HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
“คิดถึงสมเด็จย่า”
by Ohnabelle
20 ต.ค. 2568, 16:17
  131 views

สำหรับคนทั่วไป เมื่ออายุ 80 กว่าๆ ถือว่าเป็นวัยเกษียณที่ควรใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ แต่สำหรับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “สมเด็จย่า” กลับรับสั่งว่า “ฉันจะทำงาน” ซึ่งงานของพระองค์ท่านไม่ได้เป็นงานง่ายๆ เลย เพราะเป็นงาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่ทำเพื่อตัดวงจรยาเสพติดและแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนบนดอยตุง

วันนี้หลังจากที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว 30 ปีพอดี “งาน” ที่ได้ทรงริเริ่มไว้ ยังคงเดินหน้าต่อและขยายขอบเขต มีการพัฒนาไปอย่างกว้างขวางทันกระแสโลก และปัจจุบันก้าวไปสู่การขายคาร์บอนเครดิตให้กับหน่วยงานต่างๆ แล้ว

กว่าจะมาถึงคาร์บอนเครดิต

สมเด็จย่าเสด็จพระราชดำเนินเยือนดอยตุง ในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2530 ขณะนั้น ทรงมีพระชนมายุ 87 พรรษาแล้ว  พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นเขาหัวโล้นมีแต่ดินแดงสุดลูกหูลูกตา  และทรงตระหนักว่ารากเหง้าแห่งปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปลูกและค้าสิ่งเสพติด ไปจนถึงการค้าประเวณี ล้วนเกิดจากความยากจนทั้งสิ้น จึงได้มีพระราชดำริว่า “ฉันจะปลูกป่าดอยตุง” 

จากพระราชดำรินี้ จึงได้มีการสร้างพระตำหนักดอยตุงในปี 2531  ซึ่งท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เล่าว่า พระตำหนักแห่งนี้เป็น “บ้าน” จริงๆ แห่งแรกของ พระองค์ท่าน เพราะแม้ขณะที่ประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ประทับนานที่สุด ก็ยังคงทรงเช่าบ้านเพราะประหยัดกว่าที่จะซื้อหรือสร้างบ้านเอง   พระตำหนักดอยตุงนี้จึงเป็นบ้านที่ปลูกบนพื้นที่ที่ที่เช่าจากกรมป่าไม้โดยต้องมีการขออนุญาตทุก ๆ 30 ปี

การฟื้นฟูป่าและสร้างคุณภาพชีวิตให้คนบนดอยตุงจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เริ่มแรกจากโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และปัจจุบันได้กลายเป็นมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในระยะแรกเป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น  พร้อมกับการปลูกป่าทั้งป่าสนและพรรณไม้ในท้องถิ่นเพื่อให้เกิดผืนป่าที่สมบูรณ์เหมาะสมกับพื้นที่ จนกระทั่งดอยตุงและบริเวณพื้นที่โดยรอบ ได้กลายเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญแห่งหนึ่งและสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้ด้วย

ขยายเครือข่ายคาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด กักเก็บ และดูดซับไว้ได้ ไม่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ  หน่วยงานใดที่ทำกิจกรรมที่ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะได้รับคาร์บอนเครดิต และสามารถขายให้แก่หน่วยงานอื่นได้  สำหรับในประเทศไทย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องคาร์บอนเครดิต และตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเป็นแบบภาคสมัครใจ

จากความสำเร็จในการปลูกป่าและเล็งเห็นศักยภาพของป่าไม้ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดูแลอยู่ มูลนิธิฯ ได้ริเริ่มโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2564  เพื่อเชื่อมโยงชุมชนต้นน้ำเข้ากับหน่วยงานปลายน้ำทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ได้มีโอกาสสนับสนุนกัน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน พื้นที่ป่าในโครงการคาร์บอนเครดิตที่มูลนิธิเป็นผู้ริเริ่มครอบคลุม 253,914 ไร่ รวมถึงป่าชุมชน 267 แห่ง และชุมชนต่างๆ ใน 11 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร อุทัยธานี กระบี่ ยโสธร อำนาจเจริญ น่าน และ ลำปาง

ในปี 2568 นี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ส่งมอบคาร์บอนเครดิต 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าให้แก่องค์กรภาครัฐและเอกชน 7 แห่ง คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) PwC ประเทศไทย

จากเขาหัวโล้นสู่แหล่งผลิตภัณฑ์คุณภาพ

นอกจากการปลูกป่าแล้ว หนึ่งในงานหลักที่สมเด็จย่าทรงริเริ่มเมื่อเสด็จมาประทับที่ดอยตุง คือการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ จะได้ไม่บุกรุกทำลายป่าอีก รวมถึงเป็นการตัดวงจรการปลูกพืชที่นำมาผลิตยาเสพติด โดยการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทน จากนั้นจึงได้ต่อยอดไปอีกหลายด้าน เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ งานหัตถกรรม งานด้านการท่องเที่ยว 

ผลลัพธ์ที่สำคัญอันหนึ่งคือ “ดอยตุง” แบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคมที่มีผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถั่วแมคคาเดเมีย กาแฟสำเร็จรูป ร้านกาแฟ ต้นไม้และเมล็ดพันธุ์ เซรามิก กระดาษสา ผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า เสื้อผ้า แฟชั่น กระเป๋า ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ดอยตุงมาพร้อมคำว่าคุณภาพเสมอ ตามพระราชดำรัสของสมเด็จย่าที่ว่า

“อย่าให้คนซื้อของเราเพราะสงสาร แต่ต้องทำให้ได้มาตรฐานและไม่ขาดทุน”

นอกจากทรงปลูกป่า สมเด็จย่าทรง “ปลูกคน” ไปพร้อมกัน ด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการพัฒนาอาชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์  สอนให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสมดุล ซึ่งเป็นรากของการพัฒนาอย่างยั่งยืน  ด้วยมีพระราชดำริว่า “ช่วยให้เขาช่วยตัวเขาเอง ต้องนึกว่าถ้าไม่มีเราอยู่ตรงนี้ เขาจะอยู่ได้ไหม”

หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตในปี 2538 เมื่อพระชนมายุ 94 พรรษา งานของพระองค์ยังคงดำเนินต่อไป และมีการจัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านตลอดมา เช่นงาน “คิดถึง...สมเด็จย่า” ที่จัดขึ้นต่อเนื่องมา 28 ปีในเดือนตุลาคมอันเป็นช่วงวันคล้ายวันพระราชสมภพ (21 ตุลาคม) ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 125 ของวันคล้ายวันพระราชสมภพ

จากความสำเร็จทั้งในด้านของการปลูกป่าและปลูกคน ทำให้คนและป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล พึ่งพาตัวเองได้ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ “ดอยตุงโมเดล” กลายเป็นต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง และทั้งหมดนี้เกิดจากแรงบันดาลใจจากการ “ปลูกป่า ปลูกคน” ของสมเด็จย่า

 

ABOUT THE AUTHOR
Ohnabelle

Ohnabelle

Work hard, Eat harder ศิษย์เก่าออสเตรเลียแต่วนเวียนกับเรื่องสวิตเซอร์แลนด์

ALL POSTS