แม่ตู๊เที่ยวทะลุลาว
“แม่ตู๊” เป็นคำที่พี่น้องชาวลาวใช้เรียกผู้สูงอายุด้วยความเคารพรัก เท่าที่ผมสังเกต พวกเขาจะออกเสียงคำคำนี้ด้วยสำเนียงที่แฝงด้วยความเอื้อเอ็นดู นั่นยิ่งทำให้คำคำนี้มีความพิเศษมากขึ้น
แม่ตู๊ของผมนั้นคืออาสิ่วและอาตุ๊ยผู้เป็นน้องสาวของคุณพ่อผม อา ๆ ได้ทำหน้าที่ช่วยดูแลผมมาตั้งแต่เกิดอย่างใกล้ชิดเหมือนแม่ของผมอีกคน เราจึงผูกพันกันมาก ๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน อาได้เกษียณอายุจากการทำงานในวัย 65 ปี และการเดินทางท่องเที่ยวของอาก็ดูเหมือนว่าจะเกษียณตามตัวไปด้วยเพราะอาใช้เวลาส่วนมากพักผ่อนที่บ้านอย่างสงบ ดูแลบ้าน อ่านหนังสือ ดูแลต้นไม้ เลี้ยงนก ฯลฯ อันเป็นกิจกรรมของคนวัยเกษียณทั่วไป ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวนั้นได้หายไปจากสาระบบของชีวิตโดยสิ้นเชิง
เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ขณะที่ลมหนาวเริ่มมาเยือน ผมเหลือบตาดูรูปถ่ายต่าง ๆ และกองโปสการ์ดบนโต๊ะที่บ้าน มันเป็นรูปถ่ายของอาทั้งสองคนที่จูงมือกันเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในสมัยสาว ๆ โปสการ์ดจำนวนมากที่ส่งถึงหลานนั้นมาจากที่ต่าง ๆ กัน มีตั้งแต่ประเทศที่เราคุ้นเคยอย่างญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฮ่องกง อินเดีย ศรีลังกา อเมริกา รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในแถบทวีปยุโรป และก็มีอีกหลายประเทศที่แปลกไปกว่านั้น อย่างโมรอคโค เคนย่า บราซิล เปรู แม้กระทั่งปลายติ่งสุดแผ่นดินอเมริกาใต้อย่าง เตียร่า เดล ฟูเอโกในอาร์เจนตินา ฯลฯ ที่ผมเก็บรักษาไว้ทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ทำห้ผมคิดถึงช่วงเวลาเมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมชอบดูรูปและอ่านโปสการ์ดหรือจดหมายที่อาส่งมาจากที่นู่นที่นี่ทั่วโลก สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อผมมากในเวลาต่อมาเพราะผมได้เติบโตมาเป็นคนที่ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเห็นโลก แล้วในวินาทีนั้นผมก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าผมจะชักชวนอาทั้งสองของผมให้ออกเดินทางอีกครั้ง ในวัยที่อาคนหนึ่งอายุ 80 ปี และอีกคนก็ 70 ปี
ในเมื่อคุณกาญจนา พันธุเตชะ หรือป้าแป๋วแห่งเพจ “ป้าแบ็คแพ็ค” ที่ผมชื่นชอบยังคงออกเดินทางในวัยเกษียณได้ อา ๆ ทั้งสองของผมก็ควรจะทำได้เช่นกัน โครงการเที่ยวลาวจึงเกิดขึ้นในวินาทีนั้น
“ไม่ไป ไม่ไป.. อยู่บ้านสบายดีแล้ว ไม่ต้องตะลอน ๆ ไปไหนต่อไหน อาไปเที่ยวมาเยอะแล้วลูก” อาสิ่วและอาตุ๊ยปฏิเสธกันรัว ๆ
“ไปไหนก็คงลำบาก แข้งขาไม่ดีเหมือนก่อน หลานจะเหนื่อยเปล่า ๆ” อาให้เหตุผลที่ไม่ไปไหนเลยมานานแสนนาน
“ไปลาวใกล้ ๆ นี่เองครับ บ้านพี่เมืองน้อง ลองไปกันสักครั้งนะ... นะ...” ผมพยายามยื้อและก็สำเร็จในที่สุด และผมคิดว่านี่จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ผมตั้งใจทำให้อาด้วยเช่นกัน
ผมวางแผนในใจไว้ว่าผมอยากพาท่านไปเห็นสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นไฮไลท์ของลาวให้ได้มากที่สุดเท่าที่สาววัย 70 และ 80 จะไปไหว ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นธรรมชาติ รวมทั้งศิลปะและวัฒนธรรม นอกจากนั้นผมจะลองหยอดความตื่นเต้นผจญภัยลงไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ต่อมอะดรีนาลีนได้ทำงานอีกครั้ง ฮ่า.. ฮ่า... ฮ่า...
ผมเลือกเมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ เป็นเป้าหมายแรกเพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวครบทั้งปราสาท วัด และสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นธรรมชาติ ความจริงการเดินทางไปปากเซนั้นง่ายมาก ๆ เพราะสามารถบินไปลงที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อข้ามแดนที่ด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร แต่ผมคิดว่าผมอยากให้อารู้สึกตื่นเต้นว่าได้ “บิน” ข้ามประเทศอีกครั้ง ผมจึงเลือกบินจากกรุงเทพฯ ไปเวียงจันทน์และบินต่อมาที่ปากเซด้วยสารการบินลาว
“แม่ตู๊... ขอต้อนฮับสู่การบินลาวเจ้า” เสียงแอร์โฮสเตสกล่าวต้อนรับอย่างน่ารัก และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่า “แม่ตู๊”
สายการบินช่วยดูแลแม่ตู๊อย่างดีมาก ๆ ด้วยความที่เป็นผู้อาวุโส คณะเล็ก ๆ ของเราสามคนจึงได้ขึ้นเครื่องก่อนใคร รถเข็นคันเล็ก ๆ ที่เรานำมาด้วยหนึ่งคันได้รับอนุญาตให้เข็นมาจนถึงประตูเครื่องก่อนพับเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย ตลอดเวลาบินราวชั่วโมงกว่า ๆ แอร์โฮสเตสผลัดกันเข้ามาดูแลและชวนคุย
“แม่ตู๊ต้องไปช้า ๆ นะ อย่ารีบร้อน”
“แม่ตู๊ต้องชอบเมืองลาวแน่ ๆ เมืองลาวสวยมาก ๆ เลย”
“อย่าลืมลองกาแฟ ซื้อผ้าซิ่น กระเป๋าสานสวย ๆ นะแม่ตู๊นะ”
ผมนี่ปลื้มมาก ๆ กับการดูแลที่แสนจะน่ารักและทำให้อาผมมีความสุขจนยิ้มตาหยี และคำว่าแม่ตุ๊เลยกลายมาเป็นคำที่ผมใช้เรียกอาไปในทันทีที่ลงจากเครื่อง
เนื่องจากอายังไม่เหนื่อย ในวันแรกผมเลยพาท่านทั้งสองไปเที่ยวปราสาทวัดพูกันก่อนเพื่อน ปราสาทวัดพูเป็นโบราณสถานสำคัญของลาว ที่สร้างถวายพระศิวะตั้งอยู่บนเนินเขาภู หรือเรียกกันว่าภูเก้า (หมายถึงมวยผม) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเก่าจำปาศักดิ์ประมาณ 6 กิโลเมตร ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดลักษณะของปราสาทนั้นเป็นเทวสถานขอมที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยของพระเจ้ามเหนทรวรมันละได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 25 เมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
ตอนแรกผมคิดว่าจะให้อาไปยืนดูปราสาทในระยะไกล ๆ พอมองเห็น เรื่องจะเดินไต่เนินขึ้นเขาลัดเลาะชมปราสาททั้งหลังนั้น ผมไม่ได้คาดหวังไว้เลย แต่...
“ขึ้นไปบนยอดเนินกัน ไปไหว้พระ แล้วมาเดินดูปราสาทให้ทั่วเลยนะ สวยมาก ๆ อาชอบ อาชอบมาก ๆ จ้ะ” อาตุ๊ยส่งเสียงสดใสส่วนอาสิ่วก็พยักหน้าเห็นด้วย ผมคงจะห้ามท่านไม่อยู่เสียแล้ว
วันนั้นเราเดินกันช้า ๆ ค่อย ๆ ไต่ขึ้นลงเนินอย่างระมัดระวัง ต้นลั่นทมหรือจำปาลาวออกดอกขาวสะพรั่งสวยงาม อาผมเลือกดอกสวย ๆ มาจัดช่อบูชาพระและนำมาทัดผม เราเดินไปทั่วโบราณสถานแห่งนี้และถ่ายรูปกันไปหลายรูป ผมเห็นแววตาสนุกสนานของสาววัยเกษียณเต้นระริกกับเปลวแดดยามบ่ายคล้อย
เอ่อ... อาครับระวังหน่อยนะครับ ผมหวังวาพรุ่งนี้แม่ตู๊ของผมจะไม่ปวดแข้งปวดขานะ เพราะเราต้องลุยกันอีกเยอะ
วันต่อมาเป็นวันลุยอีกวันและเป็นวันที่อุทิศให้กับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสำคัญของลาวนั่นคือแก่งหลี่ผี ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นแกรนด์ แคนยอนของลาว ความที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขงจนดูเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายกระจายตัวทั่วไปหมดจึงได้รับการขนานนามว่ามหานทีสี่พันดอน และแม่น้ำโขงบริเวณนี้ก็มีความกว้างถึงสิบกว่ากิโลเมตร เรียกได้ว่าแทบจะเป็นทะเลสาบเลยทีเดียว
การเดินทางช่วงนี้เป็นความตั้งใจของผมที่จะหยอดการผจญภัยลงไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ต่อมอะดรีนาลีนได้ทำงานอย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น การเดินทางไปชมความงามของแก่งหลี่ผีนั้นต้องบุกบั่นกันพอสมควร นั่นคือเราต้องนั่งเรือหางย่าวล่องโขงข้ามจากพื้นดินไปขึ้นเกาะที่บ้านดอนเด็ด ที่นั่นมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างจะรอเราอยู่เพื่อพาเราลุยฝุ่นไปยังท่ารถ จากนั้นก็ต้องขึ้นรถบรรทุกคันเล็กที่ดัดแปลงให้มีที่นั่งห้าตอนและเปิดโล่งโจ้งกระเด้งกระดอนไปตามเนินดินฝ่าฝุ่นคลุ้งไปยังจุดที่ใกล้แก่งหลี่ผีที่สุด ก่อนที่เราจะต้องเดินเท้าผ่านโขดหินและเลียบแก่งไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายทาง
ฟังดูเป็นหลานใจโหดใช่ไหมครับ? ผมเองก็แอบคิดอย่างนั้นเช่นกันเพราะตอนหาข้อมูลเพื่อวางอยู่แผนนั้น ผมก็แอบคิดว่า “นี่เรากำลังจะจับอา ๆ อายุเจ็ดสิบแปดสิบมาทรมานอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” แต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผมในเวลานั้นทำให้ผมมั่นใจว่าโปรแกรมนี้ถูกจริตอาผมมาก ๆ เพราะผมได้ยินแต่เสียงหัวเราะสนุกรอดออกมาจากหน้ากากกันฝุ่นไปตลอดทาง พร้อมกับเสียงใส ๆ ที่บอกหลานว่า “สนุกจังเลย สนุกมาก ๆ วิวก็สวยและเป็นธรรมชาติมาก ๆ” และเมื่อเราไปถึงแก่งหลี่ผีและเห็นภาพอันงดงามปรากฏอยู่เบื้องหน้า อาผมก็ยังไม่หมดแรงเดินไปเดินมาหาจุดชมวิวและให้ผมถ่ายรูปให้ไปหลายรูป ความจริงผมต่างหากที่เริ่มแอบเมื่อยขึ้นมาเสียแล้ว
จากแกรนด์ แคนยอยของลาว ก็ถึงคราวน้ำตกไนแองการ่าของลาวด้วย นั่นคือน้ำตกคอนพะเพ็ง ซึ่งการเดินทางไปที่นี่ก็ต้องนั่งรถบรรทุกคลุกฝุ่นกลับมาต่อด้วยมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างก่อนลงเรือหางยาวข้ามโขงกลับมาบนแผ่นดินอีกครั้ง แน่นอนว่าแม่ตุ๊ของผมยังคงมีเรี่ยวแรงเต็มที่ไม่มีอาการเมื่อยให้เห็น และพอเรานั่งรถต่อไปจนถึงตัวน้ำตกที่กว้างใหญ่และสวยงาม ทั้งสองคนไปยืนชมภาพนั้นเงียบ ๆ อยู่นานก่อนหันมาบอกผมสั้น ๆ ว่า “อาอยากมาเห็นที่นี่มาก ๆ ขอบคุณที่พามานะ” ผมล่ะดีใจมาก ๆ เลย
ผมใช้เวลาช้า ๆ ให้อาได้นั่งพัก เติมพลังกล้วยทอดเจ้าอร่อยริมน้ำตก และบ่ายหน้ากลับเข้าปากเซโดยแวะชมชาวบ้านปีนขึ้นต้นตาล ลองทานน้ำตาลสดที่เพิ่งตัดมาสด ๆ ให้ชื่นใจ เมื่อรถพาพวกเรามาใกล้ถึงปากเซ ผมหันไปดูอา ๆ ที่นั่งด้านหลังก็พบว่าหลับกันไปเรียบร้อย สงสัยใช้พลังไปเยอะ คืนนี้ท่าจะหลับสบายแน่ ๆ ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า...
วันต่อมาเราวางแผนเปลี่ยนเมืองจากปากเซไปยังหลวงพระบาง โดยตอนเช้าผมพาอาไปชมน้ำตกตาดฟานเสียก่อน น้ำตกตาดฟานเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของลาวเช่นกัน จากจุดชมวิวเรามองเห็นสายน้ำสีขาวทิ้งดิ่งจากโขดเขาเขียวชอุ่มลงสู่ส่ายน้ำเบื้องล่างดูสงบงามยิ่งนัก และความที่เมื่อวานผมพาอาไปผจญภัยมาพอสมควร วันนี้ผมเลยเอาใจด้วยการพาไปชมการทอผ้าประเภทต่าง ๆ ที่หมู่บ้านศิลปะวัฒนธรรมซึ่งรวบรวมผ้าทอของพี่น้องชาวเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น การคั่นรายการด้วยการช้อปปิ้งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ และสร้างความหลากหลายให้กับการเดินทางครั้งนี้
เครื่องบินพาเราเดินทางจากปากเซมาถึงหลวงพระบางในตอนค่ำ พร้อมกับอากาศเย็นช่วงเดือนธันวาคมที่พัดพรู ผมคิดว่าจะให้อาได้นอนพักผ่อนโดยไม่ได้ออกไปไหน แต่เสน่ห์ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้เรียกพลังฮึดให้สองสาวมากเสียจนอา ๆ ตัดสินใจออกมาเดินเล่นที่ตลาดค่ำหน้าพระราชวังหลวง
“แต่พรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้ามาก ๆ เลยนะครับ เพราะเรากะจะมาใส่บาตรพระกันตั้งแต่ราว ๆ 6 โมงเช้า” ผมทัดทาน
“ไม่ต้องห่วง... อาสบายมาก ตื่นตีสามตีสี่ประจำ ออก ไปเดินตลาดค่ำกันเหอะ” อาผมบ่ยั่น เอ่อ.... งั้นก็ไปครับไป
ที่ตลาดค่ำมีพ่อค้าแม่ขายนำสินค้ามาวางขายมากมายละลานตา ตอนแรกผมคิดว่าอาผมจะมาเดินกันขำ ๆ สักครึ่งชั่วโมง แล้วก็กลับโรงแรมไปนอนแต่หัวค่ำ ปรากฏว่าผมคิดผิด (อีกแล้ว) ทั้งอาสิ่วและอาตุ๊ยพากันเดินดูผ้าพื้นเมือง ภาพเขียน ของที่ระลึกอันเป็นงานหัตถกรรม กระเป๋าสาน โปสการ์ด หนังสือเก่ามากมาย ทักทายพ่อค้าแม่ขายต่อรองราคากันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงไปจนใกล้สี่ทุ่ม และคนที่ตาจะปิดกลับกลายเป็นผมเสียแทนคราวนี้
วันรุ่งขึ้นเราเดินออกมาจากโรแรมแต่เช้าตรู่เพื่อมาร่วมใส่บาตรกัน วันนี้อาผมแต่งตัวสวยและสวมผ้าสะพักแบบชาวลาวด้วย
“อาตื่นมาเตรียมแต่งตัวตั้งแต่ตีสามแล้วจ้ะ” อาบอกยิ้ม ๆ ตอนตีสามนั้นผมยังหลับไม่รู้สติเลย พลังอาเยอะมาก ๆ
การใส่บาตรจบลงแต่เช้า ขบวนพระสงฆ์มี่เดินเรียงแถวมารับบาตรอย่างสำรวมเป็นภาพประทับใจของเราทุกคน ตอนสายวันนี้ผมจัดโปรแกรมล่องแม่น้ำโขงให้อา โดยเราจะนั่ง “สกายแล็บ” หรือรถมอเตอร์ไซค์พ่วงท้ายคล้าย ๆ รถสองแถวไปที่ท่าเรือเพื่อให้อาได้ลองนั่งพาหนะอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ พอไปถึง ผมก็ต้องตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าอาจะต้องเดินจากตลิ่งสูงลงไปยังท่าที่เรือจอดรออยู่ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวลาวแถวนั้น่ารักมากเมื่อเห็นว่ามีผู้สูงอายุกำลังเดินดุ่มลงไปที่เรือ ต่างพากันมาช่วยประคองแม่ตู๊กันอย่างมีน้ำใจ
สายลมเย็นและทิวทัศน์อันแสนสงบตามทางระหว่างการล่องแม่น้ำโขงช่วยให้อาผมได้พักผ่อน เราไปแวะถ้ำติ่งซึ่งค่อนข้างสูงชันและอาก็ขอสละสิทธิ์นั่งรอผมอยู่บนเรือ ปล่อยให้ผมขึ้นไปเดินสำรวจด้วยตัวเอง ก่อนจะกลับมาและล่องเรือกลับหลวงพระบาง ขาเดินจากท่าเรือขึ้นจากตลิ่งสูงเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับผู้ใหญ่วัย 80 ปี ตอนแรกผมพยายามหาวิธีที่เป็นไปได้ เช่นหาคนมาช่วยอุ้ม หรือหามอาขึ้นไป แต่....
“ไม่ต้องจ้ะ อาไหว ขอเวลาสักครึ่งชั่วโมงก็พอ” อาสิ่วรีบบอก และเราก็ค่อย ๆ เดินไปพักไป ชมวิวไป พอเราขึ้นมาถึงตลิ่งได้ ผมรีบปรบมือกราวใหญ่ให้พลังใจอาทันที เก่งมาก ๆ เก่งมาก ๆ
ช่วงบ่ายเราไปเดินดูพิพิธภัณฑ์ซึ่งเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ไปสักการะพระบางอันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่หอพระบาง ไปวัดเชียงทองที่สวยงาม และชมโรงราชรถและพระบรมโกศที่เคยทรงพระศพพระเจ้ามหาชีวิตพระองค์สุดท้าย เรียกว่าเก็บไฮไลท์ของหลวงพระบางได้เกือบครบ ผมคิดว่าค่ำนี้อาคงจะเหนื่อยและนอนพักที่โรงแรม...แต่
“ไปเดินตลาดค่ำกันอีกนะ สนุก สนุกมาก ๆ จ้ะ” ทั้งสองอาขอเที่ยวต่ออีกนิดก่อนที่เราจะบินไปเวียงจันทร์ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เอ่อ... ได้ ได้ ได้เลยคร้าบอา
เราใช้เวลาอีกสามวันสองคืนที่เวียงจันทน์เพื่อไปเที่ยวสถานที่สำคัญในนครหลวงแห่งนี้ อาสิ่วได้ไปเดินสวดมนต์ที่พระธาตุหลวงสมความตั้งใจ เราสามคนเดินวนรอบพระธาตุสีทองอร่ามพร้อมกับสวดมนต์ไปด้วยกัน ไปเดินดูวัดสำคัญ ๆ อย่างวัดสีสะเกดที่มีศิลปกรรมแบบรัตนโกสินทร์ที่สวยงามมาก ๆ ชมหอพระแก้ว รวมทั้งประตูชัยอันเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองนี้ ผมให้อาเลือกว่าจะเดินทางไปที่ต่าง ๆ ในเวียงจันทน์ด้วยวิธีไหน จะเช่ารถแท็กซี่หรือรถตู้ดี
“อาขอเลือกสกายแล็บแบบหลวงพระบางนะ สนุกดี” นั่นคือคำตอบ และผมก็พบว่าอาผมก็สนุกจริง ๆ แม้ว่าจะต้องปีนขึ้นปีนลงรถกันหลายรอบ ต้องมีการฉุดมือดันบั้นท้ายกันบ้าง แต่ทุกครั้งก็มีแต่เสียงหัวเราะ ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า...
คืนสุดท้ายก่อนจบการเที่ยวทะลุลาวในครั้งนี้ ผมให้แม่ตู๊ของผมเลือกว่าจะไปส่งท้ายกันที่ไหน และอา ๆ ผมก็เลือกไปงานวัดที่จัดขึ้นเล็ก ๆ กลางเมืองเวียงจันทน์ในบรรยากาศแบบงานวัดไทยที่มีซุ้มเกมต่าง ๆ ให้เล่นกันสนุกสนาน แน่นอนว่าสองสาวเล่นปาลูกดอก โยนห่วง และอีกสารพัด หลังจากวืดไปวืดมาอยู่หลายซุ้มจนเราคิดว่าจะต้องกลับโรงแรมกันมือเปล่าเสียแล้ว ที่ซุ้มปาลูกดอกซุ้มสุดท้าย อาผมก็สามารถพิชิตตุ๊กตาตัวใหญ่กลับมาได้สำเร็จ แม่นไม่ใช่เล่นนะเนี่ย ผมเห็นอาถือตุ๊กตาแบบเด็ก ๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มสดใสพร้อมเสียงหัวเราะ ฮ่า.. ฮ่า. ฮ่า....
ปีใหม่นี้ผมคิดว่าผมได้ให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับอาของผม นั่นคือการเดินทางครั้งนี้ ก่อนจบบทความนี้ ผมอยากจะเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านว่าอายุนั้นเป้นเพียงตัวเลขจริง ๆ และในวันที่ตัวเลขวิ่งมาถึงแปดสิบก็อาจมีสาวสิบแปดที่ยังซ่อนอยู่ในร่างนั้น
คงต้องหาวิธีปลุกสาวคนนั้นขึ้นมาให้มีชีวิตชีวาอีกสักครั้ง.... เหมือนแม่ตู๊ที่เที่ยวทะลุลาวในครั้งนี้
สวัสดีปีใหม่ครับ