HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
คุยกับนักวิจัยพันธุ์ข้าว สร้างแบรนด์สายพันธุ์ใหม่เพิ่มทางเลือกตลาดข้าวไทย 
by L. Patt
11 พ.ย. 2568, 17:21
  116 views

การปรับปรุงพันธุกรรมข้าวเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพัฒนาศักยภาพข้าวไทย ทั้งด้านการผลิต การส่งออก รวมถึงการรับมือกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่แม้ว่านักวิจัยไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และไบโอเทค สวทช. จะเร่งคิดค้นวิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกและการบริโภคภายในประเทศยังยึดติดอยู่กับพันธุ์ข้าวเดิมๆ ที่กลายเป็นข้อจำกัดในการขยายโอกาสทางการค้า และทางเลือกใหม่ของเกษตรกร 

ในการจัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025”  ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ได้นำเสนอพันธุ์ข้าวนวัตกรรมผลผลิตสูงถึง 1.5 - 2 ตันต่อไร่ มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นลง ต้านทานโรคและแมลงได้ดีขึ้น และทนต่อน้ำท่วมฉับพลัน รวมไปถึงเทคนิคการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ  

ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค สวทช. บอกว่า ขณะนี้มีพันธุ์ข้าวพร้อมใช้ 15 สายพันธุ์ โดยกลุ่มข้าวขาว ได้แก่ ไบโอเทค 1 และ ปิ่นเกษตร 4 กลุ่มข้าวพื้นนุ่ม ได้แก่ หอมมาลัยแมน, หอมสยาม, หอมสยาม 2, หอมสยาม 3, หอมชลสิทธิ์ 2, และหอมนาเล กลุ่มข้าวเหนียวได้แก่ หอมนาคา, หอมนาคา 3, หอมนาคา4, น่าน 59, และ ธัญสิรินเตี้ย (ข้าวเหนียว) ส่วนข้าวเจ้าโภชนาการ ได้แก่ ไรซ์เบอร์รี่ 2 

ทั้งนี้ มีข้าว 7 สายพันธุ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร โดย 3 พันธุ์ รอการรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว ได้แก่ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม พันธุ์หอมสยาม 2 และพันธุ์ข้าวเหนียวน่าน 59 นอกนั้นจะเป็นพันธุ์หอมชลสิทธิ์ 2 พันธุ์ไบโอเทค 1 พันธุ์หอมนาคา และพันธุ์ไรซ์เบอรี่ 2

นอกจากนี้ สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการวิจัยข้าวผลผลิตสูงในห้องปฏิบัติการอีก 25 สายพันธุ์ โดยเป็นการผสมพันธุ์ระหว่างหลายสายพันธุ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประชากรลูกผสมใหม่ที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมและมีลักษณะที่ดีขึ้นกว่าพ่อแม่พันธุ์เดิม ซึ่งในระดับห้องปฏิบัติการนี้ สามารถทำผลผลิตได้สูงถึง 2.2 ตัน/ไร่ ขณะเดียวกัน ก็มีเชื้อพันธุกรรมข้าวกว่า 700 สายพันธุ์ ที่จะจำไปพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต

ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า สวทช. จะพัฒนานวัตกรรมการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่นาน้ำฝน นาชลประทาน จะมีน้ำหรือไม่มีน้ำ ข้าวก็สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ด้วยตัวของมันเอง 

เปิดประตูสู่ข้าวพันธุ์ใหม่

 

 

ดร.มีชัย อธิบายว่า ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวสามารถพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นแบรนด์ยอดนิยมของทั้งคนไทยและต่างประเทศ โดยข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม มีคุณภาพการหุงต้มคล้ายขาวดอกมะลิ 105 ต้านทานต่อโรคไหม้ และปรับตัวได้ดีในสภาวะน้ำน้อย และให้ผลผลิตมากว่าข้าวดอกมะลิ 2.1 เท่า (ผลผลิตเฉลี่ย 797 กก.ข้าวเปลือก/ไร่) ขณะที่ พันธุ์หอมสยาม 2 มีความพรีเมียมมากขึ้น เพราะคุณภาพข้าวสุกมีกลิ่นหอม นุ่ม คล้ายข้าวขาวดอกมะลิ 105 มากที่สุด โดยมีพันธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างแป้งใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ถึง 99% มีกอตั้ง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย และทนต่อน้ำท่วมฉับพลันได้ดี สามารถอยู่ในน้ำได้นานตั้งแต่ 7 วัน ถึง 1 เดือน (ขึ้นอยู่กับแสงแดด) ให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวหอมมะลิ 1.5 เท่า  (ผลผลิตเฉลี่ย 660 กก.ข้าวเปลือก/ไร่)

 

 

 

นอกจากนี้ ยังมีข้าวเจ้าพันธุ์หอมชลสิทธ์ 2 (ข้าวนาปรัง) ที่มีความหอมใกล้เคียงข้าวหอมมะลิ 96% มีพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างแป้งใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ 92% ปลูกง่าย ต้านทานโรคครบ โดยได้ทดลองนำร่องปลูกแบบข้าวคาร์บอนต่ำด้วยวิธีเปียกสลับแห้งในพื้นที่เกษตรกร จ.พิจิตร พบว่าให้ผลผลิตสูงถึง 1.5 ตันข้าวเปลือก/ไร่

"ถึงกระนั้นก็ตาม การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ เหล่านี้ ยังเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ผมจึงอยากเสนอไปยังภาครัฐว่า ถ้าเราไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องพันธุกรรมเป็นทางเลือก เราก็จะจำกัดอยู่แค่ข้าวหอมมะลิซึ่งมีอายุมากว่า 50 ปีแล้ว ผลผลิตก็ได้สูงสุดแค่ 430 กก.ข้าวเปลือก/ไร่ เราควรจะเพิ่มทางเลือกของข้าวหอมที่มีคุณภาพดีเยี่ยม และให้ผลผลิตสูงกว่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการแข่งขันในตลาดโลก ผู้ส่งออก และรายได้ของเกษตรกร"  

ส่วนข้าวเหนียวพันธุ์ น่าน 59 ก็เป็นทางเลือกใหม่ที่มีลักษณะการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวเหนียวพันธุ์ กข6

ข้าวเหนียวหอม ลำต้นเตี้ย ไม่หักล้มง่าย สามารถใช้เครื่องจักรกลในการเก็บเกี่ยวได้ ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้งแบบกว้าง และให้ผลผลิต 700 กก./ไร่

 

 

ขณะเดียวกัน ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญปรับปรุงพันธุ์ข้าวระดับแนวหน้าของประเทศ ก็เรียกร้องให้มีการส่งเสริมการผลิตและการตลาดพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ รวมถึงการปลดล็อกกฎหมายที่เป็นข้อจำกัดในการพัฒนางานวิจัยสมัยใหม่

"ผมจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ให้มีการสร้างแบรนด์ข้าวพันธุ์ใหม่ เช่น ข้าวหอมสยาม และข้าวหอมสยาม 2 เพื่อสร้างการรับรู้และให้เป็นที่ยอมรับทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค โรงสี และผู้ส่งออก ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสตลาดข้าวหอมไทย สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และรายได้เฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น"

ปัจจุบัน ไทยส่งออกข้าวปีละ 7.5-8 ล้านตัน โดยเป็นข้าวขาว 5% สัดส่วนสูงที่สุด 58% ข้าวหอมมะลิ 15% ที่เหลือเป็นข้าวเหนียว ข้าวกล้อง และข้าวนึ่ง 

 

กับดักความก้าวหน้าทางการวิจัย

 

ในการบรรยาย หัวข้อ "Breeding beyond boudaries" ดร.อภิชาติ บอกว่า การปรับปรุงพันธุ์อยู่ภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ พรบ. กักกันพืช พรบ. พันธุ์พืช 2518 และ พรบ. คุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งทำให้นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทย ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากการถูกกักกันไม่ให้นำพันธุกรรมข้าว (germplasm) เข้ามาได้ง่ายๆ และมีขั้นตอนการขออนุญาตที่ล่าช้า

ภาครัฐควรแก้ไข พรบ. พันธุ์พืชใหม่ ให้มีการคุ้มครองพืชอนุพันธุ์ (Essential-derived variety: EDV) เพราะเดี๋ยวนี้ มีการปรับปรุงพันธุ์แบบพิเศษโดยใช้เทคโนโลยีสูง ที่เรียกว่า Genome Editing แต่กฎหมายของไทยยังไม่ครอบคลุม ซึ่งถือเป็นกับดักที่สำคัญของความก้าวหน้าในการทำวิจัยพันธุ์พืช

นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดระยะเวลาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่เพียงแค่ 12 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการคุ้มครองที่สั้นที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีการคุ้มครองถึง 20 ปี 

ขณะที่เรื่องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ UPOV91 (อนุสัญญาระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นเรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่) ก็ยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกว้างถึงผลดีผลเสีย โดยอาเซียนมี 2 ประเทศที่เข้าร่วม ได้แก่ เวียดนาม และสิงคโปร์ ส่วนมาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้แสดงความจำนงที่จะเข้าร่วมอนุสัญญานี้

 

ABOUT THE AUTHOR
L. Patt

L. Patt

ALL POSTS