ทำไมชุดที่บังคับใส่ จึงกลายเป็นป๊อป คัลเจอร์?
นักเรียนควรใส่เครื่องแบบหรือไม่? คำถามนี้ตอบได้หลายอย่าง
ข้อเสียแน่นอนว่าเด็กไม่ได้แสดงบุคลิกที่แท้จริง ชุดซักรีดยาก สีขาวมอมง่าย และเป็นภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ปกครอง
แต่ชุดนักเรียนก็มีข้อดี ช่วยย้ำสถานะ ทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ว่าเป็นนักเรียน หน้าที่หลักคือเรียนหนังสือ และยังเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ต้องดูแลให้สิทธิพิเศษ เช่น ได้ส่วนลดค่าโดยสารสาธารณะ และค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ไม่ต้องคิดมากตอนเช้า ดูเท่าเทียมเพราะทุกคนแต่งเหมือนกัน
แล้วทำยังไงเด็กถึงจะอยากใส่ชุดนักเรียน อยากไปโรงเรียน...ผู้ใหญ่ก็น่าจะลดข้อบังคับแปลกๆ เช่น ห้ามถุงเท้าพื้นดำ ต้องตัดผมเกรียนติ่งหู ห้ามใช้โบว์สำเร็จรูป อะไรที่จู้จี้จุกจิก บังคับกันเกินไป สมัยใหม่เลิกได้ก็น่าจะปล่อยๆ กันบ้าง สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ชุดนักเรียนกลายเป็นชุดน่ารัก น่าใส่ ให้ใครๆ ก็อยากไปโรงเรียน อย่างที่ญี่ปุ่นทำสำเร็จมาแล้ว...
เมื่อพูดถึง “ชุดนักเรียนญี่ปุ่น” คุณนึกถึงอะไร...คำตอบอาจมีทั้งการ์ตูน เกม กราเวียร์ ไอด้อล มังงะและอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษา เครื่องแบบกะลาสีน่ารักคาวาอี้สุดๆ นี้มีความสำคัญระดับชาติ ถึงกับตั้งพิพิธภัณฑ์ทอมโบว์ไว้เก็บเรื่องชุดนักเรียนโดยเฉพาะ
เด็กญี่ปุ่นเริ่มใส่เครื่องแบบนักเรียนในยุคเมจิ ปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ช่วงเปิดประเทศรับวัฒนธรรมตะวันตก รวมถึงด้านการทหาร สมัยนั้นเด็กๆ ในยุโรปและอเมริกานิยมสวมชุดกะลาสี ตามแบบเจ้าชายน้อยแห่งเวลส์ เด็กชายใช้ชุดคล้ายทหารที่ต่อมากลายเป็นเครื่องแบบสีดำคอตั้งติดกระดุมทอง ส่วนเด็กหญิงใส่กระโปรงกางเกงขาบานแบบญี่ปุ่น เพื่อให้สะดวกในการนั่งเก้าอี้เขียนหนังสือ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกางเกงขาพองแบบบลูมเมอร์ ในช่วงต้นคริสตศตวรรษต่อมา แต่ยไม่ถือเป็นเครื่องแบบ และยังมีเด็กที่ใส่กิโมโนไปเรียนอยู่
พิพิธภัณฑ์ทอมโบว์ที่โอคายาม่าบันทึกไว้ว่า ประมาณปี 1920 มีการใส่ชุดกะลาสีแบบเสื้อกระโปรงยาวติดกันเป็นชิ้นเดียว ในโรงเรียนที่เกียวโต อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องแบบนักเรียนหญิงยุคแรก แต่ดีไซน์นี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
ต้นกำเนิดชุดนักเรียนหญิงกะลาสี น่าจะมาจากมิสเอลิซาเบธ ลีครูใหญ่ชาวอเมริกันของโรงเรียนสตรีคริสเตียนในฟุกุโอกะช่วงปี 1915 ที่แต่งชุดแนวกะลาสีแบบยาวครึ่งน่องได้สวยมาก ทำให้เด็กนักเรียนอยากจะใส่บ้าง ห้องเสื้อโอตะ เวสเทิร์น โคลทธ์ติ้งช้อปจึงตัดเย็บออกมาให้ชั้นเรียนในฤดูใบไม้ผลิ 1922 พร้อมกับหมวกเบเร่ต์ จากนั้น โรงเรียนอื่นๆ ก็ใส่ตาม แล้วชุดเสื้อกระโปรงกะลาสีก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนคริสเตียนในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นต้นแบบชุดนักเรียนหญิงมาจนถึงปัจจุบัน
ระหว่างนั้น โรงงานทอมโบว์ในโอคายาม่าที่ผลิตถุงเท้าทาบิแบบแยกนิ้วมีปัญหายอดขาย เพราะผู้คนเริ่มแต่งตัวแบบตะวันตกมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาผลิตชุดนักเรียน ในยุคนั้น ครอบครัวยังนิยมมีลูก 5-6 คน และรัฐบาลสนับสนุนการศึกษา โรงงานจึงประสบความสำเร็จมาก
ในช่วงสงครามโลก ชุดกะลาสียังคงแพร่หลายทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นปลุกใจเรื่องชาตินิยม (แต่ช่วงผ้าขาดแคลนเด็กนักเรียนจำเป็นต้องใส่ชุดที่ทำจากผ้ากิโมโนเก่า นุ่งกางเกง และใส่ฮู้ดนวมกันสะเก็ดกระสุน)
เมื่อสงครามสงบลง เด็กๆ กลับมาแต่งชุดนักเรียนอีกครั้ง จนถึงยุค 1960 ที่มีการเดินขบวนต่อต้านสงครามและนิยมแนวคิดซ้ายจัด เครื่องแบบกลายเป็นสัญลักษณ์ของการกดข่มทางความคิดสร้างสรรค์และตัวตน คนยุคเบบี้บูมหันไปแต่งกายแบบเพร็ปปี้ด้วยกางเกงชิโนกับสเวตเตอร์ เสื้อกั๊กและเชิร์ต แต่ชุดนักเรียนหญิงกะลาสียังคงอยู่ และเด็กๆ ก็พยายามแสดงความเป็นตัวเองด้วยการตกแต่งเครื่องแบบตามบุคลิก เช่นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 – ต้น 70s เด็กๆ ใช้กรรไกรตัดชายเสื้อให้เป็นเอวลอย แล้วใส่กระโปรงยาวลงมาเกือบถึงข้อเท้า กับรองเท้าคอนเวิร์ส เป็นลุคสาวร้ายแบบหัวหน้าแก๊งค์หญิง
จากนั้น ในยุคทศวรรษที่ 1980 เบบี้บูมเมอร์นำแฟชั่นเพร็ปปี้มาใส่ให้ลูกๆ เด็กเริ่มนิยมสวมแจ็คเก็ตเบลเซอร์ทับชุดนักเรียน เวลาโตเร็วจนชุดปริก็ปกปิดได้ โรงเรียนเริ่มแข่งกันออกแบบชุดเพื่อดึงดูดเด็กและผู้ปกครองให้มาสมัครเข้าเรียน
พอถึงกลางทศวรรษที่ 1990 เพร็ปปี้ก็หลีกทางให้เซ็กซี่ กระโปรงสั้นขึ้น ถุงเท้าขาวยาวหลวมๆ ดูเป็นแก๊งค์หญิงอีกครั้ง และคราวนี้พวกเธอก็กบฏกฏระเบียบด้วยการย้อมผม แต่งหน้าจัด ม้วนขอบกระโปรงขึ้น ย้อมผิวแทน ทำให้โรงเรียนและผู้ใหญ่เริ่มเพ่งเล็ง ซึ่งก็ยิ่งทำให้กระโปรงสั้นแบบไมโครมินิได้รับความนิยมมากขึ้นอีก จนทางโรงเรียนต้องหาทางประนีประนอม ให้แต่งในแนวน่ารัก และสร้างไอด้อลชุดนักเรียนขึ้นมาเป็นต้นแบบในช่วงปี 2008 พวกเธอไปโชว์ตัวในงานแจแปนเอกซ์โป เพื่อให้โลกเห็นว่า “เครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นน่ารักแค่ไหน” ด้วย
สำหรับเด็กสาว ชุดนักเรียนคือสัญลักษณ์ของช่วงวัยที่อิสระเสรี ยังไม่ต้องแบกภาระแบบผู้ใหญ่ หลายคนใส่ชุดนี้นอกเวลาเรียน จนกลายเป็นแฟชั่นยูนิฟอร์มที่คนทั่วไปก็ซื้อมาใส่กัน ไม่ได้จำกัดอายุแค่เด็กนักเรียนอีกต่อไป.
STORY BY ซัมเมอร์