ซามัว..รักไม่รู้ตัว
บางครั้งเราก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้เราออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้น ๆ สำหรับผมนั้น ซามัว (Samoa) คือความรักที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรักแรกพบก็คงจะไม่ผิดนัก
ผมเป็นคนเกลียดการทำวีซ่ามาก ๆ มันเป็นกระบวนการที่แสนน่าเบื่อ ดังนั้นวันหนึ่งผมลองนั่งกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์เล่น ๆ เพื่อถามอากู๋กูเกิ้ลว่าผู้ถือหนังสือเดินทางไทยนั้นสามารถเดินทางเข้าประเทศใดโดยไม่ต้องมาทำวีซ่งวีซ่าให้วุ่นวาย อากู๋โยนรายชื่อประเทศในโลกนี้มาจำนวนหนึ่งและสายตาผมก็ไปพบกับชื่อประเทศซามัวนี้เข้า
ผมรีบหาข้อมูลเกี่ยวกับซามัวต่อไปอีกและพบว่าประเทศเกาะน้อย ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ไกลแสนไกลถึงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก และใช้เวลาบินชนิดข้ามวันข้ามคืนจนนับชั่วโมงกันไม่ทัน แต่ประโยคที่สะดุดตาสะดุดใจของผมเข้าอย่างจังคือประโยคเชิญชวนที่ว่า “หากต้องการตามหาดินแดนโพลีเชียที่ยังมีลมหายใจ... ซามัวคือคำตอบ”
ภายใต้ประโยคทรงพลังนั้นปรากฏรูปบ่อน้ำธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจีโดยมีบันไดไม้ทอดตัวยาวลงไปยังน้ำสีฟ้าสวยที่รออยู่เบื้องล่าง วินาทีนั้นผมตัดสินใจทันทีว่าผมจะเดินทางไปที่นี่...... เพราะผมหลงรักซามัวไปแล้ว
อีกหลายเดือนต่อมา ในเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ ผมก็มาถึงประเทศเกาะในฝันแห่งนี้ด้วยอาการเจ็ทแล็กอย่างรุนแรง สนามบินฟาเลโอโล (Faleolo International Airport) เป็นสนามบินขนาดจิ๋ว ไม่มีงวงมารับแบบสนามบินใหญ่ ๆ ทันสมัยในประเทศอื่น ๆ เมื่อลงกระไดมาก็จะพบกับป้ายไฟที่เขียนว่า ‘Talofa’ ซึ่งแปลว่า “ยินดีต้อนรับ” รออยู่อย่างอบอุ่นทันที สำหรับกรรมวิธีผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นใช้เวลาสั้นมาก ๆ ไม่ซัก ไม่ถาม เพียงแค่ประทับตราลงหนังสือดินทางโครมเดียวเท่านั้นเป็นอันจบพิธี และข่าวดีสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางไทยก็คือว่านอกจากจะไม่จำเป็นต้องทำวีซ่าแล้ว ยังสามารถพำนักอยู่ในซามัวได้นานถึง 60 วัน
ขณะรอกระเป๋าที่ลำเลียงลงจากเครื่องมาตามสายพานอยู่นั้น มีวงนักร้องนักดนตรีพื้นเมืองมาขับกล่อมเพลงโพลีนีเชี่ยนเพื่อต้อนรับ เสียงประสานของพวกเขาช่างไพเราะเพราะพริ้ง นอกจากช่วยขับไล่ความล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง
ระยะทางจากสนามบินฟาเลโอโลสู่อาเพียนั้นเพียง 40 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางนานเกือบ 1 ชั่วโมง ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบตี 2 รถแท็กซี่พาผมวิ่งฝ่าความมืดมิดของท้องถนนที่ไร้แสงไฟนีออน แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือท้องฟ้าที่สุกใสด้วยแสงกระพริบของดวงดาวนับล้านดวง ความที่รถไม่มีเครื่องปรับอากาศเลยทำให้ผมต้องลดกระจกลง ลมทะเลบริสุทธิ์ที่พุ่งมาปะทะใบหน้านั้นช่วยเรียกความสดชื่นได้ดี มวลอากาศยังฉ่ำด้วยฝนที่เพิ่งซาไปหมาด ๆ ทำให้ไม่ร้อนเหนอะหนะ ผมรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด ช่วงเวลาไม่นานที่เหยียบย่างลงบนดินแดนแปลกใหม่แห่งนี้ ผมรู้สึกว่าผมได้หลบลี้หนีความวุ่นวายที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้สำเร็จแล้วจริง ๆ
อูโปลู (Upolu) นับเป็นเกาะสำคัญของซามัวเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง “อาเพีย” (Apia) เราสามารถใช้เวลาเที่ยวได้สบาย ๆ ในหนึ่งวันเต็ม แต่ผมไม่อยากใช้ชีวิตรีบ ๆ อย่างที่เป็นมาทุกวี่ทุกวัน ผมเลยไปแบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เลยใช้เวลาเที่ยวอูโปลูเสีย 3-4 วัน
ท่องเที่ยวมักจะเริ่มด้วยจากการไปเยี่ยมชมบ้านของ Robert Louis Stevenson นักเขียนชาวสก๊อตผู้ผลิตนิยายเสียงก้องโลกอย่าง The Strange Case of Dr. Jekyll and Mr. Hyde และเป็นผู้ที่เลือกมาใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายจนสิ้นลมอย่างสงบที่ซามัว
Stevenson เป็นผู้ที่ชาวซามัวรักใคร่นับถือเสมือนว่าเขาเป็นชาวซามัวโดยกำเนิดคจนใคร ๆ ก็ต่างขนานนามเขาในภาษาถิ่นว่า Tusitala ซึ่งแปลว่า “นักเล่าเรื่อง” (Storyteller) บ้านของ Stevenson เป็นบ้านไม้หลังใหญ่สวยงามในสถาปัตยกรรมแบบบริติชโคโลเนี่ยลที่สอดแทรกด้วยกลิ่นอายแบบซามัว ที่นี่มีของเก่าที่ทรงคุณค่ามากมายไม่ว่าจะของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างตู้ โต๊ะ เตียง ทีทำจากไม้สลักลายสวย หรือพวกเครื่องแก้ว จาน ชามตามแบบศิลปะของยุโรปในศตวรรษที่ 18 สนามหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่รอบบ้าน หากเดินต่อไปด้านหลัง ก็จะพบสระว่ายน้ำที่เป็นแอ่งน้ำใสใต้น้ำพุตามธรรมชาติ
Stevenson เป็นบุคคลที่มีบทบาทมากในสังคมซามัว เขาเป็นผู้นำพาซามัวไปสู่ความคิดเรื่องอิสรภาพจนเรียกร้องเอกราชได้สำเร็จ ที่ฝังศพของเขาอยู่บนเชิงเขาหลังบ้านนั่นเอง และเป็นที่ ๆ เขาเลือกไว้ด้วยตนเองเพื่อพักผ่อนอย่างสงบชั่วนิจนิรันดร์บนแผ่นดินที่เขารักแห่งนี้
สิ่งที่ผมประหลาดใจมากที่สุดคือในบ้านนี้มีเตาผิงครับ และเป็นเตาผิงตามแบบบ้านเรือนในเมืองหนาวทุกประการ ซามัวเป็นประเทศเขตร้อน อุณหภูมิไม่ต่างจากภาคใต้ของไทย ชาวเกาะใส่โสร่ง เสื้อแทบไม่ใส่ แต่บ้านหลังนี้มีเตาผิงในห้องนั่งเล่นและห้องนอน ผมดูรูปที่ประดับอยู่ตามมุมต่าง ๆ ในบ้านก็พบว่าบรรดารูปถ่ายเหล่านั้นจะปรากฏชายชาวยุโรปที่ใส่เสื้อนอกเสื้อในใส่สูทอย่างเต็มยศ ส่วนผู้หญิงนั้นก็นุ่งกระโปรงสุ่มอย่างอลังการ ขณะที่ชาวเกาะอยู่ในชุดครึ่งท่อน ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะร้อนรุ่มกันขนาดไหน
นอกจากบ้านของ Robert Louis Stevenson แล้ว สิ่งที่น่าสนใจมักจะเป็นการชมธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์อยู่ หากใครชอบน้ำตก ต้องไปที่น้ำตกปาปาปาไปไท (Papapapaitai Water Falls) ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงและใหญ่ที่สุดของซามัว น้ำตกสายยาวสีขาวทิ้งดิ่งลงมาจากยอดเขาที่ปกคลุมด้วยป่าเขียวรกชัฏ มีต้นเฟิร์นต้นใหญ่ ๆ สูงท่วมหัวเรียงรายอยู่มากมายทำให้อดนึกถึงบรรยากาศภาพยนตร์จำพวก Jurassic Park ไม่ได้ เราสามารถชมน้ำตกได้หลายมุม บางแห่งเป็น Rest Area ให้นั่งชิลล์ชิลล์ละเลียดกาแฟพร้อมชื่นชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้
นอกจากน้ำตกแล้วบนเกาะนี้ยังมีธรรมชาติมหัศจรรย์อีกแห่งนั่นคือ โท ซูอา (To Sua) ซึ่งสถานที่นี้นั่นเองคือที่มาของภาพถ่ายแสนสวยที่ทำให้ผมหลงรักซามัวในวินาทีนั้น โท ซูอา เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติที่เกิดจากการยุบตัวของพื้นดิน (Trench) จนเกิดเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ โท ซูอาอยู่ติดริมมหาสมุทรแปซิฟิก น้ำในแอ่งจึงเป็นน้ำเค็ม แต่เป็นน้ำสีสวยออกเขียวปนฟ้า ที่สำคัญคือใสมาก
การจะลงไปว่ายน้ำใน โท ซูอา ต้องอาศัยความสามารถในการปีนป่ายบันไดไม้สูงที่ทอดตัวจากระดับพื้นดินสู่แอ่งน้ำด้านล่าง บันไดไม้นี้ทั้งแคบและชัน ขั้นบันไดเล็กพอให้วางเท้าได้แบบสั่น ๆ ส่วนความลึกนั้นไม่น่าต่ำกว่า 30-40 เมตร หากใครใจกล้าฝ่าด่านกระไดชันและโหดนี้ไปได้ ก็จะได้รับโบนัสชิ้นใหญ่เป็นรางวัลด้วยการแหวกว่ายน้ำทะเลสวยใสสีเทอร์กอยซ์นี้แต่เพียงผู้เดียว
แต่หากอยากว่ายน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตแบบโท ซูอาแล้วล่ะก็ เราสามารถเดินทางต่อไปอีกที่หนึ่งนั่นคือบ่อน้ำที่ถ้ำพีอูลา (Piula Cave Pool) บ่อน้ำนี้ใสและสะอาดมากแต่จะไม่สวยมหัศจรรย์เท่าโท ซูอานะครับ
พีอูลาเป็นบ่อน้ำจืดที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกเช่นกัน ดังนั้นในระหว่างที่ว่ายก็สอดส่ายสายตาดูทะเลสีครามตรงหน้าได้ นอกจากน้ำใส ๆ เย็น ๆ แสนสดชื่นแล้ว ยีงมีปลาตัวโต ๆ มาว่ายโชว์ตัวอยู่ข้าง ๆ ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับว่าเป็นปลาอะไร แต่ตัวใหญ่เอาการ เมื่อเห็นตอนแรกผมก็แอบตกใจ แต่พอว่ายไปว่ายมาแล้วน้องปลาเขาก็ไม่ได้มาทำร้ายเราแต่อย่างใด นอกจากจะทำให้ไม่รู้สึกเหงาแล้วยังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาก ๆ เลยอีกด้วย
สำหรับผู้ที่รักหาดทราย สายลม และท้องทะเลทั้งหลาย ไม่ต้องตกใจว่ามาเที่ยวเกาะทั้งทีทำไมมีแต่น้ำตก บนเกาะอูโปลูมีหาดสวยมากมายอยู่รายรอบเกาะไว้ให้เลือกไปแวะนั่งพักผ่อน หาดที่ผมชอบที่สุดคือหาดลาโลมานู (Lalomanu Beach) ซึ่งเป็นหาดขาวทอดยาวไปไกล ทรายละเอียดนุ่มราวแป้ง ส่วนน้ำทะเลนั้น คือทะเลในฝันของผู้รักทะเลเลยทีเดียวเพราะมันใสเสียยิ่งกว่าใส และอุ่นสบายกำลังดี เรียกได้ว่าผมไม่อยากจะขึ้นจากน้ำทะเลเลย
หาดลาโลมานูเป็นหาดที่เคยถูกคลื่นยักษ์ซึนามิทำลายล้างไปเมื่อปี ค.ศ. 2009 ปัจจุบันนี้ยังสามารถมองเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นซาก รีสอร์ทที่โดนทำลาย หรือร่องรอยการถล่มของคลื่นยักษ์ที่ลึกเข้ามาถึงเชิงเขา แต่ทุกอย่างกำลังฟื้นตัว ทั้งรีสอร์ท บ้านพักและบังกาโลหลากหลายรูปแบบหลากราคากำลังกลับมาทวงคืนพื้นที่บนหาดสวยแห่งนี้
และสำหรับใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศแบบซามัวแท้ ๆ ก็ต้องไปลองค้างคืนในที่พักที่เรียกว่าฟาเล่ (Fale) ซึ่งเป็นกระท่อมมุมจากทรงวงรีเปิดโล่งแบบ 360 องศา นั่งชมทะเลสวยได้ทั้งวี่ทั้งวัน
ฟาเล่แบบนี้มีอยู่แทบทุกหาด เจ้าของฟาเล่มักจะปลูกฟาเล่เป็นกระท่อมติด ๆ กันจำนวนหนึ่ง มีห้องน้ำรวมและร้านอาหารแยกเป็นสัดเป็นส่วนอยู่ไกล ๆ ไม่รบกวนบริเวณที่พัก ที่สำคัญค่าเช่าตกแค่คืนละไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้อยู่ใกล้ทะเลสุด ๆ รับลมทะเลได้ตลอดเวลา สำหรับกลางคืนก็มีแต่ความเงียบสงบด้วยราตรีที่ปราศจากแสงไฟนีออน แต่มีท้องฟ้าผืนใหญ่ของฝั่งซีกโลกใต้พร้อมดวงจันทร์และดวงดาวนับล้านดวงมาอยู่เป็นเพื่อน
อาเพีย (Apia) เป็นเมืองหลวงขนาดน่าเอ็นดู ถ้าหากมาซามัวแล้วไม่ใช้เวลาในอาเพียเอาเสียเลยก็คงพลาดโอกาสชมของดี ๆ ไปไม่น้อย วิธีเที่ยวอาเพียทีดีที่สุดก็คือการ “เดิน” จุดหลัก ๆ ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงคือตลาดซึ่งมีด้วยกันให้ไปเดินเล่นถึง 3 ตลาด ผมชอบตลาดสด (Apia Produce Market) มากที่สุด ตลาดสดอาเพียเป็นอาคารเปิดโล่ง กว้าง มีแค่หลังคาสังกะสีคลุม และเป็นแหล่งรวบรวมของสดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ดอกไม้ พ่อค้าแม่ขายล้วนเป็นมิตรกับนักเดินทางต่างถิ่นอย่างเรา
หากเดินจากตลาดสดเดินเลยมาอีกนิดก็จะเจอตลาดหัตถกรรม (Handicraft Market) ตลาดนี้ต้องตาดีหน่อย เหมาะกับคนช่างเสาะช่างหา ของที่ขายส่วนใหญ่อยู่ในข่ายของที่ระลึกจำพวกกะลามะพร้าวแกะสลัก ไม้แกะสลัก รวมทั้งเปลือกหอยถ้าไม่แกะสลักก็ร้อยเป็นเครื่องประดับ ที่มีแน่นทุกแผงคือผ้าโสร่งที่มัด ย้อม ถัก ทอ หลายลายให้ลองเลือก ผ้าโสร่งแต่ละลายแสดงถึงเผ่าที่มาจากเกาะต่าง ๆ ทั้ง 9 เกาะที่รวมกันเป็นประเทศซามัว นอกจากนี้ลายผ้ายังบอกถึงชนชั้นวรรณะของผู้สวมใส่ สำหรับเราที่มาเยือนในฐานะนักท่องเที่ยว ก็คงเกินปัญญาจะจำได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นจึงเป็นการเลือกโดยอาศัยความชอบตามรสนิยม
อีกตลาดที่พลาดไม่ได้คือตลาดปลา (Fish Market) ที่มาพร้อมกับสัตว์ทะเลหลากหลายชนิดที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และถ้าอยากจะเห็นอารมณ์คึก ๆ ของตลาดปลา ขอกระซิบว่าให้ไปตอนเช้าวันอาทิตย์เมื่อเรือประมงมุ่งหน้ามาถึงฝั่งนะครับ เขาจะลำเลียงปลาทะเลขึ้นชั่ง ขึ้นขายกันอย่างคึกคักมาก
จากตลาดสดเดินมาไม่ไกลก็จะเจอหอนาฬิกา (Clock Tower) ซึ่งตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองมานาน หอนาฬิกานี้ไม่ใหญ่มาก อย่านึกถึง Big Ben ในลอนดอนอะไรเชียวนะครับ เพราะเป็นหอนาฬิกาแบบต่างจังหวัดของเมืองไทยที่เห็นได้ในสมัยก่อน ตรงบริเวณหอนาฬิกาหากเดินต่อไปทางอ่าวอาเพียจะเจอตึกเก่าเป็นอาคารโบราณที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยลที่ยังพอมีให้เห็น ได้กลิ่นอายของอังกฤษและเยอรมันซึ่งเป็นชาติตะวันตกที่เคยมีอิทธิพลเหนือดินแดนแห่งนี้ หลายต่อหลายตึกนั้นแอบสวยจนต้องเหลียวหลังดูซ้ำเลยทีเดียว
ตลอด 1 สัปดาห์ที่อยู่อาเพียและเที่ยวท่องในเกาะอูโปลู สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ยอมพลาดเลยคือการเดินเล่นเลาะไปตามอ่าวอาเพีย (Apia Harbor) ในช่วงเย็นเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก ชาวเมืองจะหอบลูกจูงหลานมาเดินเล่นกันเป็นกลุ่ม ๆ ทางเดินเลียบอ่าวอาเพียนั้นทอดยาวไปไกลถึงสวนสาธารณะและจบลงตรงตลาดปลา การเดินไป-กลับได้ระยะทางเป็นหลายกิโลเมตร ทำให้เราได้สังเกตชีวิตผู้คนหลากหลายที่มาพักผ่อนสบาย ๆ บางคนมาตกปลา บางคนมาเล่นเรือในอ่าว บางวันมีซ้อมพายเรือแคนู ในวันที่โชคดีอาจมีคนมาซ้อมเต้นระบำพื้นเมืองพร้อมร้องประสานเสียงอย่างเพราะพริ้ง อยากจะหยุดดูก็หยุดได้ อยากจะคุยกับใครก็คุย คนซามัวเป็นมิตรและพร้อมจะพูดคุยกับคนแปลกหน้าเสมอ และผมก็ไม่เคยเหงาเลยเพราะมีชาวซามัวมาชวนคุยชวนเดินทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งเจอกันในวินาทีนั้น
เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์จะลับก้อนเมฆ ความสงบบางอย่างจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ทุกคนหยุดทำกิจกรรมที่ทำอยู่ ตาจับจ้องมองแสงสวยสีแสดกับพระอาทิตย์ดวงโตที่ค่อย ๆ ลับท้องฟ้าไปทีละน้อย และเมื่อถึงเวลาค่ำ อาเพียจะเงียบสงบลงทันที เพราะแทบไม่มีแสงสีล่อตาล่อใจให้ค้นหา มีแต่ท้องฟ้าที่ให้แสงจันทร์และแสงดาวสว่างสุกใส
หากอยากจะมาพักผ่อนที่อาเพีย ซามัว ขอแนะนำให้พักที่โรงแรม Aggie Grey’s โรงแรมที่จัดได้ว่าเป็นโรงแรมแห่งแรก ๆ ของประเทศนี้ซึ่งเจ้าของเป็นหญิงชื่อเดียวกับโรงแรม ซึ่งผมแอบเรียกเธอว่า “คุณป้าแอ๊กกี้” ความจริงคุณป้าเป็นบุตรสาวนักเคมีชาวอังกฤษที่เดินทางมาอาศัยที่ซามัวในช่วงยุคอาณานิคม โดยคุณป้าเกิดและเติบโตในประเทศนี้โดยมีแม่เป็นชาวซามัวแท้ ๆ
โรงแรม Aggie Grey’s เป็นหนึ่งในธุรกิจหลากหลายของตระกูล Grey สร้างขึ้นและพัฒนาจากร้านแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Bar) เล็ก ๆ ก่อนจะกลายเป็นร้านอาหารและโรงแรมในที่สุด บรรยากาศโรงแรมเหมือนตึกในนิวออร์ลีนส์ กล่าวคือเป็นอาคาสูงไม่เกิน 3 ชั้น มีระเบียงฉลุลายเหมือนลายขนมปังขิง ภายในมีสระว่ายน้ำเล็ก ๆ ให้แช่และนอนผึ่งแดดอ่านหนังสือเล่มโปรด
โรงแรมนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 และยังคงรักษาบรรยากาศแบบโคโลเนี่ยลได้อย่างดี ทีเด็ดคือทุกคืนวันพุธทางโรงแรมจะจัดงานที่เรียกว่า ฟียาฟีย่า ไนท์ (Fiafia Night) งานนี้เป็นงานเด็ดที่นักท่องเที่ยวตั้งตารอนะครับ และต้องจองที่กันล่วงหน้า เพราะทางโรงแรมจะขายบัตรให้นักท่องเที่ยวจากโรงแรมอื่น ๆ เข้ามาร่วมงานได้ด้วย
ฟียาฟีย่า ไนท์จะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง แขกที่จองบัตรจะมาถึงเพื่อสั่งค็อกเทลจากบาร์จากนั้นไปเลือกนั่งจับจองพื้นที่บริเวณร้านอาหารริมสระ ซึ่งต่อมาก็จะกลายสภาพเป็นเวทีชั่วคราว ใครมาก่อนก็นั่งหน้าใครมาช้าก็นั่งหลัง จากนั้นก็จะเริ่มการแสดงระบำพื้นเมืองของซามัวโดยนักแสดงและนักดนตรีทุกคนล้วนเป็นพนักงานของโรงแรมทั้งหมด เขาอาจจะเป็นพ่อครัว เป็นพนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ หรือพนักงานอะไรก็ตาม แต่ค่ำนี้คืนนี้เขาคือนักแสดงศิลปะประจำชาติ
การแสดงนั้นมีมากมายหลายชุดทั้งระบำแบบนักรบที่แสดงโดยชายล้วน ระบำสวย ๆ งาม ๆ อ่อนช้อยที่แสดงโดยหญิงล้วน มีระบำที่เต้นด้วยกันทั้งชายและหญิง มีทั้งแบบเดี่ยว หมู่ หรือเป็นคู่ ทุกชุดมีการบรรยายที่มาที่ไปให้ฟังเป็นภาษาอังกฤษ เสียงกลอง เสียงกีตาร์ เสียงเคาะจังหวะด้วยกะลามะพร้าว และท่อนไม้สอดประสานกับเสียงร้องประสานเสียงเพลงพื้นเมืองอย่างลงตัว ท่าเต้นมากมายสื่อได้หลากหลายอารมณ์ทำให้การแสดงชั่วโมงกว่า ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วและประทับใจ และก่อนจบรายการในค่ำนี้ ฟียาฟีย่า ไนท์ จะส่งท้ายความประทับใจด้วยระบำไฟอันดุดันและหวาดเสียวของนักแสดงหนุ่ม ๆ ซามัวนับสิบคนที่ชวนกันมาควงพลองไฟในท่าต่าง ๆ มากมายเป็นชุดสุดท้าย
เมื่อระบำไฟจบลงก็ถึงคราวของบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นมื้อใหญ่ที่ล้วนเป็นอาหารพื้นเมืองทั้งคาวหวานให้นักท่องเที่ยวได้ลองกันได้ไม่อั้น คลอด้วยดนตรีและเพลงโพลีนีเชี่ยนพื้นเมืองที่บรรเลงยันดึกจนส่งแขกคนสุดท้ายกลับ
เที่ยวท่องล่องอาเพีย และเกาะอูโปลูอยู่เต็มสัปดาห์ ก็ถึงเวลาข้ามเกาะไปยังเกาะพี่ใหญ่ (The Big Island) ที่มีชื่อว่า เกาะซาวาอิ (Savaii) ด้วยเรือเฟอร์รี่ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ถึง
ซาวาอิเป็นเกาะใหญ่กว่าอูโปลู และเป็นถิ่นฐานที่ตั้งมั่นของชาวซามัวมาก่อน จนภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ และมีธารลาวาไหลอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดอยู่ถึง 5 ปี ประชาชนจึงต้องพายเรืออพยพโยกย้ายตั้งถิ่นฐานที่เกาะอูโปลูแทน ดังนั้นซาวาอิจึงกลายเป็นเกาะที่มีคนน้อย แต่พื้นที่ป่าเขียวรกชัฏครอบคลุมกว้างขวาง และความเป็นธรรมชาติยังมีอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ ถนนหลักเรียกได้ว่ามีเพียงเส้นเดียวคือถนนที่วิ่งรอบเกาะใหญ่ ชุมชนส่วนมากกระจายตัวอยู่ริมทะเล ทิ้งบริเวณกลางเกาะใกล้ภูเขาไฟเอาไว้ให้ธรรมชาติเป็นเจ้าของ
ผมมาข้ามฝั่งมาซาวาอิเพื่อมาอยู่กับธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายพิเศษอะไร และสิ่งที่ได้มาก็คือความสงบที่เกาะแห่งนี้มอบให้ตามที่ตั้งใจ หากจะเที่ยว ก็ไม่มีอะไรดีกว่าการขับรถวนรอบเกาะ แวะดูศูนย์อนุรักษ์เต่าทะเล ได้เห็นเต่าทะเลตัวโต ๆ ว่ายไปมา และเชื่องมากจนสามารถป้อนมะละกอจากมือเราได้ หากอยากจะว่ายน้ำกับเต่า เขาก็ไม่ว่า แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงไปว่ายได้เลย ชุมชนที่กระจายตัวอยู่ริมหาดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยึดมั่นในคริสตศาสนา แต่ละหมู่บ้านจะมีโบสถ์หลังเล็กบ้างใหญ่บ้างเรียงรายกันไปทุกหมู่บ้าน บางโบสถ์ก็สวยเสียจนทึ่ง หาดที่นี่ค่อนข้างสงบ ไม่พลุกพล่าน น้ำทะเลสีฟ้ายังใสและสวยเหมือนอูโปลู จะมีบางหาดที่เป็นหาดสีดำด้วยลาวาของภูเขาไฟ
ตลอดสิบกว่าวันในดินแดนรักแรกพบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อถึงวันกลับ ผมก็แอบอดใจหายไม่ได้ ซามัวยังเป็นดินแดนสวยงามบริสุทธิ์ทั้งธรรมชาติและผู้คน และเป็นดินแดนที่วัฒนธรรมโพลีนีเชี่ยนยังมีลมหายใจอยู่จริง ...แล้วจะไม่หลงรักได้อย่างไร...
STORY BY โลจน์ นันทิวัชรินทร์