HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
ทุกคนเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
by อัจฉรา ดีบุญมี
13 พ.ย. 2561, 14:26
  1,184 views

      "ทุกคนเป็นเศรษฐีเงินล้านได้" วานิชธนกิจคนหนึ่งพูดประโยคนี้ขึ้นมาในระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ เป็นคำพูดที่น่าคิดมากในภาวะที่มีคนไทยจำนวนมากฝันที่จะมีเงินล้านแต่เชื่อแน่ว่าพวกเขาคงไม่มีวันทำความฝันให้เป็นจริงได้

        ในความคิดของผู้รู้ท่านนี้คือ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะมีเงินได้เท่าไหร่ พวกเขาต้องซื้อของ และของทุกชิ้นมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย คิดง่ายๆว่า ทีวีเครื่องละ 10,000 บาท ภาษีก็เท่ากับ 700 บาท ถ้าพวกเขามีอายุยืนยาวเท่าอายุเฉลี่ยคนไทยคือมากกว่า 70 ปี และอายุทีวีคือ 5 ปี พวกเขาต้องซื้อทีวีมากกว่า 8 เครื่องในช่วงเวลานั้น เท่ากับเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไป 5,600 บาท ยังไม่นับข้าวของอย่างอื่นเช่นโทรศัพท์ เสื้อผ้า รองเท้า ถ้ารวมรายได้และภาษี ก่อนตายทุกคนก็มีสิทธิที่จะมีเงินล้าน เพียงแต่เงินมันไม่ได้มาอยู่ที่เดียวกันในเวลาพร้อมกัน

        แล้วจะทำอย่างไรให้เราเห็นเงินล้านจริงๆ

        สำหรับคนทำงานกินเงินเดือน การที่จะมีเงินล้านนับว่าง่ายกว่าคนที่มีรายได้รายวันมากนัก เพียงแค่คุณมีวินัยในการใช้เงิน และขยันพอที่จะใช้เวลาว่างทำทุกอย่างที่สร้างรายได้

        วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องวินัยในการใช้จ่าย

        เชื่อว่าเด็กจบใหม่ทุกคนต้องมีเรื่องใช้เงินมากมาย ทุกคนต้องการเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าใหม่ เพื่อใส่ไปทำงาน  บางคนต้องมีของประดับเช่นนาฬิกา สร้อยคอ แหวน ตุ้มหู เมื่อไปทำงานต้องมีการสังสรรค์ ดื่ม เที่ยว เพราะมีหลายคนไม่เคยมีอิสระเช่นนี้เมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย เงินเดือนทำให้ต่อมความอยากทำงานอย่างหนัก

        แต่ก่อนที่ต่อมความอยากจะทำงาน ให้ถามตัวเองเรื่องความสามารถในการหาเงินเสียก่อน แล้วค่อยมาดูว่าถ้าอยากมีเงินเก็บเป็นล้านต้องทำอย่างไร

        ตามกฎหมาย เงินเดือนเริ่มต้นของเด็กจบใหม่ต้องไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท ถ้าได้อัตรานี้โดยไม่มีโบนัส 1 ปี รายได้ก็จะเท่ากับ 180,000 บาท ผู้ที่มีเงินได้สุทธิต่ำกว่า  150,000 บาทต่อปีอยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ รวมที่เราหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ 60,000 บาทเท่ากับว่าคนที่มีรายได้ทั้งปี 210,000 ต่อปีอยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้

        และถ้ารวมหักภาคบังคับสำหรับคนที่มีประกันสังคมคือหักเข้ากองทุนประกันสังคม สูงสุดไม่เกิน 750 บาทต่อเดือนหรือ 9,000 บาทต่อปี ก็เท่ากับว่าคนที่มีรายได้ทั้งปี 219,000 ต่อปีอยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ เงินได้สุทธิของคนที่มีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนจึงเท่ากับ 14,250 บาท

        คราวนี้อยู่ที่คุณจะทำอย่างไรกับเงินจำนวนนี้

        จากสถิติที่เก็บโดย Statista คนไทยโดยเฉลี่ยใช้จ่าย 32% ของการใช้จ่ายทั้งหมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม 16% ในการเดินทาง 13% ในการกินข้าวตามร้านอาหารและค่าห้องโรงแรม 10% กับของใช้ส่วนตัว ประกันชีวิตและอื่นๆ 9% เกี่ยวกับเรื่องบ้านและค่าน้ำค่าไฟ

        สำหรับคนที่ไม่ต้องเช่าบ้าน ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอาหารเครื่องดื่ม และค่าเดินทาง ถ้าคุณใช้จ่ายตามเกณฑ์เฉลี่ยของสถิติข้างต้น อย่างน้อย 48% ของรายได้ของคุณจะหายไปแบบไม่มีวันกลับมา ถ้ารายได้ต่อเดือนของคุณคือ 14,250 บาท คุณจะเหลือเงินประมาณ 7,000 บาท

        ตี๊ต่างว่าคุณอยากได้นาฬิกาใหม่เรือนละ 10,000 บาท คุณคงไม่มีเงินพอไปซื้อได้ในเดือนนั้น คุณอาจต้องเก็บเงินไปสามเดือนเพื่อนาฬิกาเรือนนั้น และเผื่อเงินไว้ใช้จ่ายเรื่องอื่นๆ เรื่องมันจะยากขึ้นถ้าคุณมีบัตรเครดิตและใช้บัตรนั้นรูดซื้อนาฬิกาเพราะมีโปรโมชั่นไม่คิดดอกเบี้ย 4-6 เดือน

        ถ้าคุณคิดว่าคุณจ่ายค่านาฬิกาได้ภายใน 4-6 เดือน และทำได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ควรสังวรณ์ว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตตอนนี้คือ 18% ต่อปี ถ้าคุณมีหนี้ที่ยังจ่ายไม่ได้เมื่อครบกำกนดจำนวน 10,000 บาท ค่าดอกเบี้ยต่อปีคือ 150 บาทต่อเดือนหรือ 1,800 บาทต่อปี มันจะยากขึ้นไปอีกถ้าคุณอยากได้ของชิ้นอื่นๆ เพิ่มในขณะที่คุณยังจ่ายหนี้เก่ายังไม่หมด การจ่ายหนี้ขั้นต่ำคือการที่คุณทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินให้กับบริษัทผู้ออกบัตร

       ถ้าอยากเห็นเงินล้าน คุณควรจำไว้ว่า คุณจะใช้เงินได้ทั้งหมดไม่ได้และจำเป็นต้องเก็บรายได้ส่วนหนึ่งไว้

       เก็บเท่าไหร่ดี ไว้ว่ากันต่อในบทความชิ้นต่อไปนะคะ
      อ่าน ออมเงินเพื่อเงินล้าน คลิก

Story by อัจฉรา ดีบุญมี

ABOUT THE AUTHOR
อัจฉรา ดีบุญมี

อัจฉรา ดีบุญมี

อดีตบรรณาธิการ The Nation ชื่นชอบเรื่องการออม ผู้สูงอายุ

ALL POSTS