HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
บางย่านในย่างกุ้ง
by saiaway
20 พ.ย. 2560, 09:39
  3,150 views
ย่างกุ้ง

ก่อนพม่าจะเปิดประตูอ้าแขนต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลดังเช่นทุกวันนี้ ทางใต้ของนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีโรงแรมแทรกตัวในตึกแถวเก่าซอมซ่ออยู่จำนวนไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือโรงแรมเก่าแก่ชิื่อว่าไวท์เฮ้าส์ เป็นแหล่งพำนักของแบคแพคเกอร์ยุคโน้นมาช้านาน  ด้วยห้องพักราคาประหยัดในทำเลทอง รายล้อมด้วยภาพชีวิตที่เปรียบเหมือนฉากหนังย้อนยุค และบรรดาสถาปัตยกรรมที่ตกทอดมาจากยุคอาณานิคม

เวลาผ่านไปแม้คู่แข่งเพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน โรงแรมไวท์เฮ้าส์ยังอยู่ยงเป็นตำนาน คงราคามิตรภาพดังเดิม แต่อย่าหวังว่าจะจองผ่านเว็บไซต์อย่าง ฺBooking หรือ Agoda กันได้ง่ายๆ เพราะอะไรอาจจะดูจากภาพเอาคงเดาไม่ยาก  ส่วนอันดับการรีวิวที่พักใน tripadvisor ที่นี่ติดอันดับ 96 จาก 174 B&B ในย่างกุ้ง แบบไม่ธรรมดา โรงแรมที่ติดอันดับแย่กว่านี้คือพวกที่ไม่มีคนเขียนรีวิวให้ แต่สำหรับไวท์เฮ้าส์ มีคนมาเขียนรีวิวให้กว่า 100 รีวิว มีทั้งให้ 1 ดาว ด่ากราดบอกว่าที่นี่สกปรกซกมกไม่มีอะไรดีเลย  แต่ก็มีบางคนกดให้ถึง 5 ดาว แถมบอกว่านี่คือโรงแรมที่ถูกและดีที่สุดในย่างกุ้ง  งงไหมนั่น!

 

ย่างกุ้ง

ประทับใจตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ในคืนที่โรงแรมอื่นๆเต็มล้น เราเดินเข้าไปที่โรงแรมไวท์เฮ้าส์แบบงงๆ  ถามหาห้องพัก และได้รับคำตอบจากชายชาวพม่าที่ดูเหมือนจะมีเชื้อสายอินเดียว่าเต็มจ้า   ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ดูห้อง ชายคนนี้ ต่อมารู้จักชื่อเสียงเรียงนามว่าชื่อ "มินมวง" ทำหน้าตาแบบไม่สนใจไยดีนัก บอกว่า “พรุ่งนี้น่าจะมีคนเช็คเอ้าท์ช่วงเที่ยงๆ คงจะมีห้องว่างหละ" เขาสำทับเลยว่าดูห้องไม่ได้หรอกตอนนี้ แต่จ่ายเงินเลยละกัน ยี่สิบห้าเหรียญ มีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์นะ”  นักท่องเที่ยวสี่ห้าคนนั่งคุยอยู่ตรงนั้นพอดี เราจึงหันไปถามเขาดีว่าห้องเป็นไง เขาว่าไม่มีปัญหาอะไร อาหารเช้าเป็นไง เขาบอกว่า “โอ้ สุดยอดไม่มีใครเหมือน” เอาละ ฟังดูไม่เลว เพราะเราไม่มีอารมณ์เดินตะลอนหาที่พักละ จ่ายเงินเลยดีกว่า ห้องเป็นไงก็เป็นกัน ดีกว่าไม่มีที่นอน หรือจะว่าไป ดีกว่าเสียเวลาเดินแบกเป้ตะลอนหาที่นอน

พูดถึงชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย เช่นเจ้าของที่พักคนนี้ เป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่เยอะมากแถวถนนโคนเซดาน (KonZayDan) ถนนสายที่โรงแรมไวท์เฮ้าส์ตั้งอยู่นี้ เพราะชาวอินเดียเดินทางเข้ามาตั้งรกรากในพม่ามานานกว่าศตวรรษแล้ว ส่วนใหญ่อพยพกันมาตั้งแต่สมัยอังกฤษเริ่มเข้ามาปกครองพม่า และจัดตั้งให้เป็นมณฑลหนึ่งของอินเดียในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และในช่วงนั้นเองที่ชาวอินเดียเริ่มเข้ามาทำงานรับราชการทหาร เป็นข้าหลวงเทศบาล ทำการค้าขายและออกเงินกู้ เรียกได้ว่าแทรกตัวในเศรษฐกิจของประเทศพม่ามากมายหลายด้าน แต่ในตอนนี้คงเหลือจำนวนอยู่ไม่มากเท่าในอดีต เพราะภายหลังจากการปกครองของอังกฤษ มีการประท้วงต่อต้านอินเดียในพม่าเกิดขึ้น และในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองพม่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวอินเดียส่วนหนึ่งก็เดินทางอพยพออกจากพม่าไป ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียที่พบเห็นทุกวันนี้ส่วนมากพำนักอยู่ในย่านการค้าของย่างกุ้งในนี้เองและผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของคนพม่าไปแล้ว

ย่างกุ้ง

โรงแรมไวท์เฮ้าส์เป็นตึกเก่าสูงแปดชั้นและไม่มีลิฟท์ เคยมีคนนับไว้ว่าต้องเดินขึ้นบันได 124 ขั้นไปยังชั้นบนสุด ในขณะที่มิน มวง ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ชั้นล่าง พี่ชายของเขามีหน้าที่ดูแลอาหารเช้าที่แสนอลังการ ด้วยกับข้าวประมาณวันละ 8 อย่างเพื่อบริการแขกบนชั้นแปด หน้าตาก็ดูดีเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ขนมปังและแยมผลไม้โฮมเมดหลากหลายชนิด ผลไม้สดๆ  นานาชนิด รวมถึง น้ำสัปปะรสและน้ำมะละกอ แพนเค้กกล้วยร้อนๆ สลัดผักหน้าตาดี ส่วนอาหารร้อนๆก็มีผักผัก แกงมันฝรั่ง แกงไข่ ลาซานย่า ข้าวและเส้นผัดอะไรสักอย่าง โดยรวมแล้วคืออู้ฟู่มาก

ส่วนห้องพักกระจายอยู่ตั้งแต่ชั้นสองจนถึงชั้นแปด บันได พื้นและผนังของโรงแรมเป็นแนวย้อนยุคมากๆ เพราะประดับเป็นด้วยลวดลายหินสีอ่อนๆ บนพื้นปูนสีขาว ห้องส่วนใหญ่มีห้องน้ำในตัวพร้อมน้ำอุ่น และที่นอนฟองน้ำเก่าและบุ๋มตรงกลางจนแผ่นหลังสัมผัสพื้นเตียง ผ้าปูที่นอนสีขาวขุ่นเก่าคร่ำคร่า ห้องพักชั้นบนสุดมีวิวของเมืองย่างกุ้งให้ยลเป็นขวัญตารวมทั้งเจดีย์ชเวดากองที่เห็นอยู่ไกลลิบลับ แลกกับบานหน้าต่างพะเยิบพะยาบต้อนรับยุง

 

ย่างกุ้ง

ย่างกุ้ง

ส่วนห้องพักชั้นสองมีสภาพไม่น่าจะต่างกับคุกขังนักโทษ ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีห้องน้ำ ส่วนที่นอนก็ไม่เคยสัมผัสแสงแดดมาหลายชาติกาล และเป็นที่อาศัยของไรฝุ่นนับล้านที่กัดไม่ยั้งจนแขนขาและแผ่นหลังที่สัมผัสที่นอนของฉันยับเยิน นักท่องเที่ยวเขียนรีวิวก่นด่าเกี่ยวกับโรงแรมไวท์เฮ้าไว้อย่างแสบสันในเวปไซท์หลายแห่ง ไม่ว่าจะบอกว่าเจ้าของหยาบคาย ห้องสภาพเน่ามาก ฉันเห็นด้วยกับหลายเรื่องที่แย่ๆ ของห้องพัก ส่วนเจ้าของนั้น อันที่จริงเขาอัธยาสัยดีทีเดียว พูดจาง่ายๆ ตรงๆ และดูจะรับนักท่องเที่ยวจนเหนื่อยเกินกว่าจะทำตัวสุภาพได้ตลอดเวลา

ย่างกุ้ง

ฉันเดินสำรวจถนนโคนเซดานมาแล้วทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็น เช้า สาย บ่ายเย็น หรือดึกดื่น ในตอนดึกนั้นถนนบางช่วงก็มืดมากเพราะไม่มีไฟฟ้า แต่ไม่รู้สึกถึงอันตราย ดูๆไปผู้คนแถวนั้นใช้ชีวิตแบบปกติในแบบของเขาเอง เตะตะกร้อกันอย่างมุ่งมั่น หรือไม่ก็นั่งสนทนากันไปบนม้านั่งตัวเล็กนิดเดียวตามร้านขายชาในซอกซอย และไม่สนใจคนแปลกหน้า ที่ยังคงเดินเล่นเรื่อยเปื่อยต่อไป

จากที่โรงแรมนี้ หากเดินสักพักก็จะทะลุไปถึงถนนอานาวราห์ตา (Anawrahta) เป็นถนนที่ดูมีแสงสีมากที่สุดในช่วงเวลาใกล้สี่ทุ่ม ร้านชเวโฮ (Shwe Htoo) ที่ติดป้ายว่าเปิดมาตั้งแต่พ.ศ. 2505 ยังมีผู้คนคึกคักดี บะหมี่ผัดราคาไม่แพง แต่รสชาติจืดชืดไม่ถูกใจคนไทย แต่ขนมปังนาน (Nan) เนื้อนุ่มจัง เอามาเคี้ยวเล่นเพลินๆ รสชาติเค็มดี ส่วนร้านอินวะ (Inwa) ที่ขายขนมเค้ก ไอศกรีมและเครื่องดื่มในห้องติดแอร์เย็นสบายก็ยังเปิดอยู่ แต่ร้านอาหารอินเดียที่ปกติมีให้เลือกมากมายบนถนนสายนี้ ไม่ว่าจะเป็น ร้านนิวเดลลี โกลเด้นซิตี้เชตตี นิลาไบยานี ส่วนใหญ่เก็บร้านกันไปหมดแล้ว

ถนนโคนเซดานยามกลางวันนั้นคึกคักมาก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นตลาดค้าขายเครื่องเทศ มีทั้งไม้กฤษณา หอมมาก ขมิ้น น้ำมันหอม ที่มีรูป รส กลิ่น เสียง น่าตื่นเต้นมาก ช่างซ่อมรองเท้าหน้าตาอินเดียนั่งกางเข่า เอาฝ่าเท้าประกบกันหนีบรองเท้าอยู่หน้าตลาด เป็นโยคะอาสนะท่าคนทำรองเท้าที่สวยงามจริงๆ ไม่ไกลกันนักชายพม่าใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่ง พ่นน้ำหมากแดงๆ ลงพื้น รอบๆฉันเห็นรอยน้ำหมากเก่าๆ เปื้อนพื้นทางเดินเป็นหย่อมๆ พอตกเย็นวงตะกร้อด้านหน้าของตลาดก็เปิดขึ้นอีกครั้ง  นี่คือตลาดทียิงอี "Theingyi" บล็อก A ตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดของย่างกุ้ง ถ้าจะว่าไปด้านความเก่าแก่ก็แค่เป็นรองตลาดสก็อต หรือตลาดโบกหยกอองซานเท่านั้น

ย่างกุ้ง

เดิมทีตลาดทีอิงยีเริ่มต้นตั้งแต่เจดีย์ ไจมัตตันโช (Kyeik Myat Than Cho) ที่ปัจจุบันไม่มีอยู่แล้ว ลานเจดีย์สมัยโน้นกว้างขวางมาก มีคนเอาของมาวางขายเป็นตลาดย่อมๆ จนในที่สุดชาวอินเดียได้ซื้อที่ดินตรงนั้นมาจากรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองอยู่และสร้างเป็นตลาดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2397 (เดิมชื่อ Surity Baryat Bazaar) ตลาดนี้เดิมทีเป็นไม้ไผ่มุงหลังคาจาก และต่อมาก็ถูกไฟไหม้ไปสองรอบ จากนั้นอาคาร A, B, C ถูกสร้างขึ้นใหม่พร้อมกับหอนาฬิกา ไม่นานจากนั้น ตึก D และ E สร้างขึ้นตามมา

ตลาดทีอิงยีแห่งนี้ปัจจุบันตั้งกระจายอยู่เต็มพื้นที่ระหว่างถนนใหญ่สองสายหลักคือถนนมหาบันดูลาและถนนอานาวราห์ตา อาคาร A อันเป็นตลาดสดและเครื่องเทศริมถนนโคนเซดานนี้เองที่เคยไฟไหม้ครั้งหนึ่งและสร้างอาคารตลาดใหม่เมื่อราว 106 ปีมาแล้ว

อาคารที่เห็นในวันนี้ที่ตั้งยังคงโครงสร้างเก่าแก่ดั้งเดิม ตลาดบล็อค A แค่แห่งเดียวนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าห้าพันตารางเมตร เปิดแผงค้าขายได้กว่า 650 ร้านตามแนวทางเดิน 5 แถวในแนวยาว และ 19 แถวในแนวขวาง มีประตูเข้าออกในทุกช่องทางเดิน วันอาทิตย์เราจะเห็นประตูตลาดแทบทุกบานปิดลงกลอนแน่นหนา

ส่วนบล็อค B อยู่ระหว่างถนนสาย 25 และ 26 มีแผงค้าขายกว่า 500 แผง ประกอบด้วยสินค้าจำพวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของเล่น รองเท้า อะไรพวกนี้ บล็อค A และ B นี้ยังคงลักษณะเป็นอาคารตลาดแบบดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ส่วนบล็อค C ขายเครื่องไฟฟ้า บล็อค D ขายผ้า และบล็อค E ที่ขายเครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไปนั้น ตัวตึกเก่าไม่อยู่หลงเหลืออยู่แล้ว เราเลยเห็นเป็นตึกรุ่นใหม่หน้าตาธรรมดาๆ ที่สร้างขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนี้เอง

ย่างกุ้ง

ตลาดที่เก่าแก่และน่าสนใจอันดับหนึ่ง (อีกแห่งหนึ่ง) ของย่านการค้าของย่างกุ้งก็คือตลาดโบกหยก อองซาน ที่หลายคนคุ้นเคยกันดี หรือเดิมทีชื่อตลาดสก็อต เพราะได้ชื่อมาจาก เจมส์ จอร์จ สก็อต ข้าหลวงเทศบาลชาวอังกฤษที่เริ่มนำกีฬาฟุตบอลเข้ามาในพม่า ผู้ปกครองชาวอังกฤษสร้างตลาดนี้ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2469 อันเป็นช่วงปลายๆ ยุคการปกครองของอังกฤษในพม่า ต่อมาตลาดนี้ได้เปลี่ยนชื่อหลังจากพม่าได้รับอิสรภาพเมื่อปีพ.ศ. 2491

ตลาดโบกหยกอองซานนี้มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมเก่าแก่ และพื้นปูด้วยหินก้อนเล็กๆแบบถนนเก่าในยุโรป เห็นแล้วก็แอบนึกสงสัยว่ามันจะต้องถูกถมด้วยคอนกรีตในอีกไม่ช้าไม่นานนักหรือไม่ ในตลาดมีทั้งชาวพม่าและนักท่องเที่ยวมาจับจ่ายใช้สอยสินค้า นักท่องเที่ยวมาหาซื้อของฝาก มีร้านขายของโบราณและงานหัตถกรรมจากทั่วประเทศพม่าที่น่าสนใจหลายร้านเลย ส่วนด้านหลังของตลาดมีแผงขายเพชรพลอย อัญมณีมากมาย หากเป็นร้านอัญมณีใหญ่ๆ ในตลาดส่วนมากจะมีการขายแบบสินค้าเฉพาะทาง เช่น บางร้านขายไข่มุกล้วนๆ บางร้านมีแต่หยกสีเขียวสวย บางร้านมีแต่เพชร ที่นี่เคยเป็นตลาดมืดที่คนชอบมาแลกเงิน แต่ตั้งแต่พม่าจัดเปิดประเทศและระบบค่าเงินจ๊าตใหม่ธุรกิจตลาดมืดก็ไม่คึกคักเหมือนเดิมอีกต่อไป

ย่างกุ้ง

ฝั่งตรงข้ามตลาดโบกหยกอองซานเป็นอาคารตลาดใหม่ที่เน้นขายยาเท่านั้น มียาแทบทุกชนิดวางขายกันเหมือนแผงลอยในตลาดประตูน้ำ เดินเลาะลงมาเรื่อยๆ กลับมาทางตลาดทีอิงยี   ไปทางตะวันตกก็เป็นย่านไชน่าทาวน์ของเมืองย่างกุ้ง ที่ยามค่ำคืนคึกคักไปด้วยอาหารนานาชนิดริมทางเท้าของถนนมหาบันดูลา และหากเดินเข้าซอยเล็กในถนนสายที่ 19 ก็จะตื่นตาตื่นใจ เพราะถนนสายนี้มีร้านอาหารและแผงอาหารเยอะแยะ มีโต๊ะเก้าอี้วางตั้งกินกันริมทางเหมือนถนนหลายสายในกรุงเทพ อาหารยอดนิยมของถนนสายนี้คือบาร์บีคิว ที่เราสามารถเลือกปลาตัวโตตัวละ 3000 จ๊าต หรือไม่ก็ หมู เนื้อ หรือ ไก่ มาปิ้งย่างบนเตาถ่านหอมกรุ่น พร้อมผักและเครื่องเคียงมากมาย ใกล้กันมีวัดเจ้าแม่กวนอิมกวงดอง เป็นที่เคารพบูชามายาวนานนับร้อยปี

ฉันตกหลุมรักย่านตลาดการค้าของย่างกุ้งเข้าเต็มเปา ความซอมซ่อของโรงแรมไวท์เฮ้าส์ก็เฉลี่ยกันไปกับการได้อยู่ใจกลางเมืองที่รู้สึกว่าเหมือนได้เห็นภาพเมืองพม่าเมื่อร้อยปีก่อนแบบเดียวกับที่ ซอมเมอเซ็ท มอห์ม หรือ รัทยาร์ด คิปลิ้ง เคยมาเยือน ส่วนอาคารสมัยอาณานิคมที่เหลืออยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์พม่า ที่ถูกกดขี่และปกครองด้วยชาติที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่าจากพ.ศ. 2486-2491 รวมแล้วเป็นเวลา 106ปี ช่างนานมากจริงๆ

ABOUT THE AUTHOR
saiaway

saiaway

เคยเป็นบก.ท่องเที่ยว และยังคงทำงานด้านการสื่อสารกับผู้คน ชอบเดินบนภูเขา ไปห้องสมุด ฝันอยากเป็นโยคี

ALL POSTS