HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
เมื่อความเชื่อและดีไซน์หลอมรวมกัน: ถอดแนวคิดการสร้างดุสิตธานียุคใหม่ของชนินทธ์ โทณวณิก
by L. Patt
14 พ.ย. 2568, 14:18
  155 views

ดุสิตธานี กรุงเทพ กำลังกลับมาในโฉมใหม่ที่ผสานรากฐานดั้งเดิมเข้ากับงานออกแบบร่วมสมัยอย่างสง่างาม โรงแรมระดับตำนานแห่งนี้ไม่เพียงถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง แต่ยังได้รับการตีความใหม่ให้สะท้อน “ตัวตนแบบไทยร่วมสมัย” ผ่านศาสตร์ความเชื่อ ฮวงจุ้ย และพุทธศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ของดุสิตธานีตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

แนวคิดการออกแบบครั้งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านวิสัยทัศน์ของ ชนินทธ์ โทณวณิก ซึ่งต้องการให้โรงแรมกลับมาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ อีกครั้ง—ทั้งในฐานะสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย และพื้นที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม ศิลปะ และการต้อนรับสู่อนาคต เมืองกำลังจะได้เห็นดุสิตธานีที่งดงามกว่าเดิม แต่ยังคงเคารพต่อมรดก ความทรงจำ และสปิริตดั้งเดิมที่ทำให้ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองหลวงมายาวนาน

หลังจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ กลับมาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่ กันยายน 2567 เชื่อว่า หลายคนคงได้รับรู้และสัมผัสถึงการออกแบบ และการตกแต่งส่วนต่างๆ ที่ยังคงให้เราได้หวนความทรงจำไปในอดีตของดุสิตธานี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการโรงแรมไทยที่มีมาตรฐานระดับโลกเมื่อกว่า 50 ปีก่อน

ในครั้งนี้ คุณชนินทธ์ โทณวณิก เปิดประตู “Library 1918”—หนึ่งในพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนดุสิตธานีได้ชัดที่สุด—เพื่อเล่าที่มาของโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้อง"ก้าวข้าม" ความปรารถนาของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรม "คุณแม่รักโรงแรมดุสิตมาก และสั่งไว้ว่า ให้รักษาไว้ชั่วลูกชั่วหลาน"

ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี

เขาเล่าว่า ตั้งแต่เข้ามาทำงานในโรงแรม ก็มีการปรับปรุงใหญ่ถึงสองครั้ง แต่กาลเวลาและมาตรฐานระดับสากลที่เปลี่ยนไป ทำให้ห้องพักยุคเริ่มต้นขนาด 30 ตร.ม. กลายเป็นเล็กลงเรื่อยๆ แม้จะพยายามรวมสองห้องให้เป็นหนึ่ง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดของเพดานที่แก้ไม่ได้อยู่ดี

ชนินทธ์ใช้เวลาถึง 8 ปี เดินทางไปดูโรงแรมเก่าแก่ทั่วโลก—ตั้งแต่ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไปจนถึงนิวยอร์ก—ก่อนพบข้อสรุปที่หนักแน่นที่สุดในชีวิตการทำงานว่า “ถ้าจะให้ดุสิตธานีกลับมางดงาม เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องสร้างใหม่ทั้งหลัง”


เขาบอกตามตรงว่า ตอนตัดสินใจเมื่อสิบปีก่อน “ใจเสียมากเหมือนกัน” แต่ก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะให้ดุสิตธานี ก้าวเข้าสู่บทใหม่อย่างเต็มตัว

ศรัทธา ความเชื่อ และโหราศาสตร์

ชนินทธ์ ยอมรับว่า ทะเลาะกับทีมงานสถาปนิกเยอะในเรื่องที่เราอยากเก็บของเดิมเอาไว้ บางคนก็หาว่าบ้า ทีมงานบางคนต้องการดีไซน์ตึกแบบสมัยใหม่ แต่ผมไม่เอา เพราะเรามีบุคลิกของเราอยู่ 

การออกแบบก็มีการผสมผสานหลายแนวคิด โดยนำเอาหลักฮวงจุ้ยจากทั้งซินแสฮ่องกง ซินแสไทย ความชอบ และความเชื่อเลขมงคลของคุณแม่ รวมไปถึงวรรณกรรมไตรภูมิพระร่วง (วรรณกรรมในสมัยสุขโทัยที่มีเนื้อหากล่าวถึงจักรวาลวิทยา ปรัชญา จริยศาสตร์ ชีววิทยา และความคิดความเชื่อทางพุทธศาสนา) มาผสมผสานให้ได้โจทย์ตามที่ต้องการ 

ห้องอาหาร "เบญจรงค์" เดิม มีเสาที่ตกแต่งด้วยลายจิตรกรรมไทยร่วมสมัยฝีมือ ‘ท่านกูฎ’ ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ 

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ซึ่งเป็นซีอีโอ ดุสิตธานี ในขณะนั้น)  ก็แนะนำว่า ควรจะติดต่อมหาวิทยาลัยศิลปากรให้มาเก็บของเก่าของของดุสิตธานีทั้งหมด และดูว่ามีอะไรที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ เช่น เสาเบญจรงค์ เสาเอกขนาดใหญ่ 2 ต้นตรงบริเวณล็อบบี้ ที่ตกแต่งด้วยลายจิตรกรรมไทยร่วมสมัยฝีมือ ‘ท่านกูฎ’ ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ (ลูกศิษย์ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี) ก็นำกลับมาใช้อีก คนก็หาว่าบ้า เพราะเสาแต่ละต้นหนักกว่า 5 ตัน ต้องหาวิธีตัดแล้วส่งไปให้มหาวิทยาลัยศิลปากรซ่อมสี โดยเอาหนังแช่น้ำหุ้มไว้นาน 5 ปี ในช่วงการก่อสร้างโรงแรม รวมถึงภาพผนังห้องอาหารเบญจรงค์เดิม ที่เขียนโดยท่านกูฎ 

Dusit Thani Bangkok (old building)

ยอดเสาสีทอง (Golden Spire) บนยอดตึกก็เช่นกัน ซึ่งของเดิมออกแบบโดยสถาปนิกญี่ปุ่นเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว โดยได้แรงบันดาลใจมาจากยอดของพระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม ที่คุณแม่ชอบ และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ส่วนเสาใหม่สร้างครอบของเดิม และมีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า

ตามแผนเดิม ทั้งโครงการจะประกอบด้วย 4 อาคาร ได้แก่ โรงแรม, ออฟฟิศ, คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า แต่หลักฮวงจุ้ยบอกว่าเลข 4 ไม่ดี ก็เลยต้องสร้างคอนโดเป็น 2 อาคาร คือ Dusit Parkside และ Dusit Residences โดยทำทางเข้าแยกกัน เพื่อทำให้กลายเป็น 5 อาคาร

ชนินทธ์ เล่าว่า สิ่งที่ตนเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ ความเชื่อของคุณแม่เรื่องเลขมงคล เพิ่งมารู้ตอนที่ทีมงานอาจารย์จากมหาวิทยลัยศิลปากรมาศึกษา แล้วบอกว่า แปลกมากที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์สร้างโรงแรมโดยใช้เลข 4 ตัว คือ 3,6,8,9 ซึ่งจะเห็นได้จากการออกแบบส่วนต่างๆ เช่น น้ำตก 9 ชั้น โดยแบ่งระดับออกเป็น 3 ชั้น (ด้านบน) และ 6 ชั้น (ด้านล่าง) หมายถึง สวรรค์ 6 ชั้น บันไดที่ลงไปล็อบบี้ก็มี 3 ชั้น เป็นต้น ซึ่งตรงกับที่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) สุดยอดนักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์ ของโลก เมื่อ 100 กว่าปีก่อน พูดไว้ว่า เลขที่ดีที่สุดก็คือ 3,6,8,9

Caption

"ผมยังจำได้ว่า ตอนที่อาจารย์ศิลปากรมาทำข้อสรุปผลการศึกษา คุณศุภจี ยังถามผมว่า จะดีเหรอที่เราจะทุบตึกทิ้ง ผมก็ตอบว่า มันสายไปแล้ว เพราะเราปิดโรงแรมไปเรียบร้อยแล้ว (ปิดอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนมกราคม 2562)" 

อีกเรื่องที่ซินแสบอกให้ระวังก็คือ ด้านทิศตะวันตก ที่มีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ถัดไปก็เป็นวัดหัวลำโพง ดังนั้น เราจึงวางตำแหน่งอาคารสำนักงานให้บังไว้ และห้องพักของโรงแรมชั้นบนจะไม่หันไปทางทิศตะวันตกเลย 

ท้าวสันตดุสิต

นอกจากนี้ ชนินทธ์ ยังเล่าถึงเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจ เมื่อมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยแนะนำเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ให้สร้างท้าวสันตดุสิต ซึ่งเป็นเทพที่ดูแลสวรรค์ชั้นดุสิต เอาไว้กราบไหว้ที่บ้าน และยังบอกอีกว่า ต่อไปจะได้ไปไหว้ที่ชั้น 7 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้มีความคิดว่าจะสร้างโรงแรมใหม่เลย แต่อาจารย์ก็บอกผมให้เชื่อว่า อีกหน่อยจะได้ไปไว้ที่ชั้น 7 แน่นอน 

ชนินทธ์ หล่อท้าวสันตดุสิต และไหว้ที่บ้านมาเป็นเวลา 13 ปี แต่ในที่สุด ก็ได้ย้ายมาตั้งไว้ที่ชั้น 7 ของดุสิตธานีใหม่ เมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ก็จากไปแล้ว

"ผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่คิดว่า ทำแล้วสบายใจ ผมต้องฟังซินแส ดูทิศทางที่เราต้องการ เอาเลขที่คุณแม่ชอบใส่เข้าไป แล้วก็ดูมิติทางด้านธุรกิจ จากนั้นก็ตัดสินใจว่า จะเลือกแบบไหน"

ทิศทางและธาตุทั้ง 4

หลักการของดิน น้ำ ลม ไฟ ถูกนำมากำหนดการออกแบบ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับศาสตรจารย์มาศึกษาเรื่องลม และผลกระทบของลมที่จะมีต่อชุมชนข้างๆ ซึ่งดุสิตธานีเป็นคนแรกที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ เพราะเราก็ไม่อยากสร้างอะไรที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้การออกแบบ 80-90% สามารถควบคุมไปตามทิศทางของแสงแดด และลม ได้เป็นอย่างดี 

ชนินทธ์ อธิบายว่า ดุสิตธานี น่าจะเป็นตึกเดียวที่ไม่ได้ขนานกับถนน แต่เอียงมุม เพราะซินแสบอกว่าเป็นทิศที่ดี หันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ไม่เจอแดดบ่าย และต้องการให้ทุกห้องมองเห็นสวนลุมพินี และยังเป็นตึกเดียวที่มองจากตึกออกไปจะเห็นสองสวน คือ สวนลุมพินี และสวนเบญจสิริ ได้อย่างชัดเจน 

การออกแบบตึก Duisit Residences ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และโดยส่วนตัวที่ปัญหาแพ้การอยู่ในพื้นที่แคบๆ จึงเน้นเรื่องการระบายลมเข้าออก โดยจะไม่มี corridor ทำให้ผู้พักอาศัยเปิดประตูเข้าไปจะเห็นวิวสีลม และวิวิด้านหลัง สามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้เย็นสบาย 

สิ่งที่ประทับใจ

"สวนดุสิตอรุณเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุด เพราะทำเพื่อคนในชุมชน และดีใจที่เห็นคนมาเดินกันเยอะ มาตั้งแต่ 7 โมงเช้า บางคนก็พาพ่อแม่นั่งรถเข็นมา" 

ชนินทธ์ เล่าถึงที่มาว่า ตอนไปคุยกับสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นพระคลังข้างที่) ผู้บริหารหลายท่านก็บอกว่า ถ้าจะทำโครงการใหม่ ขอให้ทำอะไรอย่างหนึ่งให้ชุมชน ก็เลยเกิดมาเป็นสวนอรุณที่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

เหตุผลแรกที่ทำสวนบนดาดฟ้า เพราะคุณแม่เป็นคนชอบต้นไม้ แทนที่จะเป็นคอนกรีตไว้เก็บอุปกรณ์ หรือขยะ ขณะเดียวกัน ซินแสฮ่องกง ก็แนะนำว่า โครงสร้างอาคารมีลักษณะคล้ายๆ มือที่มีสามนิ้ว ถ้าทำหลังคาเป็นพื้นเรียบก็จะรับสิ่งดีๆ เข้ามาได้ไม่เต็มที่ ก็เลยสร้างสวนเพื่อไม่ให้มันเด้งออก นอกจากนี้ ยังเน้นการปลูกต้นไม้มงคลที่คุณแม่ชอบ ต้นไม้ที่ช่วยลดฝุ่น PM2.5 และต้นไม้กันยุงด้วย หากใครมาเดินสวนช่วงบ่ายก็ไม่ต้องกลัวร้อน เพราะมีตึกออฟฟิศบังไว้ 

ดุสิตธานี ถือเป็นต้นแบบที่มีสวนและน้ำตกอยู่ภายในโรงแรมเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ในอนาคต ก็หวังให้คนอื่นทำสวนแบบนี้กันเยอะๆ เพื่อกรุงเทพฯ จะได้ดีขึ้น

วางอนาคตไว้อย่างไร

ชนินทธ์ ไม่ได้บริหารโรงแรมมา 10 ปี แต่ต้องกลับมารักษาการซีอีโอ หลังจากศุภจี ลาออกไปรับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่เขาก็ยังหวังว่า ศุภจี จะกลับมาสานต่อการพัฒนาดุสิตธานีต่อไป

คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ 

"ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง Dusit Residences ซึ่งเมื่อจบโครงการนี้สิ้นปีหน้า ก็คิดไว้ว่าจะถอย และอยากทำอะไรให้สังคม ซึ่งคุณแม่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก เป็นผู้ริเริ่มวิทยาลัยการโรงแรมมากว่า 40 ปี และสร้างโรงเรียนให้กับเด็กชาวเขา ในพระอุปถัมภ์ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี เพราะเชื่อว่า วิธีการสร้างประเทศที่ดีที่สุดคือการสร้างคน" 

ชนินทธ์ ให้แง่คิดเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวว่า เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่มีการแข่งขันธุรกิจสูง เราจะต้องเลือกระหว่างคนที่เก่งกับคนที่เป็นสมาชิกครอบครัว ข้อสำคัญคือ ต้องหาคนเก่งมาทำงาน ดังนั้น เรามีหน้าที่ต้องฝึกรุ่นต่อไป รวมถึงลูกหลานให้เค้าเก่ง และการเก่งต้องให้เค้าเจอน้ำร้อน เจอไฟ จึงจะไปรอด 

แม้ว่า จะมีโรงแรมเชนต่างชาติมาเปิดบริการมากมาย แต่ดุสิตธานี ก็ยังคงเชื่อมั่นในความเป็นแบรนด์ไทย เอกลักษณ์ไทย และศักยภาพของคนไทย ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี โดยล่าสุด ได้รับรางวัลติดอันดับ 60 ของ 100 โรงแรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก จากThe World’s 50 Best Hotels 2025 ขณะที่ก่อนหน้านี้เพิ่งคว้า “มิชลิน คีย์” ได้เป็นครั้งแรก 

#DusitThaniBangkok #ดุสิตธานีกรุงเทพ #ThaiContemporaryDesign #สถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย #HotelDesignThailand #ThaiHeritageDesign 

ABOUT THE AUTHOR
L. Patt

L. Patt

ALL POSTS