ริลองเที่ยว เลี้ยวลิลองเว
เลี้ยวไปเที่ยวเมืองลิลองเว ชมเมืองใหม่เมืองเก่า ท่องตลาดสไตล์แอฟริกา
หากดำริจะไปเที่ยวประเทศมาลาวี (Malawi) ผมอยากเสนอให้ลองเลี้ยวมาที่เมืองลิลองเว (Lilongwe) สักหน่อยนะครับ ก่อนอื่นผมขอเริ่มบทความนี้ด้วย “คำเตือน” นะครับ และคำเตือนนี้มีอยู่ด้วยกันสองข้อ ข้อแรกก็คือบทความนี้มีภาพประกอบน้อยมาก ๆ เลยนะครับ ส่วนข้อสองก็คือภาพประกอบหลาย ๆ ภาพจำเป็นจะต้องมีตัวผมปรากฏอยู่ในนั้นด้วยครับ ดังนั้นท่านผู้อ่านต้องอดทนกับหน้ากลม ๆ ของผมสักหน่อยนะครับ
ความจริงผมเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายภาพตัวเองเลยจริงจริ๊งงงง... (เสียงสูง) ผมชอบถ่ายภาพสถานที่หรือผู้คนที่ผมพบปะระหว่างการเดินทางมากกว่า แต่การมาเที่ยวที่นี่มีสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมไม่สามารถปฏบัติตัวเช่นเดิมได้ ทุกอย่างมีสาเหตุครับ ลองตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ
ลิลองเวเป็นเมืองหลวงของประเทศมาลาวี ประเทศเล็ก ๆ ในแถบแอฟริกาตะวันออก เดิมผมไม่ได้ตั้งใจจะแวะลิลองเวเลย แต่ผมจำเป็นต้องเดินทางมาทีนี่เพื่อขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย ผมก็เลยต้องแวะลิลองเวโดยสถานการณ์บังคับ และผมก็เลยตัดสินใจพักค้างที่นี่เสียสองคืนเพราะไหน ๆ ก็มาแล้ว น่าจะหาโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาทำความรู้จักกับเมืองนี้เสียหน่อย
ลิลองเวเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กจิ๋วและเป็นเมืองสองขั้วที่มีลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ขั้วที่หนึ่งนั้นเป็นย่านเมืองใหม่ที่มีถนนกว้างขวาง สะอาดสะอ้านมีต้นไม้ร่มครึ้มเต็มไปด้วยบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ๆ ล้อมรั้วอย่างมิดชิดพร้อมด้วยลวดไฟฟ้า ถ้ามองดี ๆ ก็จะเห็นว่าบ้านหลายหลังจัดอยู่ในระดับคฤหาสน์ที่มีธงชาติของประเทศต่าง ๆ ประดับไว้ด้านหน้าบ่งบอกว่าเป็นทำเนียบของคณะทูตานุทูต หรือไม่ก็บ้านพร้อมสวนสวย ๆ อันเป็นที่พักของนักธุรกิจต่างชาติตลอดจนผู้มีอันจะกินของมาลาวี ย่านนี้จะมีซูเปอร์มาร์เก็ตทันสมัย ร้านอาหารและร้านกาแฟเก๋ ๆ ดีไซน์จัด ๆ ที่มีชาวต่างชาติเป็นลูกค้าหลัก ตลอดจนโรงแรมระดับหลายดาว ยิ่งอากาศในเดือนกรกฎาคมของที่นี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 10 – 20 องศาเซลเซียสเท่านั้นยิ่งทำให้บางทีเผลอ ๆ ก็อาจคิดว่าเรากำลังเดินเล่นอยู่ในยุโรปได้เลย แต่อารมณ์ของย่านนี้เลยไม่เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในทวีปแอฟริกาเลย ไม่สนุก... ไม่สนุก....
ส่วนอีกขั้วหนึ่งนั้นเป็นย่านเมืองเก่าที่อุดมไปด้วยถนนเล็ก ๆ ที่ผุพังขรุขระและฝุ่นฟุ้งกระจาย เจ้าของถนนคือรถตู้และรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งกันขวักไขว่ไร้ระเบียบ แถมยังมีบ้านเป็นบ้านดินล้อมรั้วหญ้าแบบดั้งเดิมอีกมากมาย และประชากรทั้งหมดคือพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวแอฟริกันที่เดินกันขวักไขว่ ย่านนี้แสนจะแอฟริก๊าแอฟริกาและสนุกกว่าย่านแรกเยอะ เรียกว่าถ้าหลับตาจากย่านแรกแล้วมาลืมตาในย่านที่สองก็จะงง ๆ ว่านี่มันเมืองเดียวกันเหรอ???
ด้วยเวลาที่มีจำกัด และอยากริจะสัมผัสบรรยากาศสนุกสนานแบบแอฟริกาทำให้ผมตัดสินใจไปเที่ยวเล่นที่ย่านเมืองเก่า และที่นั่นก็มีตลาดใหญ่ตั้งอยู่ริมถนนมาลังกาลังกา (Malangalanga) ไม่ไกลจากสถานีรถขนส่ง และเป็นตลาดที่หนังสือนำเที่ยวอย่าง Lonely Planet บอกว่าต้องไป...ต้องไป...ต้องไปเพื่อได้เห็นลิลองเวของจริง
เช้าวันนั้นผมก็เลยตัดสินใจจะไปสำรวจตลาดใหญ่ของลิลองเวเสียหน่อย และเมื่อผมได้สอบถามเรื่องการขึ้นรถเมล์เพื่อเดินทางไปยังที่นั่นกับเจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับของโรงแรม เธอทำท่าอึกอักเล็กน้อยและเสนอให้ผมเดินทางไปกับ “กิฟท์” พนักงานขับรถคนหนึ่งของโรงแรมพร้อมกับเสนอให้เช่ารถของโรงแรมไปด้วยในราคาที่พอรับไหว โดยกิฟท์จะทำหน้าที่ทั้งคนขับรถและพาคุณหนูอย่างผมเดินเที่ยวด้วย โดยมีข้อแม้ว่าผมต้องกลับมาก่อนค่ำเพราะเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้วแถวถนนมาลังกาลังกา “อาจเป็นอันตรายได้” โดยเฉพาะคนที่หน้าตี๋ไม่เข้าพวกอย่างผมนี่
“เอาแต่กระเป๋าสตางค์ใส่แค่เงินที่จะเอาไปใช้ เอกสารสำคัญทิ้งไว้ที่โรงแรมทั้งหมด อย่าใส่ของมีค่าไป และยูต้องเดินไปกับกิฟท์ตลอดเวลาเลยนะ อ้อ.... อย่าทำตัวให้เป็นที่สนใจด้วย” เจ้าหน้าที่โรงแรมบอก ซึ่งผมก็แอบคิดว่าเราจะทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจได้ด้วยวิธีอะไรในเมื่อเรามีหน้าตาตี๋ที่แตกต่างขนาดนี้ สงสัยต้องพรางตัวแล้วล่ะ
การตัดสินใจครั้งนั้นนับว่าถูกต้องมาก ๆ เพราะกิฟท์คือคนที่เข้าช่วยกู้สถานการณ์ให้ผมมากมายเลยทีเดียว
ผมขึ้นนั่งรถยนต์โตโยตา ยาริส คันกะทัดรัดของโรงแรมคู่กับกิฟท์และบอกเขาว่าผมไม่ได้ต้องการซื้อของอะไรเลย ผมแค่อยากไปเดินเล่นและไปดูตลาดที่นี่เท่านั้นเพราะผมชอบบรรยากาศของตลาดแอฟริกามาก ๆ และเราจะใช้เวลาเท่าที่สามารถทำได้
ตลาดลิลองเวใหญ่โตมาก ๆ และมีข้าวของขายสารพัดสิ่ง สีสันสดใสตามแบบฉบับแอฟริกัน มีแพะ แกะ ไก่ เป็น ๆ ขายเต็มไปหมด ผักสดและผลไม้สดหลากสีสันวางเรียงรายบนถนนฝุ่นแดง อะไหล่รถยนต์ละเครื่องใช้ไฟฟ้าวางขายเต็มไปหมด ครีมบำรุงผิวจากเกาหลีก็มีและใช้พรีเซนเตอร์สวยขาวแบบสาวเกาหลีเสียด้วย ผู้คนมาจับจ่ายขายของกันครึกครื้น ทุกคนดูเป็นมิตร และดูจะเป็นมิตรกับผมมากกว่าใคร ๆ เพราะแห่กันมาเสนอขายสินค้าให้ผมอย่างอิกเกริกมาก ไม่กี่นาทีผมก็โดนรายล้อมด้วยพ่อค้าแม่ขายหลายสิบชีวิตจนกิฟท์ต้องมาลากผมออกไปและคอยกันไม่ให้ใครมาวุ่นวายจนเกินไป
ส่วนที่กินพื้นที่กว้างใหญ่คือเสื้อผ้าและรองเท้ามือสอง รวมทั้งส่วนที่เป็นวิกผมหลากทรงที่สามารถซื้อแล้วนั่งให้เขาต่อผม ถักผม ติดวิกได้เลย ชาวลิลองเวนี่คงรักสวยรักงามกันไม่เบา
อีกส่วนหนึ่งที่กินพื้นที่กว้างขวางไม่แพ้กันก็คือส่วนที่ขายผ้าพื้นเมืองแอฟริกันสีสด ๆ ลวดลายแนวกราฟฟิกที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ที่ย่านนี้ก็มีขาช้อปเดินกันขวักไขว่มาก ๆ เห็นแล้วน่าตื่นตาตื่นใจกับบบรรยากาศที่แสนจะมีชีวิตชีวา ตลอดเวลาที่ผมเดินท่องตลาดใหญ่ของลิลองเวนั้น ผมเกิดอาการมือสั่นอยากถ่ายรูปมาก ๆ อยากถ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่แพะ แกะ ไก่ แผงผัก กองพริก ซุ้มมะเขือเทศ ร้านดอกไม้ ไปจนร้านต่อผมและสอนแต่งหน้าริมถนน กองอะไหล่รถยนต์ กองกระทะและเครื่องครัว ฯลฯ โอย......ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาน่าสนใจมาก ๆ ....แต่ทุกครั้งที่ผมยกมือถือขึ้นมาเล็ง ก็จะมีมือของกิฟท์มาห้ามพร้อมกับเสียงปรามอย่างสุภาพว่า “อย่าเลย อย่าถ่ายรูปเลย คนที่นี่มีทัศนคติต่อเรื่องนี้ต่างกันมาก บางคนเฉย ๆ บางคนชอบ และมีอีกมากที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เราอยู่ในที่แจ้ง คนเยอะ เราไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยากับเราอย่างไร” แล้วน้องกิฟท์ก็ไม่ยอมให้ผมถ่ายรูปแม้แต่รูปเดียว ถึงแม้ผมจะอธิบายว่าผมจะยิงภาพมุมกว้างไม่เจาะจงใครโดยเฉพาะ แต่เขาก็ไม่ยอม
“อย่าลืมที่พนักงานต้อนรับบอกว่าอย่าทำตัวล่อเป้าไง...” เขาย้ำ
“งั้นถ้าถ่ายรูปโดยมีเราอยู่ในภาพด้วยล่ะ เช่นมีเราไปยืน แล้วยูช่วยถ่ายภาพให้อะไรแบบนี้” ผมพยายามหาทางออก แต่แอบคิดในใจว่าผมจะขอให้กิฟท์ถ่ายบรรยากาศด้านหลังโดยไม่ต้องติดผม ผมแค่ไปทำเป็นไปยืนเฉย ๆ เท่านั้น
“อย่างนั้นดีกว่า แต่ต้องถ่ายติดยูด้วยนะ ห้ามไปยืนเฉย ๆ แล้วบอกไอให้ถ่ายบรรยากาศโดยไม่ติดยูนะ” กิฟท์รู้ทันเสียแล้ว นี่เขามีพลังจิตอ่านใจคนได้หรือเปล่าเนี่ย?
“อ้าว... ทำไมล่ะ? ทำไม่ได้เหรอ?” ผมยังแอบลุ้น
“ไม่ได้นะ.... เพราะถ้ามีใครโวยวายขึ้นมาแล้วเขาจะรี่มาขอดูรูปที่เราเพิ่งถ่ายไปสด ๆ ร้อน ๆ แล้วถ้าเขาเห็นว่าไม่มีรูปเราในกล้องเลย แต่ดันมีรูปคนอื่นแทน เราจะแย่แน่ ๆ” น้องกิฟท์บอกและผมก็รีบลบล้างความคิดนี้ไปทันทีพร้อมกับบอกเขาว่า “โอเค... เรายอมแล้ว”
ตอนนั้นผมเดินมาถึงโซนที่กำลังขายผ้าพื้นเมืองแอฟริกาที่เรียกว่าผ้าชิเตนเจ (Chitenje) พอดี ผมเลยเข้าไปเลือกซื้อมาสองสามผืนเป็นของที่ระลึกจากมาลาวีแล้วผมก็เลยได้โอกาสลองขอถ่ายรูปแม่ค้าเสียเลย
“เอาเลย มา มา มา” แม่ค้าขายผ้าตอบอย่างใจดี
“ไม่เห็นเขากลัวกล้องเลยนี่ ไม่เห็นเขาว่าอะไรด้วยนะ” ผมแอบกระซิบกิฟท์
“ก็ยูซื้อผ้าเขาไปแล้ว ลองยูไม่ซื้อสิ มันจะเป็นหนังคนละม้วนเลยนะ ไอเคยเจอนักท่องเที่ยวโดนแม่ค้าด่าเรื่องแอบถ่ายรูปมาแล้ว แถว ๆ โซนขายผ้าชิเตนเจนี่แหละ” กิฟท์กระซิบกลับ
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังได้รูปตลาดแห่งนี้ติดไม้ติดมือมาบ้าง และผมก็ทำตามสัญญาซินเดอเรลล่านั่นคือเมื่อใกล้ค่ำผมก็รีบขึ้นรถกลับโรงแรมที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองใหม่ที่ต่างจากย่านเมืองเก่าแบบสุดขั้ว
เช้าตรู่อีกวันเป็นวันสุดท้ายของผมในประเทศมาลาวี และผมก็ตัดสินใจไปเที่ยวที่โรงเก็บใบยาสูบที่จะมีการประมูลใบยาสูบ (Tobacco Auction) เกิดขึ้นเป็นประจำแทบทุกวัน และแน่นอนว่าทางโรงแรมก็ได้เลือกให้กิฟท์มาเป็นทั้งขับรถและพี่เลี้ยงผมด้วยเช่นเมื่อวาน
ใบยาสูบจัดเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของมาลาวี รายได้ของประเทศมาลาวีกว่า 60 เปอร์เซนต์นั้นมาจากใบยาสูบ รองลงมาคือชาและกาแฟ ทั้งนี้ใบยาสูบของมาลาวีนั้นขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลก และยาสูบแบรนด์ดัง ๆ ของโลกนั้นล้วนใช้ใบยาสูบจากมาลาวีกันทั้งสิ้น
ก่อนเดินทางมาที่นี่ ผมได้อ่านเกี่ยวกับการประมูลใบยาสูบที่โรงเก็บใบยาสูบกลางเมืองลิลองเวว่าเป็นสถานที่ที่สวยงาม น่าถ่ายรูปมาก ๆ เกษตรกรจะขนใบยาสูบออกมาวางเรียงรายเต็มพื้นที่ ใบยาสูบสีน้ำตาลไม่ว่าเข้มหรืออ่อนล้วนวางกองอยู่บนพื้นไล่เฉดสีตามระยะเวลาการบ่มรวมทั้งคุณภาพของสินค้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีแดงเข้มจะขนใบยาสูบมาวางเรียงรายรอให้ผู้เชี่ยวชาญในเดินไล่ดมไล่ดูเพื่อตรวจสอบคุณภาพใบยาสูบทีละกอง ๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโรงงานที่เป็นอาคารเก่าแก่แสนคลาสสิค ทั้งภาพที่สวยงามและเสียงแข่งขันกันประมูลใบยาสูบล้วนดึงดูดช่างภาพให้มาที่นี่ รวมทั้งผมด้วย เพียงแต่ว่าวันที่ผมจะไปนั้นดันเป็นวันเสาร์ แล้วการประมูลจะยังมีอยู่ไหม?
“มี… ขับรถไปจอดหน้าโรงประมูลใบยาสูบได้เลย วันนี้การประมูลแค่ครึ่งวันเท่านั้น แต่ถือว่ายูโชคดีมาก ๆ นะ ถ้ามาพรุ่งนี้ทุกอย่างจะหยุดหมดเพราะเป็นวันอาทิตย์และทุกคนจะไปโบสถ์กัน” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูเข้า-ออกโรงงานบอกอนุญาตให้กิฟท์ขับรถพาผมเข้ามาได้
ตรงที่จอดรถมีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมา ท่าทางขึงขังมาก ๆ เขาถามว่ามาทำอะไร? ซึ่งเราก็ตอบไปตามความจริง
“ไม่ได้ ไม่มีประมูล ไม่มีอะไรทั้งนั้น วนรถออกไปเลย” เขาพูดห้วน ๆ แบบไม่สนใจ ผมคิดว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดก็ได้
“อ้าว… ก็เจ้าหน้าที่ที่ประตูบอกว่าจะมีการประมูลครึ่งวัน เข้ามาได้ และให้จอดตรงนี้นี่ครับ” ผมอธิบาย
“ไม่ได้ ไม่มีประมูล ไม่มีอะไรทั้งนั้น วนรถออกไปเลย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดห้วน ๆ เหมือนเดิม
“เดี๋ยวนะ เขามาจากเมืองไทย เขาเหลือวันนี้แค่วันเดียว พรุ่งนี้เขาก็กลับแล้ว เจ้าหน้าที่หน้าประตูอนุญาตให้เราเข้ามาแล้วด้วย ยังไงเราก็ถือว่าได้รับอนุญาตแล้วนะ” กิฟท์ผู้เป็นหนุ่มมาลาเวี่ยนตัวสูงใหญ่ ขึงขัง รีบช่วยผมทันที
“ไม่ได้ ไม่มีประมูล ไม่มีอะไรทั้งนั้น วนรถออกไปเลย …เดี๋ยวนี้เลย” ผมได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งที่สาม
“ยังไงตรวจสอบกันหน่อยได้ไหมครับ? ไปถามเจ้าหน้าที่ที่อนุญาตเราให้เข้ามาด้วยกันก็ได้ เขาอยู่ตรงประตูทางเข้า-ออกนี่เอง ไม่เกิน 100 เมตร เนี่ย…เดินไปถามพร้อมกับเราเลย” ผมพยายามอธิบาย
เขาก็ยังพูดแบบเดิม และไม่เปลี่ยนท่าที กิฟท์เลิกพูดอังกฤษและเริ่มพูดภาษาถิ่นกับเจ้าหน้าที่คนนี้ ขณะที่ผมพยายามหาตัวช่วย และผมก็เห็นคนงานอยู่ตรงประตูทางเข้าออกอาคารโรงประมูล พวกเขากำลังขนกระสอบใบยาสูบ และประตูก็เปิดอยู่ ผมเลยส่งสัญญาณกับกิฟท์ว่าเราขึ้นรถกันเหอะ วนไปหน้าประตูโรงประมูลเลยละกัน
เราสองคนขึ้นรถ และกิฟท์ก็วนรถออกมาจากชายผู้นั้นไปทางประตูโรงประมูลทันที เมื่อถึงหน้าอาคาร เราก็ลงจากรถเพื่อเดินไปดูที่ประตู เราก็เห็นประตูก็เปิดอยู่มีคนเดินเข้าออก ผมให้กิฟท์ช่วยถามว่าวันนี้มีประมูลไหม และก็มีคนพยักหน้า ผมก็เลยชวนกิฟท์เดินไปทางเข้าอาคารเลย …แต่
เจ้าหน้าที่คนเดิมวิ่งมาแล้วบอกว่า “ผมจะจับคุณในข้อหาบุกรุกส่งตำรวจเดี๋ยวนี้” พร้อมกับเอากระบองออกมาด้วย
ผมชักโมโหเลยโต้กลับไปว่า “จับอะไร? ใครทำผิดกฏหมาย? โรงประมูลใบยาสูบเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสาธารณะที่อนุญาตให้คนทั่วไปมาชมได้ที่ชั้นสอง เรามีสิทธิ์เข้าไปและยืนชมการประมูล จะมาจับใคร? ใครทำผิดกฏหมาย? ใคร? ใคร?”
คนงานที่กำลังขนกระสอบใบยาสูบก็งง มีหลายคนเดินออกมาดู ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ขู่ทุกคนว่าห้ามเข้ามายุ่งไม่เช่นนั้นจะจับทุกคนหมด เล่นเอาทุกคนถอย คนแอฟริกันจะกลัวคนในเครื่องแบบมาก ๆ โดยเฉพาะคนที่มีอาการคลุ้มคลั่งแบบนี้ แต่กิฟท์นี่สุดยอดมาก ๆ เขามายืนกันผมทั้งตัวเลย แล้วก็พยายามอธิบาย จนถึงขั้นเถียงโดยเขาเอาตัวกันผมอยู่ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่แล้วผมก็เริ่มไม่สนที่จะเข้าไปดูประมูลอะไรแล้ว ผมเซ็งมาก ๆ และคิดว่าไอ้เจ้าหน้าที่คนนี้เป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ เขายังขู่ว่าจะจับผมไม่เลิก
“ไปเหอะกิฟท์ ไม่ดูละ ไปเหอะ” ผมเลิก
“แต่ยูกลับพรุ่งนี้นะ มาถึงที่นี่แล้วด้วย” กิฟท์ยอมตายในหน้าที่
“พอ พอ ไปเหอะ ไม่สนุกละ ไปที่อื่นเหอะ” ผมไม่อยากอยู่ละ
ผมหันไปพูดกับตัวแสบว่า “ยูจำไว้นะ ประเทศนี้ทุกคนดีหมด มีคนอย่างยูคนเดียวที่ทำตัวไม่มีเหตุผล ถ้าโรงประมูลปิดและไม่มีการประมูลจริง ๆ ล่ะก็ เราจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เห็นชัด ๆ ว่ามันเปิดอยู่ และมันมีการประมูลด้วย เรื่องนี้ไม่จบที่นี่ เราจะแจ้งรัฐบาล และเรามีพยานมากมายในเหตุการณ์นี้” ผมพูดไปในขณะที่ถอยหลังกลับขึ้นรถไปด้วยนะครับ … เอ่อ ผมก็ไม่อยากให้เขามาจับผมนะครับ ผมก็ไม่อยากติดคุกมาลาวีเหมือนกัน
กิฟท์ขึ้นฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่อง และเปิดกระจกพูดอะไรอีกยาวยืด เสียงดังด้วยภาษาถิ่น เจ้าหน้าที่ตัวแสบก็เถียงไม่หยุดเช่นกัน และเราก็ออกมาจากโรงงาน โดยที่เราแวะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ประตูทางเข้า-ออกว่าเกิดปัญหาที่หน้าอาคาร เขาไม่ให้เราเข้าไป
“เขาจะเอาเงินใช่ไหม?” ผมถามกิฟท์ หมายถึงเจ้าหน้าที่คนนั้น “วันนี้วันเสาร์มีคนน้อย เขารู้ว่าทางโล่ง เขารอให้เรายื่นเงินให้ใช่ไหม?”
“ไม่รู้เลย ไม่เคยเจอไอ้คนนี้เลย บ้ามาก ๆ” กิฟท์บอก ทำหน้าละเหี่ยใจ
ทุกที่มีทั้งคนดี คนเลว คนเพี้ยน และคนบ้าอำนาจได้ทั้งหมดนะครับ ประสบการณ์การเดินทางของผมในทวีปแอฟริกามักจะบอกผมเสมอว่าปัญหามักจะเกิดจากคนในเครื่องแบบแทบทั้งนั้น ตั้งแต่เจ้าหน้าที่สนามบิน ตำรวจ ด่านตรวจ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนพวกนี้มีอาวุธและใช้มันข่มขู่ รีดไถเป็นประจำอย่างที่ผมเจอ ๆ มา และไม่เว้นแม้แต่ประเทศติ๋ม ๆ อย่างมาลาวี
จะอย่างไรก็ตาม ผมชื่นชมกิฟท์มาก เขาสู้ตายสุด ๆ และถ้าผมไม่เซ็งเสียก่อน ผมคิดว่าอาจจะมีมวยก็ได้ และสำหรับผมนั้น เขาคือคนที่ทำให้คำว่า Warm Heart of Africa อันเป็นสมญานามของประเทศมาลาวีนั้นเป็นรูปธรรมโดยแท้จริง
เที่ยงวันนั้น ผมชวนเขาไปทานข้าวโดยผมอาสาเป็นเจ้าภาพ ผมให้กิฟท์เลือกร้านและสั่งเมนูที่เขาอยากทาน
เขาเลือกร้านอาหารอินเดียแสนอร่อยในลิลองเว และสั่งแกงแพะมาทานพร้อมข้าวจานโตสมขนาดตัวของเขา
“ขอบคุณมาก ๆ กิฟท์” ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง และผมก็เขียนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้จัดการชาวอังกฤษของโรงแรมที่ผมพักอยู่ให้ได้รับรู้ และเขาสัญญาว่าเรื่องนี้จะถึงเจ้าหน้าที่รัฐแน่ ๆ และกิฟท์ยินดีจะไปชี้ตัวถึงโรงงานเลย
เวลาสั้น ๆ เพียงสองวันที่เลี้ยวมาลิลองเว เมืองหลวงของมาลาวีนั้นได้ประสบการณ์ที่ผมลืมไม่ลง และคนที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดคือน้องชายชาวมาลาเวียนผู้มีชื่อว่า “กิฟท์” คนนี้นี่เองครับ
ถ้าดำริจะมาเที่ยวมาลาวี ก็อย่าลืมเลี้ยวมาลิลองเวสักวันสองวันนะครับ และขอให้โชคดีกว่าผมนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องการถ่ายภาพหรือการเข้าชมการประมูลใบยาสูบในโรงงานแสนสวย