ทางรอดทะเลไทย นักวิจัยทำสำเร็จเพาะเนื้อเยื่อหญ้าทะเลแห่งแรกของโลก
กว่า 10 ปี ที่คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาวิจัยหญ้าทะเลอย่างจริงจัง เพื่อหาวิธีในการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล ในที่สุด หน่วยวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อน ก็ค้นพบการต่อสู้แนวใหม่ โดยประสบความสำเร็จจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหญ้าคาทะเลจากห้องปฏิบัติการ ที่เกาะหมาก จ.ตราด ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของโลก และเป็นความหวังในการฟื้นฟูและขยายแหล่งหญ้าทะเล อันเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศทะเลไทยในอนาคต
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหัวหน้าหน่วยวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อน โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “หญ้าคาทะเลมีความสำคัญสุดๆ ต่อระบบนิเวศทางทะเล และที่ตายเยอะๆ เพราะโลกร้อนก็พันธุ์นี่แหละ ฉะนั้น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงทางรอดของทะเลไทยในตอนนี้ หากปลูกเมล็ดจากต้นพันธุ์ในแหล่งธรรมชาติอย่างเดียวก็ไม่มีทางได้หรอก เพราะต้นในทะเลตายหมดจะหาเมล็ดมาจากไหน”

คณะประมง ร่วมกับ บางจาก คอร์ปอเรชั่น ริเริ่มโครงการ Blue Carbon ที่เกาะหมาก เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หญ้าทะเลแถวนี้เข้าสู่จุดเปลี่ยน โดยหญ้าทะเลที่อยู่มาไม่รู้กี่สิบปี หายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งลมแรงผิดปกติทำให้ทรายมากลบทับ ทั้งน้ำที่ร้อนจัดจนพุ่งขึ้นระดับออนเซน (ที่ตื้นที่ตรงหญ้าอยู่ 40 องศา) ทั้งน้ำลดต่ำแบบหาสาเหตุไม่เจอ หญ้าไหม้แห้งผาก โดยช่วงปี 2565-2566 หญ้าทะเลหายวูบ 80-90% พอถึงปี 2567-2568 เหลือแต่ตอ และเหลือเพียงไม่กี่ตอ และคงยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว
ทั้งนี้ บางจาก ได้ส่งมอบห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหญ้าทะเล เกาะหมาก ให้แก่ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปิดศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลต้านโลกร้อน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของหญ้าทะเล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ซึ่งไม่เพียงเป็นการรักษาระบบนิเวศ แต่ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนชั้นเยี่ยมได้อีกด้วย โดยแลปแห่งนี้สามารถผลิตหญ้าคาทะเลได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ต้นต่อปี

นอกจากแลปที่เกาะหมากแล้ว คณะประมงยังมีการวิจัยทดลองการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหญ้าทะเลหลายชนิด เช่น ญ้าชะเงาใบยาว และหญ้าใบมะกรูด ที่สถานีวิจัยคลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะเดียวกัน บางจากและคณะประมง ก็ได้สนับสนุนงบประมาณและความรู้ทางวิชาการแก่ชาวบ้านเกาะหมาก ในจัดตั้งศูนย์เพาะหญ้าทะเล ที่ อบต.เกาะหมาก ซึ่งผลิตได้มากกว่า 500 ต้นต่อปี

ปลูกยังไงให้ได้ผล
อ.ธรณ์ บอกว่า อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจกับ tipping point และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา ต้องศึกษา ต้องรู้ว่า แต่ละที่เจอไม่เหมือนกัน ประเมินผล แยกพื้นที่ตามลำดับความรุนแรง เพื่อที่เราจะได้ไม่ทำโครงการผลาญงบ
อย่างที่สอง เมื่อเรารู้แล้ว เราเจาะจงพื้นที่ ใช้เทคนิควิธีใหม่ๆ เพื่อรักษาบางจุดไว้ให้ได้ เผื่ออนาคตจะมีหวัง
อย่างที่สาม เราต้องพยายามทำให้คนทั่วไปเข้าใจสถานการณ์ของโลก รู้จัก tipping point รู้ว่าบางอย่างกำลังกู่ไม่กลับ เราต้องเร่งลดโลกร้อนทุกทาง เพราะบางอย่างพังพินาศแบบถาวร และกำลังตามกันไปเหมือนโดมิโน
อย่างที่สี่ จุดกำเนิดแห่งการสู้โลกร้อนด้วยวิธีใหม่ เราต้องสู้ tipping point ด้วย changing point เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหญ้าทะเลที่เกาะหมากที่ถือเป็นจุดกำเนิดของการต่อสู้แนวใหม่ ที่คนเกาะหมากร่วมกับหลายฝ่ายทำขึ้นมา

อ.ธรณ์ เคยเล่าว่า หญ้าคาทะเล เป็นหญ้าที่อายุยืนยาวมาก บางแห่งอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ข้อดีคืออึดทน ปลูกแล้วถ้ารอดจะอยู่ไปอีกยาว ข้อเสียคือหากตายเยอะๆ เพราะโลกร้อน โอกาสฟื้นมาเป็นระบบนิเวศระดับเดียวกับของเดิม ต้องใช้เวลามหาศาลแค่ไหนนั้นตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เคยเห็นที่ไหนฟื้นมาเท่าเดิมหรือแม้แต่จะใกล้เคียงเดิมเลยสักแห่ง

หน่วยวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อนจะพยายามพัฒนาเทคนิควิธีการต่อไป ไม่ยอมหยุดง่ายๆ ภายใต้ความสนับสนุนของพันธมิตร อย่าง มาม่า บางจาก สำนักงานวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. และ ปตท.สผ. เพราะโลกร้อนแรงขึ้นทุกปี ระบบนิเวศในทะเลกำลังล่มสลาย เราหยุดไม่ได้ ไม่งั้นทะเลแย่ คนทะเลก็แย่ ทุกอย่างจะแย่ไปหมด
ทีมวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อน ตระหนักดีว่า ต้องหาหนทางฟื้นฟูหญ้าทะเลให้มากขึ้น เพราะยังไงก็ต้องเจอกับโลกร้อนขึ้นแน่ๆ ซึ่งต้องอาศัยงบประมาณสนับสนุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในประเทศไทยพบหญ้าทะเลตามชายฝั่งทะเลในพื้นที่ 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล โดยมีหญ้าทะเล 13 ชนิด เช่น หญ้าชะเงาใบมน หญ้าชะเงาใบฟันเลื่อย หญ้าคาทะเล หญ้ากุยช่ายเข็ม หญ้ากุยช่ายทะเล หญ้าตะกานน้ำเค็ม และหญ้าต้นหอมทะเล เป็นต้น
