ไวน์ใหม่น่าลอง
เรามาออกจากคอมฟอร์ทโซนการดื่มไวน์กันเถอะ
หลายครั้งที่คนเราเวลาที่ต้องเลือกซื้อไวน์ที่จะดื่มก็มักจะสั่งแต่ไวน์เดิมๆที่ตัวเองคุ้นชิน ซึ่งมักหนีไม่พ้นบอร์โดซ์ เบอร์กันดี ออสเตรเลีย หรือชิลี โลกของไวน์ไม่ได้มีแค่นั้นนะ วันนี้เลยอยากแนะนำไวน์จากประเทศหรือเขตการผลิตที่กำลังมาแรงให้ได้รู้จักกัน เผื่อไปร้านอาหารจะได้ลองอะไรแปลกใหม่บ้าง
ญี่ปุ่น
ถ้าจะให้นึกว่าญี่ปุ่นผลิตเครื่องดื่มอะไรดีๆบ้าง ไวน์คงไม่ใช่เครื่องดื่มแรกๆที่คนนึกถึงเพราะคงถูกสาเก วิสกี้หรือแม้แต่เบียร์เย็นๆมาบดบังหมด ก็ไม่น่าแปลกเพราะหลายปีที่แล้วเคยมีโอกาสได้ไปตระเวณชิมไวน์ที่ญี่ปุ่นยังแอบคิดในใจเลยว่าญี่ปุ่นควรมุ่งผลิตสาเกกับวิสกี้ดีๆต่อไปเถิด คงไม่มีหวังทางด้านไวน์ ฉันคิดผิดจริงๆ เพราะเมื่อสองปีที่แล้วกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกรอบและมีโอกาสได้ชิมไวน์แดงตัวหนึ่งแล้วถึงกับเฮ้ย ใช้ได้เลยนะ แต่ไวน์ที่อยากแนะนำครั้งนี้กลับเป็นไวน์ขาวที่ผลิตโดยองุ่นพื้นเมืองพันธุ์ Koshu ซึ่งปลูกที่จังหวัดยามานาชิใกล้ๆภูเขาไฟฟูจิ องุ่นพันธุ์นี้สามารถผลิตไวน์ที่แอลกอฮอล์ไม่สูงมาก รสชาติบางเบาแผงกลิ่นมะนาว แอซิดอตี้สดชื่น คล้ายๆSauvignon Blanc หรือ Chablis แต่กลิ่นบางกว่า เหมาะมากกับอาหารญี่ปุ่นอันละเอียดอ่อนโดยเฉพาะพวกซูชิ หรืออาหารที่รสไม่จัดจ้านมาก ในประเทศไทยฉันเคยชิมไวน์ Koshu ยี่ห้อ Graceนะ ใช้ได้เลยทีเดียว อยากให้ร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรามีไวน์ตัวนี้ไว้ในลิสต์ด้วย จะดีไม่น้อย
ซิซีลี่
พูดถึงอิตาลีแน่นอนแคว้นแรกๆที่นึกถึงคงหนีไม่พ้นเพียดมอนด์และทัสคานีเพราะสองแคว้นนั้นเขาผลิตไวน์ระดับท็อปของประเทศมายาวนาน แต่ตอนนี้อิตาลีมีแคว้นที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในหมู่นักดื่มไวน์นั่นก็คือ ซิซีลี่ ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศ และเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอเรเนียนอีกด้วย จริงอยู่ว่าในสมัยก่อนซิซีลี่เค้าเคยขึ้นชื่อเรื่องการผลิตไวน์แบบbulk หรือไวน์ที่ผลิตปริมาณมากๆขายกันเป็นคอนเทนเนอร์ไม่ต้องมียี่ห้อหรือชื่อแหล่งผลิตอะไร และนอกจากนั้นซิซีลี่ก็ยังเป็นต้นกำเนิดของไวน์มาร์ซาล่าที่เคยโด่งดังในอดีตแต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เวลาได้ยินชื่อมาร์ซาล่าก็มักนึกถึงไวน์ที่นิยมเอามำทำอาหารไปเสียนั่น อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีผู้ผลิตทั้งในและนอกเกาะเล็งเห็นแล้วว่าเกาะซิซีลี่อันกว้างใหญ่นี้มีแตรัว (Terrior) อันหลากหลาย โดยเฉพาะบริเวณภูเขาไฟ Etna ที่มีความสูงตระหง่าน องุ่นจึงถูกปลูกลัดเลาะไปตามไหล่เขาซึ่งก็เสี่ยงกันพอสมควรเพราะไม่รู้ว่าภูเขาไฟจะระเบิดอีกทีเมื่อไหร่ แน่นอนดินบริเวณนั้นเป็นดินภูเขาไฟที่ให้ทั้งแร่ธาตุที่เหมาะสมสำหรับต้นองุ่น และความสูงของภูเขาไฟทำให้ภูมิอากาศบนภูเขามีความหนาวเย็นไม่แพ้แคว้นที่อยู่ทางเหนือของประเทศซึ่งช่วงหน้าหนาวบนภูเขามีหิมะปกคลุมด้วย ไวน์แดงจากที่นี่ผลิตโดยผงุ่นสายพันธุ์ Nerello Mascaleseจึงมีความละเมียดละไม มีแอซิดิตี้ที่สูง และมีความสง่างาม ลักษณะจะออกแนว Pinot Noir หน่อยๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นไวน์จาก Etna อยู่ตามไวน์ลิสต์ร้านอาหารฮิปๆทุกวันนี้
ออสเตรีย
พูดถึงออสเตรีย เราจะนึกถึง The Sound of Music หรือไม่ก็ โมสาร์ท หรืออะไรที่ดูคลาสสิคๆหน่อยๆ โบราณๆนิดๆ แต่ลืมภาพนั้นไปซะเมื่อเราอยากจะเข้าถึงไวน์ออสเตรีย ถึงแม้ว่าออสเตรียจะมีประวัติการผลิตไวน์อันยาวนานแต่ด้วยภาวะสงครามและการล่มสลายของอาณาจักรออสโตร-ฮังการี รวมทั้งเหตุการณ์อื้อฉาวของวงการไวน์ออสเตรียเมื่อสามสิบปีที่แล้วทำให้อุตสาหกรรมไวน์ออสเตรียแทบจะต้องนับหนึ่งกันใหม่ แต่ถึงแม้จะเริ่มช้ากว่าใครเพื่อนแต่การกลับมาของไวน์ออสเตรียในทุกวันนี้เรียกได้ว่าก้าวกระโดดและเปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ออสเตรียเป็นประเทศเล็กๆผลิตไวน์ไม่เน้นปริมาณแต่พูดได้เลยว่าคุณภาพของไวน์เค้านั้นโดยรวมแล้วสูงมากจนเรียกว่าเป็นน้องใหม่มาแรงแห่งทศวรรษ เมื่อห้าปีที่แล้วคงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อองุ่นขาวพันธุ์ Gruner Veltliner จากWachau Kremstal และ Kamptal หรือองุ่นแดงพันธุ์ Blaufrankisch (อ่านว่าบลาวฟรังคิช) ซึ่งเป็นองุ่นที่ฉันกำลังโปรดปรานมากในขณะนี้ เพราะผลิตไวน์ที่มีรสของดบอรี่สีเข้ม ลูกพลัม มีความสโมคกี้เล็กน้อยกับแอซิดิตี้ที่สดชื่น ปัจจุบันองุ่นสองตัวนี้เป็นต่างเป็นขวัญใจซอมเมอลิเย่ร้านอาหารชื่อดังทั้งหลาย เพราะมันผลิตไวน์ที่เป็นมิตรกับอาหารหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอาหารไทยๆเรานี่แหละเพราะวันก่อนได้ไปงานชิมไวน์ออสเตรียโดยผู้ผลิตชื่อ Johannes Trapl ที่ร้าน Funky Lam Kitchen...ทานไวน์ออสเตรียเคล้ากับอาหารเหนือกับลาวก็แอบเข้ากันดีไม่น้อยนะ
อุรุกวัย
อุรุกวัย ประเทศเล็กๆในทวีปอเมริกาใต้ตั้งอยู่ระหว่างพี่ใหญ่ทั้งสองได้แก่อาร์เจนตินาและบราซิล ฉันรู้จักไวน์จากอุรุกวัยได้ไม่นานและพูดเลยว่าพอได้ชิมและเริ่มสนใจไวน์จากอุรุกวัยก็เริ่มศึกษาประเทศนี้และก็เริ่มหลงรักที่นี่ อุรุกวัยเป็นประเทศที่ผลิตไวน์มากเป็นอันดับสี่ของทวีปแต่ก็ถือว่าปริมาณจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับอันดับหนึ่งและสองอย่างอาร์เจนติรากับชิลีแล้ว และไม่น่าแปลกใจที่ชาวเราไม่ค่อยได้เห็นไวน์จากที่นี่เพราะเค้าส่งออกไวน์เพียง 5% ของทั้งหมดเนื่องจากส่วนใหญ่ก็ใช้ดื่มกันในประเทศนั่นแหละ และที่ชอบที่สุดคือรัฐบาลเค้าเล็งเห็นว่าถ้าจะแข่งด้านปริมาณอุรุกวัยคงไม่มีทางสู้เพื่อนบ้านได้ เค้าเลยเน้นมาแข่งด้านคุณภาพดีกว่า ซึ่งหนึ่งในจุดเด่นที่ทางการชูขึ้นมาก็คือความ sustainability และ traceabilityของไวน์เค้า ทราบหรือไม่ว่าประเทศอุรุกวัยอยู่อันดับสามในประเทศที่เป็น environmentally sustainable (รองจากฟินแลนด์และนอร์เวย์) และไวน์ทุกขวดเค้าจะมีโค้ดที่ผู้บริโภคสามารถสแกนและจะได้ทราบถึงข้อมูลของไวนขวดนั้นๆอย่างละเอียดลงไปจนถึงว่าองุ่นปลูกบนดินอะไร องุ่นที่เป็นตัวหลักของอุรุกวัยและเป็นองุ่นที่เขายกให้เป็นองุ่นประจำชาติของประเทศก็คือองุ่นพันธุ์ Tannat องุ่นดำผลิตไวน์สีเข้ม แทนนินหนักแน่นแห่ง Madiran ที่ฝรั่งเศส องุ่นที่ชาวฝรั่งเศสและชาวโลกเองเมินหน้าหนีเพราะความโหดกระด้างของแทนนิน แต่อุรุกวัยอ้าแขนต้อนรับTannat และสามารถนำมาผลิตเป็นไวน์แดงสีเข้มหอมกลิ่นผลไม้ดำตะกูลพลัมและลูกหม่อนได้อย่างน่าทึ่ง (ปรากฎการณ์นี้คล้ายๆ Malbec ที่อาร์เจนติน่า) และที่สำคัญไวน์จากองุ่นTannat เข้ากันได้ดีสุดๆกับสเต็คเนื้อวัวของอุรุกวัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ข่าวว่าเนื้อวัวของที่นี่เด็ดไม่แพ้วัวอาร์เจนติน่าเลยนะ วัวทุกตัวถูกเลี้ยงแบบออร์แกนิค grass-fed และแบนการให้ฮอร์โมน... หลงรักประเทศนี้แล้วล่ะสิ
Story by สริยา กัมปนาทแสนยากร