อิหร่านหลายอารมณ์
สาวสวยตาคมเข้มผิวขาวสวมเสื้อสายเดี่ยวกับยีนส์สุดเท่ห์ สยายผมยาวสลวยนั่งรอเช็คอินอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หน้าเคาเตอร์ของสายการบินมาฮันแอร์ ที่จะบินตรงไปยังอิหร่านอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า บรรดาผู้ชายอิหร่านหลายคนที่เดินไปมาอยู่ตรงนั้นสวมเสื้อสีสันสดใส กางกางขาสั้นแค่เข่าแบบลำลอง ภาพเหล่านี้ดูช่างขัดแย้งกับสิ่งที่หลายคนเคยได้ยินเกี่ยวกับการแต่งกายของคนอิหร่านโดยสิ้นเชิง ครั้นได้เวลาเดินขึ้นเครื่องบิน หันไปดูอีกที ชายหนุ่มสวมกางเกงขายาวเมื่อไรก็ไม่รู้ สาวคนเดิมกำลังแปลงโฉมโดยสวมเสื้อคลุมยาวคลุมเข่า พร้อมหยิบผ้าคลุมผมที่เตรียมไว้มาสวมดูเรียบร้อยผิดตา จู่ๆ เธอกลายเป็นสาวอิหร่านที่แสนจะเรียบร้อยมิดชิดในพริบตาเดียว ...พวกเขาพร้อมจะเดินทางกลับสู่ประเทศอิหร่านแล้ว ไม่ใช่แต่พลเมืองอิหร่านเท่านั้นที่ต้องเคารพฮิญาบ (Hejab) หรือข้อปฏิบัติที่ควบคุมการแต่งกายของผู้หญิงมุสลิม ซึ่งบอกไว้ว่าสตรีมุสลิม ต้องสวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างมิดชิดเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณชน โดยอนุญาตให้เปิดเผยได้เฉพาะส่วนคือใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้น และนักเดินทางผู้หญิงไม่ว่าจะมาจากที่ใดในโลกก็ต้องเคารพกฏการแต่งกายนี้เช่นกัน
อิหร่านเป็นโลกที่หลายคนยังไม่เคยรู้จักและอยากจะทำความรู้จัก นักเดินทางผู้หญิงต้องเตรียมผ้าคลุมผมมาให้พร้อมใช้งานก่อนที่เครื่องจะลงจอดที่เตหะราน หากใครมีผ้าผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูจะใช้งานง่ายที่สุด แค่พับครึ่งเป็นทรงสามเหลี่ยมจากนั้นก็นำมาคลุมผมและมัดปมใต้คาง คุณป้าสูงอายุที่นั่งอยู่ถัดไปมองหน้าพวกเราที่คลุมผมเรียบร้อยพร้อมกับลูบหลังด้วยความเอ็นดูแถมยิ้มอย่างชื่นชมยินดี พยักหน้าเหมือนจะบอกว่าพันอย่างนี้แหละใช้ได้แล้ว ถึงเตหะราน
จากสนามบินตอนเช้ามืด แท็กซี่สนามบินขับพาไปส่งริมถนนตอนฝนพรำๆ จากนั้นพวกเราก็แบกเป้แบบทุลักทุเลไปเคาะประตูโรงแรมฟิโรเซ่ที่ยังปิดไฟมืดสนิท พนักงานผู้งัวเงียขึ้นมาเปิดประตูต้อนรับเราเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกลางๆ ชื่อคุณมอชิด ซึ่งในเวลาต่อมามีชื่อไทยเรียบร้อยว่าคุณหมอชิต เขาคนนี้ดูเหมือนเกิดมาเพื่องานบริการโดยเฉพาะ เขาคุยโน่นนี่ให้ข้อมูลเรื่องการเดินทางอย่างกระตือรือร้น โรงแรมนี้อยู่บนถนนอาเมียร์กาเบียรายรอบไปด้วยร้านขายอะไหล่รถยนต์นับไม่ถ้วน นี่คือโรงแรมราคาถูกๆ ตอนใต้ของกรุงเตหะราน ที่เขาว่ากันว่าเป็นที่พักอาศัยของคนรายได้น้อยและออกจะเคร่งครัดในกฎศาสนามากว่าคนรวยที่พำนักอยู่ทางตอนเหนือ ในยามเช้าที่ร้านรวงยังไม่เปิด บนถนนเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนรอขึ้นรถไปเรียนโรงเรียน ผู้หญิงทั้งหลายสวมชาร์ดอร์ chador ที่เป็นผ้าสีดำยาวคลุมรอบตัวและศีรษะสีดำทะมึนและมิดชิดเอามากๆ เดินมาจนถึงย่านเตหะรานบาซาร์ ศูนย์รวมของสรรพสิ่งมากมายมหาศาล แถวนั้นมีมัสยิดอิหม่าม โคไมนี่ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จากนั้นก็เดินซอกแซกไปตามทางลดเลี้ยวเข้าสู่ตลาดทีใหญ่และวุ่นวายสุดๆ ที่ใครๆ ก็สามารถหลงทิศจนหาทางออกไม่เจอ และก็ไม่ต้องเสียเวลาถามหา exit เพราะพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ภาษาฟาร์ซีก็พูดไม่ได้ เราเลยต้องใช้วิธีถามหา metro เพราะเป็นคำสากลที่สุดแล้วที่จะนึกได้เหมือนจะถามทางไปสถานีรถใต้ดินนั้นแหละ พร้อมทำไมทำมือแบบให้เขาบอกว่าไปทิศไหน แค่นั้นเอง เขาก็บุ้ยใบ้ชี้ทางออกไปยังสถานีรถใต้ดินที่ใกล้ที่สุดให้เราได้ทันที หากใครหลุดออกมาได้สำเร็จโดยไม่มีข้าวของติดไม้ติดมือ อาจนับว่าจิตใจเข้มแข้งไม่ใช่เล่น เพราะเตหะรานบาร์ซานี้เป็นแหล่งรวมสินค้าแทบทุกชนิดที่มีขายในอิหร่าน รวมไปถึงพรมผืนโต โคมไฟ เครื่องทองเหลือง เงินและทองลวดลายพิสดาร งานผ้าและปักฝีมืออลังการ อันเป็นของฝากที่โปรดปรานสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหลายด้วย อันที่จริงการซื้อของฝากในวันแรกที่เดินทางมาถึงจะเพิ่มน้ำหนักให้เป้โดยใช่เหตุ เพราะเราต้องแบกอยู่บนบ่ากันอีกสองอาทิตย์ทีเดียว แค่ซื้อถั่วพิตตาชิโออร่อยเหาะมาชิมไปพลางๆ ระหว่างทางที่เดินมุ่งหน้าสู่พระราชวันโกเลสตาน (Golestan Palace) ชื่อของพระราชวังโกเลสตานแห่งนี้แปลว่าสวนกุหลาบ ฟังดูโรแมนติคไม่น้อย แม้จะรายรอบไปด้วยความวุ่นวายของเตหะรานบาร์ซ่าร์ก็ตามที
พระราชวังโกเลสตานแห่งนี้เป็นหมู่ตึกเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเตหะรานที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซาฟาวิดในราวปี 1524-1576 และมีการปรับปรุงซ่อมแซมในหลายราชวงศ์ ภายในอาณาเขตวังแห่งนี้มีตำหนักอยู่ 7 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นอาคารโบราณและตึกแบบยุโรปคลาสสิคที่สร้างขึ้น โดยกษัตริย์นัสเซอร์ อัลดิน ชาร์ ในสมัยราชวงศ์คาร์จารย์
อันที่จริงการเที่ยวเตหะรานในจบก่อนที่จะออกไปเที่ยวเมืองอื่นๆนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะที่เมืองหลวงเก่าแก่แห่งนี้พิพิธภัณฑ์มากมายหลายแห่งรอเราอยู่ หากคุณพร้อมจะเดิน และพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่น่าจะถูกใจสาวๆทั้งหลายที่หลงใหลของความแวววาวของอัญมณี ก็หนีไม่พ้นที่พิพิธภัณฑ์อัญมณีแห่งชาติ (National Jewels Museum) พิพิธภัณฑ์ล้ำค่าแห่งนี้ไม่ใช่จะเปิดอ้าแขนรับนักท่องเที่ยวตลอดเวลา ดูเขาจะไม่ค่อยเต็มใจรับพวกเราด้วยซ้ำไปเพราะเวลาเปิดทำการจะจำกัดอยู่เพียงไม่สองวันต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง คือทุกวันเสาร์และวันอังคาร และเปิดให้ชมในเวลาแค่บ่ายสองจนถึงบ่ายสีโมงครึ่งเท่านั้นเอง ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าพอประตูพิพิธภัณฑ์เปิดเมื่อไหร่ ผู้คนก็จะแห่แหนมารอคิวกันเนืองแน่นเมื่อนั้น
พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ในบริเวณธนาคารชาติอิหร่าน ตัวห้องจัดแสดงเป็นห้องใต้ดินขนาดพอประมาณที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนามากๆ ก็แน่นอนละ เพราะภายในเต็มไปด้วยเครื่องเงินทองและเครื่องประดับอัญมณีเพชรพลอยไข่มุกอันล้ำค่ามากมายเกินกว่าจะประมาณราคา ซึ่งของมีค่าทั้งหมดนี้เคยเป็นของสมบัติส่วนพระองค์ของกษัตริย์แห่งเปอร์เซียตกทอดมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซาฟาวิด ตอนนี้กลายเป็นสมบัติผลัดกันชมไปเรียบร้อยภายใต้การดูแลของรัฐบาลอิหร่าน สัมภาระทุกชนิดต้องฝากไว้ด้านนอก แน่นอนว่าเราไม่สามารถถ่ายภาพเพชรสีชมพูที่เม็ดใหญ่ที่สุดในโลกมีน้ำหนักถึง 182 กะรัต ลูกโลก (Globe of Jewel) ของกษัตริย์นาเดอรี ชาห์ ที่ประดับด้วยอัญมณีเพชรนิลจินดาห้าหมื่นกว่าชิ้น ราชบัลลังก์นกยูง ที่ประดับด้วยเพชรนิลจินดามากกว่า26,733 ชิ้น นอกจากนั้นก็มีมงกุฎคิอานี (Kiani Crown) และ มงกุฎของปาห์ลาวี (Pahlavi Crown) นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับต่างๆ อีกมากมายที่สุดจะประเมินค่าจนผู้ชมอย่างเราตาลายไปตามๆกัน สีเขียวขจีของต้นไม้ในสวนสาธารณะสวยๆ ที่ Park-e Shahr ดูจะช่วยบรรเทาประกายจากอัญมณีได้ดีไม่น้อย ในสวนนี้เป็นที่ตั้งของร้านน่ารักๆ ชื่อ Sofre Khane Sonnati Sangalag ที่มีไปป์น้ำ หรือที่นี่เรียกว่า Narghileh ให้สูบด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ให้บริการนี้ให้แก่ผู้หญิงโดยเด็ดขาด เราเคยได้แค่นั่งจิบชาร้อนๆ บนพรมเปอร์เชียสวยๆ ที่ปูบนตั่งที่นั่งใจกลางร้านและชมบรรยากาศที่หนุ่มอิหร่านเคลิบเคลิ้มกับการสูบยาเส้น เป่าน้ำจนเป็นฟองลูกโตและพ่นควันโขมง เยือนชีราซ พักอยู่เตหะรานไม่กี่วัน เราขึ้นเครื่องบินไปตรงยังซีราซ Shiraz เป็นอันดับแรก และวางแผนจะนั่งรถลัดเลาะและแวะเที่ยวตามเมืองต่างๆ ที่เหลือไล่กลับขึ้นเหนือมายังเตหะรานในตอนขากลับ
ชีราซเป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ อากาศอบอุ่นกว่าตอนเหนือมากมายนัก เมืองนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนัก ที่สำคัญคือไม่อึกทึกวุ่นวายเหมือนที่เตหะราน ความสงบนี้เองที่น่าประทับใจมากๆ ที่พักของพวกเรานั้นก็ได้เลือกเฟ้นมาอย่างดีแล้วว่าเป็นโรงแรมราคาประหยัดสุดๆ ชื่อ Anvari ที่ตั้งอยู่บนซอยชื่อเดียวกันนั้นเอง เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงถนนบูเลอวาร์ด คาริมข่าน ที่เป็นถนนสายใหญ่ของเมืองชีราซ คุณลุงคนขับแท็กซี่ทำหน้างงเล็กน้อยเมือเราเรียกรถไปยัง จตุรัสวาคิล หรือ Vakil Square ต่อรองราคาเสร็จสรรพก็พาเราไปส่งถึงที่อย่างรวดเร็วภายใน 10 นาที คุณลุงหน้าตายิ้มแย้มพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมากเป็นคำๆ แต่พยายามพูดกับเราแบบภาษาผสมผสานฟังรู้บ้างไม่รู้บ้างได้ความประมาณว่าขากลับให้เดินกลับก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง พร้อมหัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดังก่อนจะขับรถจากไป
ย่านวาคิดนี้เป็นศูนย์รวมของทุกสรรพสิ่งที่สำหรับผู้มาเยือนชีราซทุกคนต้องการ หากใครอยากจะมาชื่นชมสถาปัตยกรรมสวยๆของชีราคให้พุ่งตรงมาที่นี่ได้ทันที มัสยิดวาคิลนั้นมีลวดลายกระเบื้องที่โดดเด่นมาก ลวดลายดอกไม้พริ้วไหว สีสันฉูดฉาดแบบศิลปะเปอร์เซียที่ทำให้ทุกคนหลงใหล ประตูโค้งมนรายล้อมเราเต็มไปหมดจนนับไม่ถ้วน หลังจากชื่นชมมัสยิดวาคิลและที่นาเซิล โมลค์ (Nasir-ol Molk) รวมไปถึง Hammam-e Vakil ที่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์พรม ป้อมปราการ พิพิธภัณฑ์ฟาร์ และบ้านคหบดีนาราเจสตาน ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยชีราซ เดินไปมานานพอควรจนวนกลับมายังบาร์ซาอีกครั้งพบว่าจู่ๆ ตลาดที่เคยคึกคักเมือไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วกลับกลายว่าปิดกันหมดสิ้น เพราะนี่มันคือเวลานอนพักผ่อนยามบ่ายของชาวอิหร่าน ร้านจะเปิดกันอีกที่ราวๆ สี่โมงเย็น ร้านอาหารกลางวันในเมืองชีราซยังคงเป็นเคบับ kebab นั่นคือเนื้อสัตว์เสียบไม้ปิ้ง มีทั้งไก่ วัวและแกะให้เลือก บ่ายวันนั้นดูจะมีผู้คนดูเนืองแน่นเต็มร้านทั้งชาวอิหร่านเองและคนต่างชาติมากมาย มีสลัดบาร์ใหญ่โตไว้บริการอยู่ด้านบน ครั้นเดินลงบันไดไปด้านล่างก็เป็นที่ตั้งโต๊ะอาหารเรียงราย แถมมีวงดนตรีบรรเลงเพลงกล่อมคลอการรับประทานอีกต่างหาก ข้าวของอิหร่านนั้นร่วนและเมล็ดยาวกว่าของบ้านเรา ข้างๆจานข้าวนั้นมีเนยก้อนเล็กๆวางมาด้วยให้คลุกกับข้าว เราเอร็ดอร่อยกับอาหารพร้อมเก็บบรรยากาศอันคึกคักของเสียงเพลงภาษาฟาร์ซีกันอย่างเต็มอิ่ม
ไม่ว่าใครที่มาชีราซต้องมาเที่ยวที่เพอร์เซโพลิส เมืองหลวงมรดกโลกโบราณของอาณาจักรเปอร์เชียที่สร้างโดยกษัตริย์ดารุสตั้งแต่ยุค 515 ปีก่อนคริสตกาล เดินทางโดยเรียกแท็กซี่จากชีราซ 58 กิโลเมตรก็มาถึงแล้ว ที่นี่มีที่จอดรถรถบัสนักเรียนมาทัศนศึกษากันจากทุกสารทิศ นี่ยังไม่นับนักท่องเที่ยวอิหร่านที่มาจากต่างเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกนับไม่ถ้วน แต่อาณาเขตของเพอร์เซโพลิสเองก็กว้างขวางพียงพอที่จะรองรับผู้คนมากมาย จะว่าไปเพอร์เซโพลิสนี้ก็เหลือแต่ซากปรักของความยิ่งใหญ่ในอดีตบนเชิงเขา Kouh-e Rahmat ที่เคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการและพระราชวังที่ใหญ่โตที่สุด สร้างมายาวนานกว่า 150 ปีก็ยังไม่เสร็จสักทีจะมาถูกทำลายลงโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกในที่สุด หินแกะสลักใหญ่มหึมาที่เคยประดับบนยอดเสาตอนนี้วางเรียงรายบนพื้นดินให้เดินชมได้อย่างใกล้ชิด ภาพหินแกะสลักนูนสูงเรียงรายรวมทั้งบนแผ่นผนังหินของประดูทางเหนือของโถงบังลังก์ ส่วนการต่อสู้ของราชสีห์และวัวดูจะเป็นภาพสลักที่พบเห็นได้ทั่วเมืองนี้ สังเกตดูจะเห็นว่าใบหน้าราชราชสีห์จะถูกจับจนเป็นมันเงางาม เพราะคนเชื่อว่าการแตะหน้าราชสีห์จะให้โชคลาภ โชคอาจมีจริงเมื่อเราออกจากเพอร์เซโพลิสกลางฝนพรำและมีสักพักฝนก็หยุดตก ท้องฟ้ากลับมาสดใสดังเดิมเมื่อเราถึงยังสุสานอันมหึมาเต็มไปด้วยภาพสลักหินสลักภูเขาที่ Naghsh-e Rostam และ Naghsh-e Rajab ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ชีราซแม้จะเป็นต้นกำเนิดขององุ่นพันธ์ชีราซที่เลื่องลือ แต่ตอนนี้อิหร่านเป็นประเทสมุสลิมเต็มตัวที่ไม่อนุญาตให้มีการขายหรือดื่มเครื่องดื่มมึนเมาเด็ดขาด ดังนั้นอย่าได้หวังว่าจะได้ชิมเหล้าองุ่นชีราซที่นี่ แต่ในร้านค้าทั่วไปกลับมีเบียร์ขาย อย่าตกใจไป เพราะเขาขายเบียร์ที่ปราศจากแอลกอฮอร์ ที่มีรสมอลท์เฝื่อนๆไม่ต่างจากเบียร์ทั่วไปสักนิด และหากใครชอบ เขามีเบียร์รสแอปเปิ้ลหรือสัปปะรสให้เลือกด้วย
แม้ไม่ใช้เมืองแห่งเหล้าองุ่น แต่ชีราซนี้กลับถูกกล่าวขานว่าเป็นเมืองแห่งกวีและสวนดอกไม้ เสียดายแต่ว่ายุครุ่งเรืองของสวนสวยๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อไปเยือนหลุมฝังศพของฮาเฟซ กวีเอกแห่งชีราซ ก็รายรอบไปด้วยสวนสวยเช่นกัน ชาวชีราซเองก็มาเที่ยวที่นี่กันมากมาย หนุ่มสาวมาเดินเล่น และบรรดาผู้หลงใหลบทกวีต่างพากันถือหนังสือของฮาเฟซมานั่งอ่านกลอนที่หน้าหลุมศพของเขา ว่ากันว่าบ้านของชาวอิหร่านแทนทุกคนมีบทกวีของฮาเฟซอย่างน้อยหนึ่งเล่มอยู่ในครอบครอง เราแวะไปยังสวนอีรามทางตอนเหนือของเมืองในเย็นวันศุกร์ ที่มีชาวชีราซมาเที่ยวกันเนืองแน่นราวกับมีเทศกาลใหญ่ กลางสวนแห่งนี้มีพระราชวังเก่าจากศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่ รายรอบไปด้วยน้ำพุและต้นไซปรัสทรงเรียวสูงเป็นแนวสวยงาม จู่ๆ ก็มีสาวสวยชาวอิหร่านสองคนเดินเข้ามาทักทาย ท่าทางของเธอดูสนใจเรื่องราวของคนต่างถิ่นอย่างเราเอาเสียมากๆ สองสาวดูเป็นเด็กที่เรียบร้อยทีเดียว แต่งหน้าจัดเช่นเดียวกับสาวอิหร่านทั่วไป แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อโค้ทยาวสีดำที่เรียกว่าแมนทู manteau และกางเกงยีนส์ เธอบอกว่าไม่ชอบเลยที่เห็นเพื่อนสาวชาวอิหร่านที่วิทยาลัยบางคนแต่งตัวผิดระเบียบ จากนั้นเธอเล่าเรื่องราวของตัวเอง ครอบครัวและความฝันถึงหน้าที่การงานในอนาคต เธอสองคนก็เหมือนผู้หญิงอิหร่านสมัยใหม่ทั้งหลายที่ปรารถนาจะมีชีวิตที่เป็นอิสระในอนาคต จากนั้นมาร์ซาควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวดรูปของเธอและพี่น้องสาวสวยอีกสามคนสวมเสื้อสีสดปล่อยผมยาวสยายไร้ผ้าคลุม ทุกคนในรูปดูหัวเราะอย่างร่าเริงในโลกส่วนตัว ดูช่างตรงกันข้ามเหลือเกินกับโลกแห่งความเป็นจริงในชุดยาวสีดำทะมึน
การเดินทาง
เที่ยวบินตรงกรุงเทพ-เตหะราน ให้บริการโดย สายการบินมาฮันแอร์ www.mahanair.aero และการบินไทย ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมงครึ่ง ค่าเงินของอิหร่านเรียกว่า Rial ออกเสียงว่า ริอัล หรือเรียล แต่การจับจ่ายทั่วไปเราจะพบว่าชาวอิหร่านจะเรียกหน่วยเงินว่า Toman โตมาน เสียมากกว่า เรียล เพราะโตมานเป็นหน่วยเงินแบบเก่าที่ยังคงนิยมใช้อย่างไม่เป็นทางการกันทั่วประเทศ หนึ่งโตมานมีค่าเท่ากับ 10 เรียล เมื่อเทียบค่าเงินไทยแล้ว 10 บาทมีค่าประมาณ 3,000 เรียล ที่พักในเมืองหลักๆของอิหร่านหาได้ไม่ยากนัก หากต้องการที่พักแบบประหยัดสำหรับสองคนก็สามารถหาได้ในราคาตั้งแต่คืนละ 200,000 เรียลขึ้นไป สำหรับบางโรงแรมนั้นอาหารเช้าจะไม่รวมอยู่ในราคาห้อง อาจจะต้องเสียเพิ่มคนอีกคนละ 5,000 เรียล อาหารเช้าทุกมื้อในอิหร่านจะประกอบไปด้วย ขนมปังนาน ไข่ต้ม แยมผลไม้และเนยแพะ