ตำนานย่อมสานต่อด้วยตำนาน จากฟรองซัวส์ เดอมาชี ถึงฟรานซิส เคิร์คฌิอัง
สานต่อธุรกิจน้ำหอม House of Dior แบบไม่มีรอยต่อกับดาวเด่นไฟแรงอย่าง ฟรานซิส เคิร์คฌิอัง
หลังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ประจำแผนกน้ำหอมให้แก่ Christian Dior มานานถึง 15 ปี ตำนานแห่งวงการนามฟรองซัวส์ เดอมาชีก็ถึงวาระเกษียณตัวเอง โดยมีดาวเด่นระดับตำนานธุรกิจน้ำหอมนามฟรานซิส เคิร์คฌิอัง (Francis Kurkdjian ) เข้ามารับช่วงต่อ ในขณะเดียวกับที่ยังคงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ MAISON FRANCIS KURKDJIAN แบรนด์น้ำหอมซึ่งเขาร่วมกับมาร์ค ชายาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท LVMH มาตั้งแต่ปี 2017 ควบคู่ไปพร้อมกัน
ในวาระการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โลรองต์ ไคลต์มอง ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหารของ PARFUMS CHRISTIAN DIOR กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า “ฟรานซิส เคิร์คฌิอัง เป็นนักออกแบบ-ผู้ปรุงน้ำหอมหัวสร้างสรรค์ และยังเป็นศิลปินไฟแรงผู้ทุ่มเทพลังทางการสร้างสรรค์ทั้งหมดของตน ตลอดจนใช้ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญแขนงต่างๆ และความเป็นมืออาชีพของเขาให้แก่แผนกน้ำหอมของ DIOR เพื่อออกแบบ และพัฒนาน้ำหอมที่จะครองหัวใจคนรักน้ำหอมทั่วโลกต่อไปในอนาคต ฟรานซิสจะสรรค์สร้างผลงานของเขาขึ้นจากมรดกศิลป์เหนือชั้นในศาสตร์แห่งน้ำหอมอันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1947 บนรากฐานของการใช้ดอกไม้คุณภาพพิเศษ ควบคู่ไปกับความกล้าที่จะสร้างผลงานใหม่ๆ ที่ท้าทายต่อแนวนิยมดั้งเดิม”
แน่นอนในวงการน้ำหอม ไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก ฟรานซิส เคิร์คฌิอัง ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์แก่กล้าเกินตัวอัน ส่งผลให้เขาสร้างชื่อจนเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจความงามระดับสากลด้วยวัยเพียง 24 ปีจากผลงานการออกแบบ LE MALE น้ำหอมสำหรับผู้ชายกลิ่นแรกของแบรนด์ JEAN-PAUL GAULTIER ความสำเร็จอันล้นหลามจากน้ำหอมกลิ่นนี้ ปูเส้นทางยาวไกลให้เขาก้าวเดินรุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในฐานะศิลปินไฟแรง และ “สุคนธกร” หรือนักปรุงน้ำหอมผู้เปี่ยมทักษะความชำนาญเหนือชั้น
คำจำกัดความใหม่ของน้ำหอมด้วยแบบฉบับเฉพาะตัวของเคิร์คฌิอัง นอกจากจะทำให้เขาได้มีโอกาสร่วมงานออกแบบน้ำหอมให้แก่แบรนด์แฟชัน และเครื่องสำอางต่างๆ มากมายอย่าง Acqua di Parma, Narciso Rodriguez, Elizabeth Arden, Giorgio Armani และ Lancôme แล้ว เขายังเป็นที่ต้องการตัวของอภิมหาเศรษฐีผู้เปี่ยมรสนิยมอันโดดเด่นมากมาย ซึ่งว่าจ้างให้เขาออกแบบ ปรุงน้ำหอมสูตรเฉพาะเสียจนในท้ายที่สุด เขาถึงกับเปิดบูติกรับปรุงน้ำหอมตามสั่ง หรือน้ำหอมเฉพาะบุคคล (BESPOKE FRAGRANCE ATELIER) ขึ้นเมื่อปี 2001 ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนเป็นแบรนด์ของตนเองเมื่อปี 2009 และ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CHRISTIAN DIOR ได้รวบเข้ามาไว้ในกลุ่มบริษัทของตนเมื่อแปดปีให้หลัง
นอกจากผลงานน้ำหอมสร้างชื่อหลายกลิ่น ซึ่งเขาออกแบบให้แก่แบรนด์น้ำหอมชั้นนำระดับโลก อันรวมถึง DIOR กับผลงาน EAU NOIRE และ COLOGNE BLANCHE สำหรับคอลเลคชัน LA COLLECTION PRIVÉE CHRISTIAN DIOR ในปี 2008 นิตยสาร COSMÉTIQUE MAGAZINE ได้ยกย่องให้เขาเป็นสุคนธกรผู้เก่งฉกาจที่สุดของวงการ สมกับที่ผลงานของเขาสามารถกวาดรางวัลระดับสากลมามากมาย เหนืออื่นใด ในปี 2009 เขาได้รับเกียรติบัตร และเหรียญเชิดชูเกียรติระดับอัศวิน KNIGHT OF ARTS AND LETTERS จากกระทรวงวัฒนธรรมแห่งฝรั่งเศส
มุมมองกว้างไกล กับวิสัยทัศน์นวัตกรรมของฟรานซิส เคิร์คฌิอัง นำไปสู่การขยายขอบเขตความเป็นไปได้นานับประการกับการออกแบบน้ำหอม และใช้ประโยชน์จากน้ำหอม เขานำมิติแห่งศิลปะมาใช้ในการสร้างสรรค์น้ำหอม รวมถึงการร่วมงานกับศิลปินผู้โด่งดังจากสาขาต่างๆ อย่างคริสติอัง ริซโซ นักออกแบบท่าเต้น หรือโซฟี กาลล์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้มอบอิสระเต็มที่อย่างไร้ขอบเขตให้เขาออกแบบ L’odeur de l’argent (โลเดอร เดอ ลาร์ชอง) ซึ่งเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นของเงิน หรือธนบัตร
“โลกน้ำหอมของฟราสซิส เคิร์คฌิอัง เต็มไปด้วยขั้วต่างทางความขัดแย้งอย่างมากมายแบบที่ผมชื่นชอบ” โลรองต์ ไคลต์มองกล่าว “สิ่งซึ่งผมชอบในตัวของเขาอีกประการก็คืออิสระทางความคิดเวลาเขาดำเนินการออกแบบ สร้างสรรค์อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม หรือศิลปะที่ใช้น้ำหอมเป็นสื่อ ผมชอบวิธีที่เขาใช้อธิบายถึงผลงานของเขากับงานศิลปะในครั้งหนึ่งที่ว่า ‘ผมต้องการอิสระ ไม่ใช่อิสระที่จะได้ทำอะไรตามใจชอบเพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่เป็นอิสระที่จะได้ทำงานเพื่อประโยชน์ของน้ำหอมกลิ่นนั้นๆ อย่างแท้จริง"
การเดินทางสายสุนทรียศิลป์อันต่อเนื่องของเขา ยังนำไปสู่ผลงานแห่งความสดใหม่ อย่างเช่นงานออกแบบศิลปะจัดวาง โดยใช้กลิ่นหอม รวมถึงการปรุงน้ำหอมสำหรับจัดนิทรรศการแสง-สี-เสียงอันเลื่องชื่อ ได้รับการกล่าวขวัญ และตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกบุคคลที่ได้เห็นผลงานเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความตระการตาของนิทรรศการแสง-สี-เสียง และกลิ่น ซึ่งจัดขึ้นที่กรองด์-ปาเลส์ (GRAND PALAIS) และการติดตั้งกลไกยิงน้ำหอมขึ้นมาแทนน้ำพุในอ่างน้ำพุแห่งพระราชวังแวรซายส์ โบราณสถานอันทรงเอกลักษณ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ HOUSE OF DIOR มาอย่างยาวนาน
ฟรานซิส เคิร์คฌิอังกล่าวเสริมว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาร่วมงานกับ PARFUMS CHRISTIAN DIOR สถาบันความงาม ซึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เต็มไปด้วยเหตุการณ์ และเรื่องราวมากมายจนกลายเป็นมรดกตกทอด สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น เหนืออื่นใดก็คือจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ที่พร้อมเผชิญหน้ากับอนาคต ผมยินดีมากที่จะได้ร่วมแบ่งปันมุมมอง และวิสัยทัศน์ของผมผ่านการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นต่างๆ การได้ทำงานร่วมกับ MAISON DIOR ในขณะเดียวกันก็ยังคงได้สร้างสรรค์ผลงานในแบรนด์ของตัวเองไปพร้อมกันนั้น ถือเป็นอภิสิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ผมได้รับ ผมคงต้องขอขอบคุณต่อแบรนารด์ อารโนลด์ ที่เชื่อมั่นในตัวผม และไว้วางใจให้ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ LVMH รวมถึงโคลด มารติเนซ, สเตฟานี เมอดิออนิ, โลรองต์ ไคลต์มอง และมาร์ค ชายา ที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนผมมาตลอด” นอกจากนั้น ในอินสตาแกรม เขายังเสริมอีกว่า “และที่ต้องขอขอบคุณเป็นการส่วนตัวก็คือ ขอขอบคุณคุณแม่ ซึ่งผมคิดว่าท่านกำลังจับตามองผมลงมาจากเบื้องบน”
ถึงแม้ฟรานซิส เคิร์คฌิอังจะเข้ามาสานต่อการทำงานของฟรองซัวส์ เดอมาชี ผู้ดำรงตำแหน่งนักสร้างสรรค์-ผู้ปรุงน้ำหอมของ DIOR มาตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 กระนั้น ผลงานของนักสร้างสรรค์-ผู้ปรุงน้ำหอมเจ้าของพรสวรรค์เหนือสามัญ ก็จะยังคงอยู่เป็นนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นงานออกโจทย์ท้าทายความสามารถของตนเองอย่างหาญกล้าด้วยการหวนกลับไปนำบรรดาน้ำหอมระดับไอคอนของวงการ และครองตำแหน่งมรดกทางการสร้างสรรค์ของ DIOR อย่าง J’ADORE และ MISS DIOR มาเป็นจุดเริ่มต้นการรังสรรค์ความสดใหม่ พร้อมกันนั้น เขายังออกค้นหาเส้นทางสายใหม่ในโลกแห่งความหอมด้วยการทำงานในส่วนของ LA COLLECTION PRIVÉE CHRISTIAN DIOR ความสำเร็จอย่างสูงสุดของเขายังคงเป็น SAUVAGE ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ระดับโลกนับแต่เริ่มวางจำหน่ายเมื่อปี 2015 และครองตำแหน่งน้ำหอมผู้ชายติดอันดับขายดีอย่างที่สุดของโลก ชาวเมืองกราซโดยกำเนิด ผู้เปี่ยมหัวใจรักในมวลดอกไม้ ทำงานอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะการคัดเลือกแต่ส่วนผสมคุณภาพสูงสุดสำหรับนำมาใช้ผลิตน้ำหอมให้แก่ DIOR อันนำไปสู่การขยายเครือข่ายพันธมิตรคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จากเมืองกราซ ผู้เพาะปลูกไม้ดอกสำหรับทำน้ำหอมให้แก่ DIOR เพียงแบรนด์เดียว
“เขาเป็นผู้ขับเคลื่อนให้ HOUSE OF DIOR ก้าวรุดไปข้างหน้า ทั้งในแง่ของธุรกิจ และชื่อเสียงจากผลงานสร้างสรรค์ ด้วยการหลอมรวมความทันสมัย และความคิดสร้างสรรค์เข้ากับขนบธรรมเนียมอันถือเป็นมรดกของแบรนด์ อย่างที่เราจะเห็นได้จากปรากฏการณ์น้ำหอม SAUVAGE เรารักฟรองซัวส์ และจะรักเขาตลอดไป เพราะเขาคือหนึ่งเดียวที่ไม่มีอาจมีใครเหมือน” โลรองต์ ไคลต์มองกล่าวถึงบุรุษผู้เป็นตำนานแห่งวงการ เจ้าของที่มาของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง NOSE ผลงานการสร้างของอาร์เธอร์ เดอ แกรโซซ็อง และเคลย์ม็องต์ โบแวส์ “ฟรองซัวส์ เดอมาชีจะยังเป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างที่สุดท่ามกลางผู้มีคุณูปการต่อการยกย่องจิตวิญญาณเอกลักษณ์ของ DIOR ร่วมกันสานต่อความฝันของคริสเตียน ดิออร์ให้คงอยู่ตราบนิรันดร์ น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ของเขา คือผลงานล้ำค่าซึ่งจะดำรงอยู่ต่อในทุกยุคสมัย การได้ทำงานร่วมกับเขา ถือเป็นการผจญภัยสุดพิเศษ และผมรู้สึกเป็นอย่างอย่างสูงที่ได้ทำงานร่วมกับเขาทั้งในปารีส และในเมืองกราซ”