HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
นักวิจัยจุฬาฯ ค้นพบวิธีรอด! 'เทคนิคผสมเทียม' สร้างปะการังทนร้อนสู้วิกฤตโลกเดือด
by L. Patt
4 พ.ค. 2568, 19:21
  281 views

นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ต่างรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ปะการังฟื้นฟู ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติคงตายแน่  เมื่อเราต้องเจอกับสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น อุณหภูมิน้ำทะเลก็สูงขึ้น และยังคาดหวังไม่ได้ว่า โลกจะใช้เวลาในการปรับสมดุลอีกนานแค่ไหน ในที่สุด นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็แก้โจทย์ได้สำเร็จด้วย "เทคนิคผสมเทียม" ขยายพันธุ์ปะการังสู้โลกร้อน หลังจากศึกษาทดลองเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ปะการังหลายรุ่น ที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี มาตั้งแต่ปี 2548 

ทีมวิจัย จุฬาฯ เห็นผลสำเร็จจากการผสมเทียมครั้งแรกเมื่อปี 2566 หลังจากลูกปะการังที่เพาะในโรงเพาะเลี้ยง ซึ่งมีอุณหภูมิสูง 34 องศาเซลเซียส (น้ำทะเลปกติมีอุณหภูมิ 30-32 องศาเซลเซียส) เป็นเวลา 2 ปี ถูกปล่อยลงทะเล โดยพบว่ามีการเติบโตและกลายเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่สามารถสืบพันธุ์เหมือนปะการังตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าปะการังสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในภาวะโลกร้อนได้ดี เมื่อปะการังถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่แรกเกิด 

ขณะนี้ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ พยายามขยายพันธุ์ปะการังด้วยเทคนิคผสมเทียม ซึ่งเป็นการเลียนแบบการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติของปะการัง

ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ อธิบายกระบวนการผสมเทียมว่า นักวิจัยจะลงเก็บเซลล์สืบพันธุ์ ทั้งไข่และสเปิร์มของปะการังในคืนเดือนเพ็ญ ซึ่งเป็นช่วงที่ปะการังทั่วท้องทะเลพร้อมผสมพันธุ์ โดยการปล่อยสเปิร์มและไข่ออกมาพร้อมกัน แล้วนำเซลล์สืบพันธุ์เหล่านี้มาผสมพันธุ์ในบ่อเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นตัวอ่อนปะการัง แล้วจึงเตรียมวัสดุคืออิฐมอญ เพื่อให้ตัวอ่อนปะการังลงเกาะและเติบโตในโรงเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะนำปะการังเหล่านี้กลับลงสู่ทะเลให้เติบโตอีก 3 ปี เมื่อปะการังอายุ 5 ปี ปะการังก็จะพร้อมออกไข่ครั้งแรกได้ วิธีนี้ทำให้ปะการังมีโอกาสรอดและเติบโตสูงขึ้น

"ค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์ปะการังด้วยเทคนิคผสมเทียมและดูแลในโรงเพาะตลอด 2 ปีอาจมีมูลค่าค่อนข้างสูง ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัวอ่อนปะการัง 1 ตัว เมื่อเทียบกับการหักปักชำปะการัง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปะการัง 1 ต้น แต่เมื่อดูอัตราการรอดตายจากการฟอกขาวแล้ว ก็ถือว่าคุ้มแก่การลงทุน เพราะเราจะได้ปะการังพันธุ์ใหม่ที่ผ่านการเรียนรู้ และทนต่อน้ำทะเลที่อุณหภูมิสูงขึ้นจากสภาวะโลกร้อนได้"

โดยธรรมชาติปะการังขยายพันธุ์ 2 วิธีคือ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ จากไข่และสเปิร์มออกมาผสมกันในน้ำในช่วงคืนวันเพ็ญ ซึ่งมีโอกาสรอดเติบโตเป็นปะการังเพียง 0.001% เท่านั้น (ทั้งถูกสัตว์น้ำกิน และไม่ปฏิสนธิ) ส่วนอีกวิธีคือ ปะการังที่หักออกมาจากปะการังเดิม ถ้ามาตกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะสามารถเจริญเติบโตเป็นกลุ่มปะการังใหม่ได้ การขยายพันธุ์แบบนี้ทำให้ปะการังมีโอกาสรอด 50% แต่ความหลากหลายของสายพันธุ์จะต่ำ 

แต่ทั้ง 2 แบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ยิ่งในสภาวะโลกร้อน การผสมพันธุ์แบบอาศัยเพศยิ่งลดลงไปมาก ถ้าเราปล่อยให้ปะการังฟื้นฟูขยายพันธุ์ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ปะการังอาจเติบโตทดแทนปะการังที่ตายจากภาวะปะการังฟอกขาวไม่ทัน และเสี่ยงสูญพันธุ์ในอีกไม่ช้า

อย่างไรก็ตาม การขยายพันธุ์ของปะการังในธรรมชาติก็ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในทะเลที่เอื้ออำนวยเท่านั้น เช่น อุณหภูมิ คืนพระจันทร์เต็มดวง และการไหลของกระแสน้ำ โดยปะการังจะสืบพันธุ์เพียงไม่กี่ครั้งต่อปี ขณะที่ภาวะโลกร้อนก็ทำให้ปะการังไม่ปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ตามฤดูกาล จึงเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปะการังในอนาคต

อนุรักษ์พันธุ์ปะการัง

นอกจากการขยายพันธุ์ปะการังที่ทนอึดกับโลกร้อน ทีมวิจัย จุฬาฯ ยังได้ร่วมมือทีมวิจัยไต้หวัน (Dr. Chiahsin Lin) ทดลองนำ “เทคโนโลยีการแช่เยือกแข็งเซลล์สืบพันธุ์ปะการัง” ที่เก็บจากท้องทะเลเพื่ออนุรักษ์ปะการังในอนาคต

ดร.สุชนา บอกว่า “ปะการังทุกชนิดล้วนมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล ดังนั้น การอนุรักษ์ปะการังที่ดี คือ การช่วยให้ปะการังทุกชนิดมีโอกาสสืบพันธุ์และเติบโตได้ดี การเก็บเซลล์สืบพันธุ์ปะการังในวันนี้ จึงจำเป็นต้องเก็บให้หลากหลายสายพันธุ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะนำมาใช้ในอนาคตเมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมปะการังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” 

ปัจจุบัน ทีมวิจัยไทยประสบความสำเร็จในการแช่เยือกแข็งสเปิร์มแล้ว ส่วนการแช่เยือกแข็งไข่ยังอยู่ระหว่างทดลอง โดยหวังว่านี่อาจเป็นหนึ่งทางรอดในการอนุรักษ์ปะการังให้คงอยู่ในสภาวะโลกร้อนนี้

การฟื้นฟูปะการังไทย

เรื่องปะการังฟอกขาว ปะการังตาย กำลังมาแรง เพราะเกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในระดับโลกเมื่อปีที่ผ่านมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ประเทศไทยมีพื้นที่แนวปะการังทั้งหมด 149,182 ไร่ แบ่งพื้นที่สำรวจจำนวน 336 สถานี โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 176 สถานี และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 160 สถานี ขณะนี้ (ณ เมษายน 2568) ได้สำรวจสถานภาพปะการังไปแล้วเกือบ 50% โดยพบสภาพปะการังที่สมบูรณ์ดี - สมบูรณ์ดีมาก 53% ปะการังสมบูรณ์ปานกลาง 23% และสภาพเสียหาย - เสียหายมาก: 24%

ทั้งนี้ กรมทะเล วางแผนปฏิบัติงานฟื้นฟูปะการัง ปี 2568 โดยเพิ่มพื้นที่ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง 7 จังหวัด ในพื้นที่ทะเลฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวม 12 ไร่ ปลูกฟื้นฟูปะการังในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี พังงา และภูเก็ต รวม 24 ไร่ และดำเนินการอนุบาลเพาะพันธุ์ปะการัง จำนวน 60,000 โคโลนี 

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า ปะการังฟอกขาวเป็นเหมือนปะการังป่วย มีโอกาสทั้งตายทั้งรอด ปัจจัยสำคัญคือ อุณหภูมิน้ำและแสงแดด หากอยู่ตื้นมาก น้ำลงแล้วโผล่พ้นน้ำ โดนแดดจัด น้ำที่เหลือน้อยก็ร้อนจัด โอกาสตายย่อมเยอะกว่าพวกที่อยู่ลึกลงไป แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การหมุนเวียนของน้ำ ชนิดของปะการัง รวมไปถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศตรงบริเวณนั้นด้วย

"แน่นอนว่าเราต้องเจอเอลนีโญอีกหลายครั้ง การรักษาระบบนิเวศให้เข้มแข็ง ก็เหมือนการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง พร้อมรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ไม่ให้อาหารปลา ลดขยะทะเล ลดมลพิษ ลดผลกระทบตะกอนจากชายฝั่ง รักษาฉลาม ปลานกแก้ว และสัตว์อื่นๆ ที่สำคัญ นั่นคือ การเสริมพลังให้ระบบนิเวศของเราไว้ เพื่อให้พร้อมรับมือกับปะการังฟอกขาวครั้งหน้าและครั้งต่อไป ในยามที่โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ" 

องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ โนอา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) เน้นย้ำว่า แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าแนวปะการังจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเลแค่ประมาณ 1% ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด แต่ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย อีกทั้งยังมีประชากรกว่า 500 ล้านคนบนโลกที่ต้องอาศัยพึ่งพาประโยชน์จากแนวปะการัง มีประมาณการว่ามูลค่าที่ได้จากแนวปะการังทั่วโลกนั้นสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมาจากอุตสาหกรรมด้านการประมงและการท่องเที่ยว

#ภาวะโลกร้อน #ท่องเที่ยวยั่งยืน #ปะการังฟอกขาว #ช่วยปะการัง

ABOUT THE AUTHOR
L. Patt

L. Patt

ALL POSTS