึ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงคือเมืองยัซด์ (Yazd) ตัวเมืองเก่าของที่นี่ได้ถูกประกาศเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อเดือนกรกฏาคม 2560 นี้เอง แต่คนอิหร่านเองคงไม่ตื่นเต้นอะไรนัก ประเทศนี้เขามีมรดกโลกมากมายถึง 21 แห่ง! รายรอบเมืองโบราณแห่งนี้คือดินแดนทะเลทรายร้อนฉ่า มีทั้งทุ่งโล่งกินบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลและภูเขาไร้ผู้คน บริเวณใกล้เคียงมีหมู่บ้านดินกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ใต้ดินมีระบบท่อส่งน้ำโบราณ หรือ qanats ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในเมืองให้อยู่รอดกลางทะเลทรายมาได้ยาวนาน ในตัวเมืองเก่ามีขนาดไม่ใหญ่โต มีตึกอิฐสีสีน้ำตาลตามตรอกซอกซอยเล็กๆให้เดินสำรวจ บรรยากาศออกจะชิลล์ ชวนให้ขี้เกียจจะรีบเดินทางต่อ แม้จะร้อนแล้งกลางทะเลทรายแบบนี้ ผู้คนก็มาตั้งรกรากกันยาวนานกว่า 5,000 ปี แถมยังเป็นจุดกำเนิดของศาสนาโซโรแอสเตอร์ ที่เก่าแก่เกือบจะที่สุดของโลก รองก็แค่ฮินดูพระเวท หากแต่ในช่วงศตวรรษที่ 7 เมื่ออิสลามแผ่อิทธิพล ทำให้เหลือผู้นับถือโซโรแอสเตอร์อยู่น้อยนิด ในเมืองยัซด์เองยังคงมีคนนับถือศาสนาโบราณนี้เพียง 10% เท่านั้น ที่เหลือเปลี่ยนไปนับถืออิสลามกันหมดแล้ว ใกล้ๆ ตัวเมืองยัซด์ยังคงมี Tower of Silence ที่ฝังศพของโซโรแอสเตอร์ที่ตอนนี้ไม่ได้ใช้งาน ส่วนวิหารไฟ ศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ของโซโรแอสเตอร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไป 1 ชั่วโมง ผ่านเทือกเขาและผืนดินแห้งๆ พุ่มเล็กๆ เป็นหย่อมๆ บนถนนมีรถเราคันเดียววิ่งฝ่าแดดสู่หมู่บ้านเบื้องหน้า เหมือนฉากผจญภัยในหนังเป๊ะเลย สุดทางคือภูเขาลูกหนึ่ง มองขึ้นไปเห็นตัวอาคารอันเป็นวิหารไฟอันศักดิ์สิทธิ์สร้างชิดภูเขา คนอิหร่านเขาเรียกสถานที่นี้ว่า Chak Chak เพราะในภูเขามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมา ชื่อเลยเลียนเสียงน้ำไหล เลยถึงบางอ้อ Chak Chak ก็คือ จ็อก จ็อก นั่นเอง เรื่องเล่ามีอยู่ว่า นิคบานู ลูกสาวคนรองของยาซเดเกิร์ดที่ 3 แห่งจักรวรรดิซาสซานิยะห์ ผู้ปกครองเปอร์เซียยุคก่อนอิสลาม ถูกทหารอาหรับไล่ล่ามาที่ภูเขา เธอสวดมนตร์ของให้เทพปกป้อง ความมหัศจรรย์บังเกิดเมื่อภูเขาเปิดออกให้เธอเข้าไปหลบภัย ก็คือภูเขาแห่งนี้เอง ที่นี่มีน้ำไหลออกมาจากหน้าผา มีต้นไม้เก่าแก่ที่ยังเชื่อว่าเคยเป็นไม้เท้าของนิคบานู ภายในถ้ำล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ ปูพื้นด้วยหินอ่อน ผนังเต็มไปด้วยเขม่าที่เกิดจากเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยดับ ชาวโซโรแอสเตรียนมีการจัดพิธีบูชาเทพอะหุรามัสดา (Ahura Masda) ครั้งใหญ่ปีละ 5 วัน ในช่วงกลางเมืองมิถุนายน เปรียบไปก็เหมือนเวลาสำคัญที่ชาวมุสลิมต้องไปร่วมพิธีเมกกะ ผู้นับถือโซโรแอสเตอร์ที่เหลืออยู่เพียงไม่ถึงแสนคนทั่วโลกต่างปรารถนามาร่วมงานนี้ นอกจากที่เมืองยัซด์ ศูนย์กลางของโซโรแอสเตอร์ ที่เมืองเคอร์แมนในอิหร่านมีผู้นับถือศาสนานี้พอประมาณ แต่ครึ่งหนึ่งของผู้นับถือโซโรแอสเตอร์ในโลกอยู่ที่ประเทศอินเดีย อาจเพราะโซโรแอสเตอร์มีความเชื่อเรื่องการต่อสู้กันของความดีและความชั่วที่คล้ายคลึงกับฮินดูมากทีเดียว อากาศที่เมืองยัซด์ ร้อนกว่าที่เมืองชีราซ หน้าร้อนอุณหภูมิอาจสูงเกิน 40 องศา แต่ช่วงหน้าหนาวลมก็พัดแรงและเย็นกว่ามาก เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งๆ ของทะเลทราย ความร้อนเป็นเหตุทำให้ชาวเปอร์เซียโบราณคิดค้น หอดักลม หรืออาจเรียกว่าปล่องลม ที่รูปแบบเหมือนปล่องไฟดีๆนี่เอง แต่ขนาดใหญ่กว่ามากและออกแบบช่องระบายอากาศเยอะกว่า เป็นภูมิปัญญาเปอร์เซียโบราณที่ทำให้บ้านกลางทะเลทรายเย็นสบายเหมือนติดแอร์ หอดักลมมีหลายขนาดหลายสไตล์ พบเห็นได้ทั้งในตัวเมืองเก่าของยัซด์ และที่หมู่บ้านอัสอาบัด ที่แห้งแล้งมากเพราะที่ตั้งอยู่ไกลแหล่งน้ำกว่า 60 กม. ตอนนี้มีแต่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อชมหมู่บ้านเก่าที่มีหอดักลมโบราณ ที่เปิดช่องให้ลมเย็นข้างบนไหลเวียนเข้ามาภายใน ฐานด้านล่างเชื่อมด้วยบ่อน้ำเลยยิ่งทำให้ลมเย็นกันเข้าไปใหญ่ คาราแนค (Kharanaq) หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งใกล้เมืองยัซด์ เคยมีผู้คนอยู่อาศัยมาหลายพันปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นเมืองร้าง ชาวคาราแนคเดิมย้ายไปอาศัยอยู่เมืองใหม่ที่มีน้ำไฟพร้อม ตั้งห่างออกไปเพียง 2 กม. ซากเมืองเดิมดูน่าตื่นตาตื่นใจให้เข้าไปสำรวจ ลมพัดฝุ่นทรายปลิว ทางเดินลอดซากปรัก มีหอคอยมินาเร่ห์สั่นที่เรียกว่า Monar Jonban สูง 15 เมตร ที่สร้างจากอิฐและด้านบนของยอดมีคานไม้ ที่ร่ำลือกันว่ายังคงสั่นได้ ดินสีน้ำตาลของเมืองนี้ผุกร่อนลงทุกวัน วันหนึ่งพื้นอาจจะยุบลง เดินแต่ละก้าวต้องระวังกันแจ ทั้งลอดอุโมงค์ ปีนบันไดพังๆ เดินบนหลังคาบ้าน แถมลองมุดเข้าไปบันไดวนในหอคอย ที่มืดและแคบมากๆ เมืองยัซด์ตั้งอยู่ตอนกลางของอิหร่าน ควรบรรจุในแผนการเที่ยวระหว่างเมืองชีราซและอิสฟาฮาน หากนั่งรถบัสจากเมืองชีราซ ถนนดีสี่เลน วิ่งฉิว ใช้เวลาบนรถบัสราวๆ 6 ชั่วโมง ก็จะถึงเมืองยัซด์ หากเดินทางรถจากอิสฟาฮานจะใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมง โรงแรมสุดโปรดของนักท่องเที่ยวที่ยัซด์มานานหลายสิบปี ต้องยกให้ Silk Road Hotel บรรยากาศแสนสบายแบบน่าแช่ตัวนอนเล่นอยู่รอบคอร์ทยาร์ด จิบชายามบ่าย บิดขี้เกียจ ที่นี่มีตู้แช่ที่มีเครื่องดื่มเย็นๆ ให้เลือก แม้ไม่มีโค้กหรือเป๊ปซี่ มีแต่น้ำมะนาวซ่าๆ และเบียร์มอลล์ ที่เขียนข้างขวดชัดเจนว่า non-alcohol ด้วยความมั่นใจ เก๋ไก๋และไม่ได้จอง ห้องเต็มจนได้ ลืมห้องสวยๆ ที่เห็นในรูปไปก่อน เราต้องยอมพักห้องรวม 4 เตียง เตียงหนึ่งในนั้นมีสาวจีนนอนหลบสนิทอยู่แล้วหนึ่งนาง มีข้าวของกองเต็มรอบตัว ห้องนี้ไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องเดินออกไปไกลมากถึงจะเจอห้องน้ำ ส่วนที่นอนก็ฝุ่นกรังมาก ก่อนจะนอนต้องปัดฝุ่นออกน่าดู นอนหลับไปยังแอบรู้สึกว่าหายใจมีฝุ่นเข้าจมูกอยู่ตลอดเวลา ตั้งใจไม่ลุกเข้าห้องน้ำกลางดึกเด็ดขาด เพราะเดินไปและกลับไกลขนาดนั้นคงตื่นมานั่งกินเบียร์มอลล์แน่นอน โรงแรม Silk Road ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดจาเม่ มัสยิดประจำเมืองยัซด์ที่มีหอคอยมินาเร่ห์สูงลิบอยุ่ด้านหน้า ว่ากันว่าสูงถึง 48 เมตร สูงที่สุดแล้วในอิหร่าน เลยถ่ายรูปยากหน่อยกว่าจะเก็บพื้นจรดยอดเสาได้ ประดับกระเบื้องโมเสคสีฟ้าปนเขียวไข่กาสดใส สะท้อนแสงเช้าสวยมากจริงๆ งานฝีมือกระเบื้องเคลือบที่เจอทั่วเมืองยัซด์ก็เน้นใช้สีฟ้าสดไม่แพ้สีของมัสยิดนี้เลย ตรอกซอกซอยในเมืองเก่ายัซด์ก็น่าเดินเล่น แต่ก็ซอกแซกไปมาชวนหลงน่าดู เดินผ่านบ้านเก่าๆ ที่ดูสวยลึกลับ แต่เข้าไปชมไม่ได้ โชคดีเจอบ้านหลังหนึ่งมียามแต่งชุดสีน้ำเงินยืนเฝ้า แต่ดูใจดีมาเปิดประตูให้เราเข้าไปชมได้ ในบริเวณเมืองเก่ายังคงพบเห็นปล่องลมตลอดทาง หลังคาโค้งคลุมเส้นทางบางช่วง จนมาถึงตึกโดมที่ชื่อว่า Alexander Prison เห็นชื่อก็งงมาก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่น่าเคยมาติดคุกที่เมืองยัซด์ ไปไปมามาเดิมที่นี่คือโรงเรียน ไม่ใช่คุก แต่ตอนนี้กลายเป็นจุดแวะของนักท่องเที่ยวไปเสียแล้ว มีค่าเข้าชมแพงซะด้วย ในเมืองเก่ายังมีจัตุรัสอาเมียร์ชามาค์ สถาปัตยกรรมแบบอลังการ มีทั้งมัสยิดชื่อเดียวกันในจัตุรัส อาคารสูงสามชั้นตรงกลางมีหอคอยมินาเร่ห์สูง มีบันไดวนขึ้นไปชมวิวเมืองยัซด์แบบจุใจ ในจัตุรัสโบราณนี้เคยเป็นที่พักคาราวาน และมีฮัมมัมหรือห้องอาบน้ำสาธารณะอายุกว่า 600 ปี ส่วนชั้นล่างคือบาร์ซา ที่ตอนนี้มีร้านรวงให้ช้อปปิ้งงานฝีมือแบบเปอร์เซียแท้ๆ ทั้งกระเบื้องเคลือบ ชุดเครื่องเงินและทองเหลืองที่แกะสลักลวดลายแบบเปอร์เซียละเอียดยิบ เครื่องประดับหินและอัญมณี และผ้าเทอเมห์ Termeh ที่ทอด้วยผ้าไหมผสมขนสัตว์ เอกลักษณ์แท้ๆของเมืองยัซด์ แม้แต่นักเดินทางอย่างมาร์โคโปโลยังชื่นชมคุณภาพชั้นเลิศของผ้าไหมที่เมืองยัซด์ จนต้องเขียนลงใน “บันทึกการเดินทางของมาร์โคโปโล” เดาเลยว่าต้องมาเดินเล่นชมเมืองที่บาซาร์แถวนี้แน่นอน แต่ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าได้ซื้อกลับบ้านไปด้วยไหมนะ