มหกรรมแข่งม้าอิล ปาลิโอ....90 วินาทีที่โลกหยุดหมุน
ช่วงกลางหน้าร้อนในเดือนสิงหาคม เมื่ออุณหภูมิในอิตาลีใกล้แตะ 40 องศา ผมบอกลากรุงโรมอันแสนสวยพร้อมกับสะพายเป้ใบใหญ่จับรถไฟไปซีเอนา (Siena) ซึ่งถือเป็นสต็อปแรกของการเดินทางท่องแคว้นทัสกานี
ผมกำลังจะมุ่งหน้าไปชมมหกรรมการแข่งม้าอันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อแสนจะไพเราะเพราะพริ้งว่า “อิล ปาลิโอ” (il Palio) มหกรรมการแข่งม้าที่ใคร ๆ ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพลาดไม่ได้ ชาวอิตาเลียนและชาวยูโรเปียนทั่วทั้งทวีปต่างก็พากันมาชมมหกรรมการแข่งม้านี้กันอย่างเอิกเกริก
ผมจึงจัดการบรรจุอิล ปาลิโอที่ซีเอนาไว้ในโปรแกรมทันที
การเดินทางจากโรมสู่กรอสเซตโต้ (Grosseto) ทุกอย่างยังราบรื่นดี แต่ช่วงจากกรอสเซตโต้สู่ซีเอนานั้น แอร์บนรถไฟก็เกิดอาการติด ๆ ดับ ๆ จนในที่สุดก็ดับมากกว่าติด และเร่งให้อุณหภูมิบนรถไฟให้ร้อนขึ้นราวกับจะเดือด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือกลิ่นตัวของพี่ ๆ น้อง ๆ ป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ ชาวอิตาเลียนที่เรียงรายกำจายอยู่รอบตัวผม เล่นเอาผมถึงกับมึนจนเซลงจากรถไฟ
ถึงแม้จะหนื่อยแทบล้มลงคลาน แต่เมื่อเห็นซีเอนาตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ผมก็ถึงกับอ้าปากค้าง

ซีเอนาเป็นเมืองโบราณสวยงาม ตั้งอยู่บนเขา ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองเก่า และความอลังการได้แผ่ซ่านไปทั่ว ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Medieval ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดีทุกตารางนิ้ว
ถ้าถามว่าเสน่ห์ของซีเอนาอยู่ที่ไหน ผมคิดว่าคงเป็นความมีชีวิตชีวาที่แอบซ่อนอยู่ในหมู่ตึกเก่า ๆ เหล่านั้น รวมทั้งในซอยแคบ ๆ ภายใต้ดวงดวงไฟสีทึม ๆ บนถนนอิฐขรุขระ
ในหน้าร้อนอย่างนี้ ผมแอบรู้สึกว่าซีเอนาไม่ต่างอะไรกับเวทีขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยศิลปินหลากแขนงทุกหย่อมหญ้า เมื่อเราเดินไปไหนก็ไม่แปลกที่จะได้ยินเสียงคนร้องรำทำเพลง
อย่างหญิงสาวแอบซ้อมสีไวโอลินเพลง ‘I Quattro Stragioni’ ของ Vivaldi อยู่มุมตึก ถึงเธอจะเล่นผิดเล่นถูก แต่มันช่างมีเสน่ห์มาก ๆ
ชายหนุ่มที่มาเป่าแซ็กโซโฟนใต้หน้าต่างบ้านแฟนสาวเพื่อรอว่าเธอจะแง้มหน้าต่างมาตอนไหน
อย่าเพิ่งหยุด...อย่าเพิ่งหยุด.... จงเดินไปเรื่อย ๆ คุณอาจเจอผู้หญิงแต่งชุดราตรีมาร้องเพลงเสียงโซปราโนกังวาลก้อง.... ถ้าคุณลองหยุดฟังให้ดี มันอาจเป็นเพลงเด็ดจากอุปรากรเรื่องดังระดับโลก
นี่ไม่นับจิตรกรทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นมากมายที่มาหามุมบันทึกความสวยงามของเมืองซีเอนาเอาไว้ด้วยฝีแปรง และฝีมือของเขา
นอกจากซีเอนาจะทำให้ผมบันเทิงทั้งตาดูและหูฟังแล้ว จมูกของผมก็โดนปรนเปรอด้วยกลิ่นกาแฟอิตาเลียนหอม ๆ ที่ลอยหวล ๆ มาจากร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่มีอย่างดาษดื่น
ที่เมืองโบราณแห่งนี้ยังมีร้านรวงมากมายที่ขายสินค้านานาชนิดที่ล้วนแต่สืบทอดวิทยายุทธ์กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นปู่ย่าตายาย อย่างร้านไส้กรอกร้านใหญ่ (สัญลักษณ์หมูป่าห้อยหน้าร้าน) ที่ทำไส้กรอกสูตรเด็ดแห่งซีเอนามานับร้อย ๆ ปีจนถึงทุกวันนี้
หัวใจของซีเอนาคือจตุรัสกลางเมืองที่เรียกว่า Piazza del Campo ซึ่งชาวซีเอนาพร้อมใจกันเรียกแบบย่อ ๆ ว่า “อิล คัมโป” (Il Campo) จัตุรัสรูปพัดที่ไม่ได้มีดีกรีเพียงสวยที่สุดในอิตาลีเท่านั้น แต่ยีงได้รับยกย่องกันว่าสวยที่สุดในโลกเลยทีเดียว
และที่ลานจตุรัสอันสวยงามแห่งนี้ในไม่กี่วันข้างหน้า มันกำลังจะกลายเป็นสนามแข่งม้าที่เลื่องชื่อที่สุด
ในวันที่ 16 สิงหาคมของทุกปี ซีเอนามีงานแข่งม้าสำคัญระดับชาติที่เรียกว่า อิล ปาลิโอ ขออธิบายสั้น ๆ ละกันนะครับว่า อิล ปาลิโอเป็นการแข่งม้าระหว่างเขตย่อย ๆ ต่าง ๆ ในเมืองซีเอนาซึ่งถือเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นการคารวะแด่พระแม่ Madonna di Provenzano อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวซีเอนาเคารพนับถือ
ซีเอนาเป็นเมืองยุคกลางขนาดไม่ใหญ่ไม่โต แต่มีถึง 17 เขตย่อย และในวันนี้แหละที่ทั้ง 17 เขตย่อยเหล่านี้จะมาร่วมกันแข่งม้า โดยจ๊อกกี้ตัวแทนจากเขตที่ควบม้าเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับแรกจะได้รับสิทธิ์ให้เป็นผู้ทำหน้าที่อัญเชิญพระรูปของพระแม่มาดอนนา ดิ โปรเวนซาโน่ อันศักดิ์สิทธิ์ไปรอบ ๆ เมือง ๆ
และหน้าที่นี้ถือเป็นเกียรติสูงสุดที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันว่าจะมีโอกาสนี้สักครั้ง และเป็นความภูมิใจของเขตนั้น ๆ เช่นกัน
เขตย่อยต่าง ๆ ในเมืองซีเอนานั้นจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น หอยทาก เม่น ยีราฟ เหยี่ยว หอคอย ฯลฯ ว่ากันว่าชาวซีเอนานั้นรักและผูกพันกับเขตที่ตนถือกำเนิดมาก ๆ และความภูมิใจนี้ก็จะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนในวันงานอิล ปาลิโอ เพราะแต่ละคนจะผูกผ้า ถือธง และใส่เสื้อผ้าที่มีสัญลักษณ์ และสีตามเขตของตนออกมาเดินร้องเพลงกันกระหึ่ม
เมื่อพี่ ๆ น้อง ๆ จากแต่ละเขตโคจรมาเจอกันกลางถนนหรือตามจัตุรัสต่าง ๆ พวกเขาก็จะยิ่งรวมตัวร้องเพลงประจำเขตของตนจนดังกึกก้อง นอกจากจะเป็นการประกาศศักดาแล้ว ยังเป็นการข่มขวัญคนจากเขตอื่น ๆ ด้วย บางกลุ่มก็มีกลอง มีแตร ร่วมบรรเลงไปพร้อมกันอย่างสนุกสนาน เรียกว่าประชันกันสุด ๆ

และในวันแข่งม้า อิล ปาลิโอ นั้น บริเวณจัตุรัสจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง เพราะมีการนำดินมาเทและเกลี่ยเพื่อแปลงสภาพลานรอบจัตุรัสจากหินให้กลายเป็นลู่วิ่งดินสำหรับม้า ส่วนตอนกลางคืนก็จะมีการจุดคบไฟบนยอดปราสาทปาลาซโซ ปุบบลิโค (Palazzo Publico) ให้สวยงามอลังการ เมืองทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยธงทิวสีสันสดใส และระฆังในโบสถ์จะดังหง่างเหง่งแบบไม่มีหยุดพักตลอดทั้งวันทั้งคืน
เช้าตรู่ของวันสำคัญ ผมตื่นขึ้นด้วยเสียงอึกทึกของกลองกระหึ่มและเสียงร้องเพลงของชาวเมืองจากเขตต่าง ๆ ผมมองเห็นนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเต็มถนนหนทางไปหมด ผมรีบออกจากโรงแรมและแทรกตัวเข้าไปจับจองหาที่ยืนบริเวณจัตุรัสอิล คัมโป ตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเทียงดี อากาศร้อนได้ใจมาก คิดว่าอุณหภูมิใกล้ ๆ 40 องศา
การมายืนจับจองที่ในบริเวณจตุรัส อิล คัมโป ถือเป็นการวัดใจครั้งสำคัญ เพราะเมื่อเข้ามาที่ตรงกลางจัตุรัสแล้ว ก็จะออกไปไหนแทบไม่ได้ เพราะยากที่จะทวนกระแสคนที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ เป็นร้อยเป็นพัน
ยิ่งตกช่วงบ่าย ๆ ฝูงคนนับหมื่นจะยืนแออัดกันอยู่กันเต็มลานตรงกลางจัตุรัส ล้อมรอบด้วยลานดินซึ่งเตรียมไว้เป็นลู่วิ่งแข่งม้า และในที่สุดเจ้าหน้าที่จะปิดทางเข้า-ออกเพื่อเตรียมการแข่งขัน แล้วเราก็จะยืนเบียดเสียดกันตรงนั้นภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงของทัสกานีในเดือนสิงหาคม
ผมยืนใต้ไอแดดอันระอุ โดยที่รอบ ๆ ตัวผมนั้นเต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวยุโรเปี้ยนที่กำลังดื่มด่ำกับผิวสีแทน หลายคนสลัดคราบเหลือเพียงชุดว่ายน้ำ หนุ่ม ๆ เกือบทั้งหมดถอดเสื้อ ทุกคนดูมีความสุขกับแสงแดดและความร้อน เหลือผมเพียงคนเดียวที่ใส่ชุดหลบแดดคลุมไปทั้งตัวหัวจรดเท้า พร้อมกับสภาพร่อแร่...แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก...ลิ้นห้อยเป็นหมาหอบแดด หน้าดำเมี่ยม แต่ไปไหนไม่ได้
ประมาณห้าโมงเย็น ขณะที่ผมรู้สึกว่าตัวกำลังใกล้สุกได้ที่ ผมก็ได้ยินเสียงแตรกระหึ่ม อิล ปาลิโอได้เริ่มขึ้นแล้ว
ขบวนแห่ธงสัญลักษณ์ของทั้ง 17 เขตค่อย ๆ ทยอยเคลื่อนเข้าสู่ลานแข่งขัน ทุกคนในริ้วขบวนล้วนแต่งตัวแบบยุคกลาง สวมเสื้อคลุม กางเกงรัดรูป และหมวกสีสันสดใส เสียงกลอง เสียงแตร และเสียงเชียร์ โห่ร้องกระหึ่มไม่ขาดระยะ สลับกับระฆังโบสถ์ที่ยังคงดังกังก้องวานตลอดเวลา มีการควงธงและโยนธงแบบโบราณที่หาดูได้ยาก และอีก 2 ชั่วโมงต่อมา ริ้วขบวนทั้งหมดก็สิ้นสุดลงด้วยการแห่รถม้าศึกคันงามที่ประดิษฐานรูปพระแม่มาดอนนา ดิ โปรเวนซาโน่ พร้อมโล่รางวัลเข้ามาในเวลาใกล้ 1 ทุ่ม

แล้วนาทีสำคัญก็มาถึง เมื่อเหล่าม้าแข่งพร้อมจ๊อกกี้ตัวแทนจากเขตต่าง ๆ เข้าประจำที่ ณ จุดปล่อยตัว
ปัง!!!! ทันทีที่สิ้นเสียงกระหึ่มของพลุปล่อยตัว ม้าทั้งหลายก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า ควบแข่งกันอย่างขับเคี่ยว โดยผู้แข่งขันทั้งหมดต้องควบม้ากันทิ้งสิ้น 3 รอบ เสียงคนตะโกนเชียร์ดังกระหึ่มไล่ไปตามทางที่ม้าวิ่ง มันเหมือนเสียงเอคโค่อันศักดิ์สิทธิ์ ธงหลากสีสันโบกโบยอย่างบ้าคลั่ง กระดาษสีโปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า ผู้คนตะโกนเชียร์กันสุดเสียง
ในขณะนั้นภาพ บรรยากาศ แสง สี เสียง ทุกอย่างเร่งเร้าผมมาจากรอบทิศ มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายได้ยาก บางครั้งมันเหมือนกับภาพที่ค่อย ๆ เคลื่อนไปช้า ๆ ราวกับที่ถ่ายภาพแบบ High Speed
เชื่อหรือไม่ว่าการแข่งขันม้านั้น จริง ๆ นั้นใช้เวลาเพียง 90 วินาทีเท่านั้น แต่คนนับหมื่นมาเบียดเสียดกันนับสิบ ๆ ชั่วโมงเพื่อการนี้...นี่คือความงดงามและศักดิ์ศรีของ อิล ปาลิโอ
พอสิ้นสุดการแข่งขันในวันนั้น ผมตัดสินใจเดินตามกระบวนแห่ของผู้ชนะที่อัญเชิญพระรูปของพระแม่มาดอนนา ดิ โปนเวนซาโน่ไปรอบเมือง เสียงระฆังจากโบสถ์ยังดังกังวาน เสียงร้องเพลงและเสียงกลองยังกึกก้องทั่วจัตุรัส อิล คัมโป ผู้คนยังถือธงเดินไปมาด้วยความภูมิใจ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าอิล ปาลิโอ งดงามอย่างไร และทำไมคนทั่วทั้งยุโรปจึงพากันมาที่นี่ มายืนกรำแดด อดน้ำ อั้นปัสสาวะ และทรมานตัวเองสารพัดเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง เพื่อ 90 วินาทีนี้
เพราะมันเป็น 90 วินาที่ที่โลกหยุดหมุน
STORY BY โลจน์ นันทิวัชรินทร์
PHOTO BY Duangduen Dheerakul