“หญิงเล็ก สมองกระต่ายและน้ำมันมะพร้าว”
หลังจากออกอากาศไปได้หนึ่งสัปดาห์ ก็ได้รับเสียงชมเรื่องความสนุกสนานกันหนาหูเลยทีเดียว สำหรับ “มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์” รายการแข่งทำอาหารแนวเรียลลิตี้ที่ถูกจับตามองมากที่สุดของไทยขณะนี้ นอกจากเรื่องราวหน้ากล้องที่บรรดาผู้เข้าแข่งขันโชว์ความสามารถเด็ดๆ กับเมนูสุดครีเอตแล้ว เบื้องหลังทั้งฮาทั้งแซ่บไม่แพ้รสชาติอาหารที่นำเสนอเช่นเดียวกัน ซึ่งคนที่เมาธ์ได้มันส์สุดๆ คงไม่พ้น ป๊อก - ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ นางเอกและพิธีกรคนเก่ง ที่มาแชร์ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องแพสชั่นด้านอาหารให้ HappBkk รู้กันแบบจุใจไม่เม้ม ที่นี่ที่เดียว! https://www.youtube.com/watch?v=2QH2h6-c8zQ
ทำงานกับกูรูด้านอาหารทั้งสามมาเป็นแรมเดือนแล้ว ใครเป็นยังไงบ้าง คุยให้เราฟังนิดนึงได้ไหม
“คนแรกที่ป๊อกขอพูดถึงก่อนเพราะรักที่สุด คือพี่ป้อม - มล.ขวัญทิพย์ เทวกุล พี่ป้อมรู้จักกับทั้งป๊อกและพี่ตั๊กมานาน เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือคนหนึ่งเลยไม่ว่าจะทั้งอาชีพการงาน สังคม ถ้าป๊อกมีเรื่องอะไรอยากจะปรึกษา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือในฐานะน้องผู้หญิงที่อยากได้คำแนะนำจากพี่ผู้หญิงก็ได้หมดเลย เรียกว่าเป็นไอดอลของป๊อกเลยก็ได้ แบบว่าโตขึ้นชั้นจะเป็นพี่ป้อม (หัวเราะ) และพี่ป้อมเป็นคนที่รู้เรื่องอาหารไทยดีมากกกก นี่ก็นัดกันเรียบร้อยว่า หลังจากจบรายการแล้ว จะขอไปเรียนทำอาหารกับพี่ป้อม (ยิ้ม) ที่ตลกคือ ตอนแรกที่ทางรายการติดต่อไป พี่ป้อมนึกว่าจะให้ไปลงแข่ง พี่ป้อมปฏิเสธมาเลย ชั้นไม่แข่งๆ ก็ต้องบอกกันว่าไม่ได้จะให้พี่มาแข่งค่ะ แต่จะให้มาเป็นกรรมการ (หัวเราะ)”
ขอบอกว่าตามสายตาคนดู มล.ขวัญทิพย์เป็นกรรมการที่ดูน่ากลัวสุดแล้ว!
“ (หัวเราะ)พี่ป้อมไม่ดุเลยค่ะ แต่ตัวจริงเป็นคนบุคลิกจริงจัง พูดจาตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ ความรู้ความสามารถแน่นมากๆ เป็นองค์แม่ที่เรารู้สึกว่า ใช่เลย อย่างพอบอกว่าป๊อกอยากเรียนเรื่องเครื่องแกง พี่ป้อมอธิบายเรื่องของเครื่องปรุงอย่างละเอียด แจกแจงทีละตัวๆ ว่าถ้าเรียนเมนูนี้ เอาเครื่องปรุงมาแยกกัน เราสามารถเพิ่มเมนูที่มีความคล้ายคลึงกันเข้ามาได้ยังไง โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากมาย นี่มันไม่ใช่การสอนแบบปกติ แต่ให้เราต่อยอดพัฒนาไปด้วย ”
แล้ว มล.ภาสันต์ สวัสดิวัฒน์ ล่ะ
“ขอบอกว่าพี่อิงค์ที่เราคุ้นตากันในสื่อจะดูเป็นคนพูดจานิ่มๆ เรียบร้อยน่ารัก ซึ่งก็ใช่ แต่จริงๆ เป็นคนตลกมากกก คือยืนรอเข้ากล้องด้วยจะมีปล่อยมุกเล่นคำผวนตลอดจนเราไม่คาดคิด แต่ต่อหน้ากล้องต้องรักษาลุคนิดนึง...ก็แหม คุณชายอิงค์นะคะ (หัวเราะ) ไม่ได้สิ พวกเราก็เลยจะเรียกพี่อิงค์กันว่าคุณชายกลาง เพราะพี่อิงค์จะมีมาดพระเอกตลอด แล้วก็จะยกให้พี่ป้อมเป็นหม่อมแม่ (ขำไม่หยุด) ”
จากบ้าน “มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์” กลายเป็น”บ้านทรายทอง” ซะงั้น!
“ใช่ๆ (หัวเราะ) ซึ่งเหมาะมาก ตอนแรกน้องๆ ทีมงานตั้งฉายาเรียกพี่ป้อมเล่นๆ ว่าคุณแม่ๆ เราบอกไม่ได้สิ พี่ป้อมเป็นใคร เค้ามียศถาบรรดาศักดิ์จริงๆ ก็ต้องเป็นหม่อมแม่นะ ส่วนพี่อิงค์มาดให้ ก็ให้เป็นคุณชายกลาง ส่วนดิชั้นแน่นอนค่ะก็ต้องเป็น...หญิงเล็ก เพราะทุกอย่างทุกกระเบียดนี้ โตขึ้นไปจะเป็นอย่างหม่อมแม่ค่ะ (ยิ้มตาหยี)”
แล้วอย่าบอกนะว่าเฮี๊ยบๆ อย่างเชฟเอียน – พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย เป็น....?
“เป็นคุณชายน้อยค่ะ! (ขำไม่หยุด) พี่เอียนเนี่ยดูเป็นคนขึงขัง แต่เอาจริงๆ คือภาษาไทยอ่อนแอมากกก บางทีเวลาที่เรากำลังพูดไดอะล็อกแบบจริงจัง แล้วพี่เอียนซึ่งตามบทบาทควรจะเป็นคนที่พูดจาบอกกติกาอะไรได้มากที่สุด ก็จะใช้ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ (ยิ้มขำ) ไดอะล็อกภาษาไทยยาวยืดก็จะจำไม่ได้ พูดคำสลับกันไปมา แล้วเป็นคนที่มั่นใจในการเรียกชื่อคนสุดชีวิต แต่เรียกผิดประจำ! เช่นจ้องหน้าผู้เข้าแข่งขันแบบเอาจริงมาก เรียกชื่อแบบเต็มปากมั่นใจมาก “ผมว่านี่มันไม่ใช่นะครับ นนท์!” ทุกคนตรงนั้นก็จะแบบ... (เสียงเบา) ไม่ใช่ค่ะ เชฟ เค้าไม่ได้ชื่อนี้นะคะ ก็เทคใหม่กันไป ขำมาก”
ไม่น่าเชื่อว่าเชฟเอียนคือมีมุมแบบนี้ด้วย
“คือมันจะขำ เพราะพี่เอียนจะต้องเป็นคนที่คอยพูดให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขัน แต่แกพูดไม่ได้ มีตอนนึงแกจะต้องพูดว่า “เราต้องใช้มีดให้คล่อง เหมือนทหารใช้อาวุธประจำตัวต่อสู้กับข้าศึก” แต่พี่เอียนพูดยังไงก็พูดไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วขณะนั้นมู้ดในการแข่งมันก็กำลังพีค กำลังจริงจัง จากที่กำลังซีเรียสกันอยู่ ป๊อกกับกรรมการอีกสองท่านต้องหยุด มองหน้ากันแล้วขำแบบ ไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ)” คือถ้าจะบอกว่ากรรมการรายการนี้โหด ดุ ถ้ามารู้จักตัวจริงแล้ว ไม่เลยค่ะ แต่ที่ดุ ป๊อกว่าเป็นความเป๊ะในเรื่องอาหาร เรื่องการทำงานมากกว่า เพราะเค้าจะไม่ไปเกรี้ยวกราดด้วยเรื่องส่วนตัวของคนที่มาแข่งเลย ที่ติกันตรงๆ เพราะอยากให้พัฒนาให้อาหารดีขึ้นมากกว่า”
นอกจากได้เป็นพิธีกรรายการ “มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้นมข้นหวานตรามะลิ ได้ออกอีเว้นท์อาหารอีกมากมาย การมาเรียนทำอาหารเป็นเรื่องเป็นราว ให้อะไรกับป๊อกอีกบ้าง
“มันเปิดโลกของเราอย่างมากกก ซึ่งป๊อกคิดว่าเป็นกันทุกคน คือมันทำให้เรารู้ว่าระบบในโรงแรม ร้านอาหาร จากคนที่แค่เคยไปกินแล้วมองเข้าไป เรารู้เลยว่าเบื้องหลังเค้ารันกันยังไง มีคำพูดของน้องในกลุ่มที่โรงเรียนเลอ กอร์ดองเบลอที่ป๊อกชอบมากจนจำได้เค้าบอกว่า “เพื่อนในโรงเรียนนี้เป็นเพื่อนในวงการอาหารกลุ่มแรกที่เราจะต้องรักษาเอาไว้ถ้าคิดจะอยู่ในวงการอาหารต่อไป” บอกเลยว่าที่เรียนมาได้เรื่อยๆ เพราะได้เพื่อนดี เราเลยสนุกที่จะมาโรงเรียน ซึ่งเราห่างหายบรรยากาศนี้ไปนานมากกก พอมาที่เลอ กอร์ดองเบลอ ดุสิต อารมณ์เหมือนกลับไปอยู่มหาลัยใหม่ ทุกคนมาโรงเรียนใส่ยูนิฟอร์ม โดนบังคับให้อยู่ในระเบียบเหมือนกัน ซึ่งคอนเนคชั่นตรงนี้จากเพื่อนที่รักขนมอาหารเหมือนกันกับเรา ไม่ได้คิดที่จะแข่งขันกับเรา และอยากเรียนที่จะทำอาหารให้ดี แถมคอยช่วยเหลือกันแบบนี้ มันหาไม่ได้ง่ายๆ บางคนบอก เอ๊ะ มาเรียนเพื่อชุบตัวรึเปล่า ถ้าแค่อยากชุบตัว เราลงเรียนแค่ชั้นเบสิคไม่ดีกว่าเหรอคะ (ยิ้ม) คงไม่ต้องไปถึงขั้นซูพีเรียร์สูงสุด เรียนทั้งขนมหวาน อาหารคาว ขนมปัง ต้องจัดสรรเวลาทุกๆ วันเสาร์โดยที่แทบไม่เคยขาดเรียนเลยเป็นเวลาสองสามปีติดกันอย่างนี้ และที่สำคัญ การมาเรียนทำอาหารสอนให้เรากินอาหารละเลียดขึ้น เรารู้จักจำแนกอาหาร ว่าเค้าทำยังไงนะ ใส่อะไรบ้าง คือโอเคการกินเอาอิ่มมันก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามีเวลาหน่อย ลองค่อยๆ กินทีละนิด ค้นหาลึกลงไปมันจะเห็นอะไรมาก ซึ่งแต่ก่อนไม่เข้าใจนะคะ อะไรกัน บ้ารึเปล่า แค่กินอาหาร จะดัดจริตไปถึงไหน ถ้าปรุงแบบนี้แล้วจะมีรสชาติแฝงอะไรกัน แต่พอลงมือชิมแล้ว เหมือนเรานั่งสมาธิแล้วแยกแยะสภาวะต่างๆ ได้ ทำให้เราละเอียดลออขึ้น ไม่เป็นคนฉาบฉวย จากที่แต่ก่อนชิมไวน์แล้วครูบอก มันจะมีรสเชอรี่ รสถังไม้โอ๊คที่บ่มมานะ พอเราทำจริงๆ เออ มันก็มีนะ รสชาติแฝงที่ว่า ตอนนี้เลยอยากเรียนรู้เรื่องของ wine pairing (การจับคู่อาหารกับไวน์) อยากค้นพบว่า ที่เค้าบอกว่าถ้ากินอาหารชนิดนี้แล้วดื่มไวน์ตัวนี้ ตามไป อมไว้ในปากสักครู่ จะได้รสชาติแบบนี้ๆ ออกมาคือยังไง”
“ป๊อกว่าการเรียนชิมอาหารเป็นการใช้สมาธิที่ดีมาก ถ้าใครชีวิตวุ่นวายมาก ทำอะไรจับจด ไม่สนุกกับอะไรสักอย่าง ลองเล่นกับการชิม การจำแนกรสอาหารดู ป๊อกว่ามันช่วยฝึกเรื่องสติได้เยอะค่ะ”
เป็นคนชอบชิมแบบนี้ เคยจ่ายค่าอาหารแพงที่สุดกี่บาท
“น่าจะประมาณสองสามหมื่นได้ แต่ไม่ใช่แบบร้านมิชลินสองสามดาวนะคะ เรายังไม่ใช่คนที่ตามหาการกินขนาดนั้น เป็นตามร้านอาหารทั่วไป หลังเลิกงานเลิกเรียนนี่แล้วไปทานต่อกับเพื่อนๆ น้องๆ นี่แหละ ก็มีเปิดไวน์กัน เราก็...เมาด้วย (ยิ้ม พูดเสียงเบา) รูดการ์ดไปงงๆ วันรุ่งขึ้นไล่โทรถามเพื่อนว่าอันนี้ใครสั่งอ่ะ (หัวเราะ)”
แล้วมื้อที่ถูกที่สุดล่ะ
“เป็นมื้อที่ไม่ต้องจ่ายและได้ของกลับบ้านด้วย ซึ่งมีหลายทีมากค่ะ ป๊อกกับพี่ตั๊กเนี่ยเป็นคนทำอาหารเหมือนกัน เราเข้าใจ เราเลยรู้สึกว่าเวลาไปกินนี่เราต้องจ่ายให้คนทำที่เค้าลงทุนลงแรง แต่เจ้าของร้านที่เราไปกินหลายคนดีใจ รู้สึกรักเรา ชอบเราอยู่แล้ว จนเป็นโชคดีของเรา ที่นอกจากจะไม่ต้องจ่ายสตางค์แล้ว ยังมีให้หิ้วกลับบ้านด้วย อันนี้น่ารักที่สุดนะคนไทย หรือต่อให้เป็นมื้อที่จ่ายปกติ ก็มีแถมขนมให้มา อ้ะ คุณป๊อกมาลดให้ แต่บางที่ก็ไม่ยอมเก็บเงินเลย จนเรารู้สึกว่า เราจะทำอะไรให้เค้าได้บ้าง เค้าดูมีน้อยกว่าเราแต่ดูน้ำใจที่มีให้เราสิ มันมากมายมหาศาล แต่การที่จะให้เงินตรงนั้น ก็จะไปทำลายความตั้งใจที่จะให้ของเค้าอีก ก็ยังคิดหาวิธีอยู่ (ยิ้ม) ว่าเราจะตอบแทนเค้ายังไงดี ถ้าเรากลับไปทานอีก เค้าจะยอมคิดสตางค์เรามั้ย”
อาหารแปลกที่สุดที่เคยชิมมา
“สมองกระต่าย (หัวเราะ) ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้กินค่ะ ลำพังเรียนเมนูขากบก็วี๊ดว๊ายกันจะแย่อยู่แล้ว วันนั้น พอเชฟปรุงแล้วทอดสมองกระต่ายแล้วถามว่าใครอยากชิมมั้ย ก็เงียบกัน เพราะทุกคนในห้องยังไม่สนิทกันดีนัก เพราะเป็นช่วงกลางๆ ของการเรียนชั้นพื้นฐาน ป๊อกเองอยู่โรงเรียนมานาน เลยรู้สึกว่าไม่ได้สิ เราต้องแสดงสปิริต ทัศนคติที่ดีให้เพื่อนๆ เห็น ว่ามาเรียนทำอาหาร เราต้องกล้าชิมสิ จะให้มันตายเสียเปล่าได้ยังไง ชีวิตกระต่ายจะดูไร้ค่า ต้องเอามาบำรุงร่างกายให้มีพละกำลัง (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นโอเค กินก็ได้ค่ะ แล้วรู้มั๊ย (ทำตาโต เน้นเสียง) มันอร่อยมากกกกก ถ้าเทียบกับตับห่านฟัวกราส์ สมองกระต่ายนี่ครีมมี่กว่า มันกว่าไม่รู้กี่เท่า โดยที่เราไม่รู้สึกเลยว่าเป็นไขมัน มันนวลมาก แคลลอรี่สูงมากก็จริง แต่สมองกระต่ายมันจิ๊ดเดียวไง ปรากฏพอป๊อกกับน้องอีกคนชิมแล้วบอกทุกคนในห้อง เฮ้ย อร่อยจริงๆ! ทุกคนที่เหลือลุกฮือกันจะมาชิม แต่ป๊อกกินหมดแล้ว (หัวเราะชอบใจ)”
อาหารจานเด็ดของป๊อกคืออะไร
“ป๊อกชอบทำขนม เพื่อนๆ จะชอบให้ทำเค้กให้กินค่ะ เพราะว่าถ้าทำอาหารคาวเนี่ย เอ่อ...สามีจะข่ม (หัวเราะลั่น) เราก็อ่ะ ทำขนมไปละกัน แล้วป๊อกมาสายอาหารฝรั่งด้วย เวลาเราไปปาร์ตี้ เราก็จะมีอาหารจากในชั้นเรียนไปฝากเพื่อนๆ เช่นวันนี้มีนกพิราบกับคูสคูส เพื่อนๆ ก็จะบอกว่า ก็ดีใจนะทีป๊อกไปเรียนทำอาหาร แต่ไม่เอานกพิราบได้มั้ย เพราะเราทำแบบฝรั่งเศส การพรีเซนต์ก็จะเห็นเป็นขานกลีบๆ เพื่อนเลยขอกินแค่คูสคูสพอ (หัวเราะ)”
เคยคิดจะเปิดร้านอาหารมั้ยถามจริง
“เคยค่ะ นี่เป็นความฝันสุดยอดของป๊อกกับพี่ตั๊กเลยว่า เราอยากเปิดร้านเมื่อเราอิ่มจากงานอื่นๆ แล้ว และถ้าเปิด เราอยากทำอาหารทุกจานด้วยฝีมือเราเองให้ทุกคนได้ชิม เราไม่ต้องการทำธุรกิจ เราอาจจะโง่ก็ได้ที่คิดแค่เรื่องความสุขของตัวเองที่ได้ทำอาหาร แต่ความสุขของเรา เงินไม่ใช่คำตอบ ป๊อกอยากมีแค่ร้านเดียวเป็นร้านเล็กๆ เหมือนบาร์ญี่ปุ่น มีอาหาร มีเครื่องดื่ม ลูกค้าอยากชิมอะไร เราทำให้เลยตรงนั้นจากมือเราเองทุกอย่าง ไม่เอาแบบลูกค้ามาบ่นว่า เนี่ย วันนั้นไปกินสาขานั้นมา ไม่อร่อยเลย”
ของที่ชอบกินที่สุด หรือไม่ชอบที่สุด
“ตอบยากมากเลย คนชอบกินน่ะนะคะ (คิดนาน) ส่วนมากป๊อกกินแทบทุกอย่าง ที่ไม่ค่อยกินก็น่าจะพวกของมีกลิ่นแรงๆ อย่างปลาร้า แต่ไม่ใช่ถึงขนาด อย่ามาแตะปากชั้นนะ ไม่ใช่ค่ะ แต่ชิมแล้วไม่ชอบจริงๆ แต่ก็ไม่เสมอไปนะ บางคนก็สามารถทำให้อร่อยจริงๆ จนเราอยากชิม อย่างในรายการ มีคุณป้าคนนึงทำปลาโขลกกับน้ำปลาร้าแล้วเอามาทำเป็นลาบ เชื่อมั้ย ป๊อกยืนดูอยู่ตรงนั้น อยากชิมมากกกก ไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้ชิม ซึ่งปรากฏว่าอร่อยมากๆ ทั้งที่มันเย็นหมดแล้ว คือป๊อกว่าของที่ทำอร่อย ยังไงก็อร่อยค่ะ มันเป็นความสากลที่ทุกคนเข้าใจได้ ถ้าถามว่าไม่ชอบกินอะไร คือไม่ชอบของไม่อร่อย เราจะไม่กินให้เสียพื้นที่ในกระเพาะให้อาหารดีๆ อื่นๆ (หัวเราะชอบใจ)”
ชอบทำ ชอบกินขนาดนี้ ทำไมไม่อ้วน
“เคยมีเชฟที่โรงเรียนบอกว่า คนที่ทำไม่เก่ง ก็จะชิมไปปรุงไปเรื่อยๆ ไม่หยุดชิมสักที เลยอ้วน แต่ถ้าคนเก่งแล้ว ชิมปุ๊บจบปั๊บ แต่เชฟที่บอกนี่ก็ตัวไม่ใช่เล็กๆ นะคะ (หัวเราะขำเบาๆ) ป๊อกว่าคนที่ชอบทำอาหาร จะมีความสุขเวลาเห็นคนอื่นกิน และระหว่างที่เราทำ เราไม่ได้ชิมแค่อย่างเดียว แต่ตา จมูกเราได้มองภาพ ได้สูดกลิ่น มือได้หยิบจับ ได้ดื่มด่ำอาหารนั้นทางประสาทสัมผัสอื่นๆ ไปแล้วจนอิ่ม พอตักเข้าปากชิมจริงๆ แค่คำเดียว ก็พอแล้วสำหรับเรา ที่เหลือคืออยากส่งต่อให้คนอื่นๆ ได้มีประสบการณ์นั้นร่วมด้วย”
เรียกว่าอาหารคือแพสชั่นของชีวิตป๊อกเลยได้ไหม
“แพสชั่นของป๊อกมีอยู่สองอย่าง คืออาหารกับการแสดงค่ะ เรารักการแสดง สามีเราก็มาสายนั้นด้วย เราเนิร์ด เราอินมากกับอาชีพของเรา(ยิ้ม) ส่วนเรื่องอาหารนี่มาเริ่มชอบเอาจริงจังตอนแก่สามสิบจะสี่สิบแล้ว อุ๊ย! เผลอบอกอายุ (หัวเราะลั่น)”
พูดถึงอายุ อันนี้อยากรู้มากจริงๆ ว่าทำไมปิยธิดาดูไม่แก่เลย ดูแลตัวเองยังไง ทาครีมอะไร บอกมาด่วน
“ป๊อกว่าป๊อกกินบุญเก่าอยู่ จริงๆ นะ ไม่ได้ดูแลอะไรมากเป็นพิเศษเลย มีทาครีมบำรุง ทากันแดดซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิงไทย เพราะแสงแดดทำให้มีริ้วรอย อีกเรื่องคือการนอนซึ่งสำคัญมากกก วันไหนนอนน้อยนี่รู้ตัวเลยว่าหน้าแก่ ร่องแก้มมา ใต้ตายับ (หัวเราะ) ป๊อกไม่ชอบทานของมันๆ ด้วยเพราะว่าเลี่ยนเอง และด้วยอาชีพเราที่ต้องจำกัดอาหารบ้างอยู่แล้ว แต่ไม่ได้อดอยากโหยหา หิวแต่กินไม่ได้ แบบนั้นไม่มีนะคะ ป๊อกจะกินแต่ไม่กินจนอิ่มเกินไป ออกกำลังบ้างไม่ออกบ้าง หนักเบาสลับกันไป ไม่ถึงกับว่าเดี๋ยวชั้นจะไปลงแข่งมาราธอนอะไรยังงี้ เอาแค่เบาๆ สายกลางพอ คู่ป๊อกกับพี่ตั๊กเป็นคนที่พอว่างๆ เราก็จะไปขี่จักรยานตามต่างจังหวัด ตามสวนสาธารณะกันบ้าง ปั่นๆ อยู่บางทีเจอเพื่อนสมัยมัธยมปั่นสวนมาก็ตะโกนทักเรียกชื่อกันคำเดียวแล้วต่างคนก็ปั่นต่อ (ยิ้ม) บางทีเครียดๆ ก็จะว่ายน้ำซึ่งป๊อกว่าช่วยให้มีสมาธิดี เราจะไม่ได้ยินอะไร เพราะเราอยู่ใต้น้ำตลอดเวลา มันจะทำให้เรานิ่ง วันไหนไม่สบายตัว เอ๊ะสงสัยเราไมได้ยืดเส้นยืดสาย ลองว่ายน้ำสักแป๊บก็ยังดี ส่วนผิวนี่ขอบอกว่า ตอนกลางคืนป๊อกทาน้ำมันมะพร้าวทั่วตัวค่ะ (หัวเราะ) ป๊อกชอบเพราะมันหอมหวาน กลิ่นเหมือนกินขนมไทย (ยิ้ม) ใช้ติดจนไม่สามารถทาบอดี้โลชั่นธรรมดาได้แล้ว มันซึมเร็วเกินไปไม่สะใจ (หัวเราะ) น้ำมันมะพร้าวทำให้ผิวเราทั้งนุ่มทั้งหอม แต่ทากลางวันไม่ได้นะ มันจะดูดแสง ทำให้ผิวคล้ำแบบคนอาบแดด ต้องทาก่อนนอน ซึ่งพี่ตั๊กจะไม่ชอบ เพราะลูกบิดประตูที่บ้านจะมันมาก (หัวเราะเขิน) ป๊อกก็ต้องตามไปคอยเช็ด จริงๆ คนที่ให้ข้อคิดป๊อก ว่าให้ทำอะไรธรรมดาๆ ดูแลตัวเองง่ายๆ คือคุณพ่อป๊อกเอง คุณพ่อเห็นแต่ก่อนป๊อกเครียดเรื่องดูแลผิว ก็บอก “หาหมอรักษาอยู่นั่น ไม่หายสักที ไปดูพวกคนทำงานก่อสร้างสิ ไม่เห็นเค้าจะมีสิวอะไรเลย ถึงผิวจะคล้ำแต่ก็เนียน เป็นเพราะเค้าไม่ไปยุ่งอะไรกับมันมากใช่มั้ย” เราเลยคิดได้ว่า เออ ไม่ต้องไปยุ่งกับมันสุดขีดมากก็ได้ เดินทางสายกลาง เอาเวลาไปดูเรื่องอื่นบ้างดีกว่า”
ทุกคนจะรู้ว่าป๊อกเป็นนักแสดงที่ตั้งใจทำงานมาตลอด มีใครเป็นไอดอลบ้าง
“ป๊อกชอบแกรี่ โอลด์แมน ชอบมากกกก (ลากเสียง) ชอบมานานแล้ว เพราะรู้สึกเค้าเล่นได้หลายแบบดี ดีก็ได้ ร้ายก็ดี ถ้านักแสดงผู้หญิงก็ชอบหลายคน อย่างเมอรีล สตรีป เจสสิก้า แลงจ์ คือชอบประมาณเบอร์ขนาดนี้เลย ชอบสายดราม่าที่สามารถเปลี่ยนตัวเองไปได้หลายๆ แบบ เล่นแล้วดูมีอะไร อย่างอลัน ริคแมน ที่พอมาเล่นบทศาสตราจารย์สเนป เราดูภาคแรกแล้วแอบเชียร์อยู่ในใจ ว่าเฮ้ย ลึกๆ ตัวละครนี้ต้องเป็นคนดีแน่นอน ซึ่งพอมาถึงภาคหลัง ก็รู้ว่าเราคิดถูกจริงๆ”
หนังเรื่องล่าสุดที่ดูในโรงภาพยนตร์
“ลาลาแลนด์ค่ะ ชอบมากกก แต่นานๆ จะได้เข้าโรงหนังสักทีเพราะป๊อกกับพี่ตั๊กจะว่างไม่ค่อยตรงกัน พอว่างเราก็อยากอยู่บ้าน หรือไปทำธุระบ้าง หรือไม่ก็เป็นหนังเด็ก เพราะต้องพาหลานไปด้วย (หัวเราะ)”
ตั้งแต่เป็นนักแสดงมา บทไหนที่ท้าทายสุดแล้ว
“บทที่ไกลตัวเรา อย่างเรื่องแก้วกลางดง ที่วิธีการพูด วิธีการเดินแบบเราต้องปรับใหม่หมดเลยให้เป็นแบบคนภูเขา ต้องกล้าไม่สวย เพราะถ้ายังเล่นแบบติดสวยก็ไม่สนุก ช่วงแรกๆ ที่ตัวละครยังอยู่ในป่าในเขา เราไม่ต้องแต่งหน้าเลย แค่รวบผมก็เข้ากล้องได้แล้ว ชีวิตสบายมากตอนนั้น แต่ที่แย่สุดคือต้องใส่รองเท้าแตะฟองน้ำตลอดเวลา (หัวเราะ) เวลาฉากที่ต้องวิ่งบนก้อนหินจะเจ็บมาก เท้าเตลิดเปิดเปิงไปหมด”
สะสมประสบการณ์มาขนาดนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีผลงานเรื่องไหนบ้างไหมที่อยากจะแสดงใหม่
“เยอะ เกือบทุกเรื่องเลย (เสียงหนัก) โดยเฉพาะช่วงแรกที่เราเล่นละครใหม่ๆ พวกบทเด็กๆ ที่ตอนนี้เรากลับมาดู รู้สึกทำไมตอนนั้นเรามันง๊องแง๊งๆ จัง”
เอ้ยย แต่คนดูเลิฟป๊อกในบท “น้องณี” ใน “ธรณีนี่นี้ใครครอง” มากกกเลยนะ
“อันนั้นมันคงโอเคมั้งคะ เพราะคนดูก็เหมือนว่าไม่ได้อะไร และก็คงเป็นเวลาของมันด้วยที่เรายังเล่นได้ และเพราะเป็นเราในตอนนั้น มันก็เลยมาเป็นเราในวันนี้ ซึ่งถ้าให้มาเล่นใหม่ตอนนี้สิมันคงไม่ได้แล้ว (หัวเราะขำ) รู้มั้ยว่าป๊อกเล่นบทนั้นตอน 24 แล้วนะ แล้วต้องมาเล่นเป็นเด็ก 14-15 ต้องมาใส่ผมเปีย ฮึ๊ยยยย (ทำเสียงอายๆ) เล่นไปก็เขินมากกก แต่ก็เล่นไปได้”
ไลฟ์สไตล์ทุกวันนี้เป็นยังไงบ้าง
“(หัวเราะ) ถ้าไม่ได้ทำงานหรือมาเรียนป๊อกก็จะอยู่บ้าน หรือไม่ก็ออกไปเดินซื้อของ...พวกเครื่องครัว (หัวเราะขำตัวเอง) เราก็บอกตัวเองว่า แบบนี้เรายังไม่มีไง กระทะไซส์นี้เรายังไม่มีนะ เป็นสายอุปกรณ์ดีเด่น (ยิ้ม) ซื้อเก็บไว้เต็มไปหมด จนบัดนี้จะเรียนจบควิซีนอยู่แล้ว ยังคุยกับน้องในห้องเลยว่า รู้มั้ยว่าพี่ยังมีอุปกรณ์หลายชิ้นที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกออกด้วยซ้ำอะไรแบบนี้ มันคงเป็นวัยด้วย สมัยเด็กๆ เราซื้อของแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรไปตามเรื่อง แต่ป๊อกก็ไม่เคยแต่งตัวเยอะแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ป๊อกทุกวันนี้เลยจะซื้อแต่เครื่องครัวซื้อของแต่งบ้านนิดๆ หน่อยๆ ตามโฮมโปร อินเด็กซ์ เอสบี อะไรทำนองนี้ เรารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ๆ เราสบายใจ เลยอยากทำให้ดี”
ป๊อกเคยให้สัมภาษณ์ว่าต่อให้อายุมากขึ้น ก็ยังมีความฝันอยากอยู่ในวงการแสดงไปเรื่อยๆ เล่นละครเวที เล่นบทย่ายาย หรือเป็นครูการแสดงแบบครูเล็ก - ภัทราวดี มีชูธน หรือครูแอ๋ว – อรชุมา ยุทธวงศ์ ทุกวันนี้ฝันนั้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนแล้ว
“ทุกวันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในวงการแสดงเกือบเต็มเวลาเหมือนเดิมค่ะ เพียงแต่เรามีการแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างด้วย แต่การเป็นครูนี่ยังไม่ได้เป็นเต็มตัวนะคะ มีบ้างแค่นิดๆ หน่อยๆ”
เห็นมีไปสอนเด็กๆ ที่โรงเรียนจิตรลดาด้วย
“ไปแวบเดียวเองค่ะ ไปช่วยสอนการแสดงให้เด็กๆ เล็กๆ ปอหนึ่ง ปอสาม เป็นวิชาเลือกพิเศษ แต่พี่ตั๊กสิไปตลอด เราทำได้แค่ช่วยจัดระเบียบเล็กๆ น้อยๆ เพราะวิธีการของป๊อกจะเหมาะกับสอนเด็กโตแล้วมากกว่า เพราะเราถนัดการปูความคิดการตีความ แล้วใช้แคแรคเตอร์ตัวเองหรือคนอื่นมาอ้างอิง แต่เด็กเล็กๆ จะต้องการพื้นฐานการเคลื่อนไหวการทรงตัว ซึ่งเราไมได้เรียนมาก ก็จะให้พี่ตั๊กช่วยดูแลไป แต่ก็สนุกมาก เด็กสมัยนี้จะอยากเรียนการแสดง จะกล้าแสดงออก ตอนแรกกะไว้ว่าจะมาลงกันสามสิบ มาจริงๆ เป็นร้อย แล้วทุกคนมาถึงจะวิ่งงงงเล่นจะแอ๊คทีฟ (หัวเราะ) บางคนบอกครูขา หนูอยากร้องเพลง ครูขาเมื่อไหร่จะสอนร้องไห้คะ แล้วเด็กเล็กนะคะ บางทีเรียนๆ อยู่ก็แบบ...ครูขาปวดฉี่ เราก็เอ้า ไปๆๆ ไปฉี่กัน ครูขาคนนั้นเอาตังค์ออกมานับอ่ะค่ะ เราก็ลูกขา อย่าเพิ่งเอาเงินออกมานับสิลูก ครูขา กระโปรงครูป๊อกสวยอ้ะ เราก็ขอบคุณค่ะลูก (ยิ้มขำ) อะไรอย่างนี้ ”
แล้วมีความฝันอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกบ้าง
“คงเป็นเรื่องการเปิดร้านอาหาร คิดว่าต้องรอให้พร้อมจริงๆ ทุกด้านดีกว่า ทั้งทำเล ที่จอดรถ เวลา แต่..บางทีป๊อกก็แอบคิดนะว่า เอ หรือเราจะแอบๆ ทำขนมขายตามเฟสบุ๊คแล้วไม่บอกใคร (หัวเราะ) เหมือนกับบางทีเราก็อยากทำน่ะนะคะ มีน้องคนนึงบอกก็ทำมาให้น้องลองกินก่อนสิ แต่ก็ยังไม่ได้ทำเสียที”