“ความพอเพียง” ทางรอดของโลกที่มาจากพระราชดำริของกษัตริย์ไทย
“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑
“พอเพียง” คำง่ายๆ เพียงสองคำนี้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ให้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต การพัฒนาในทุกด้าน คือกุญแจไขปัญหามากมายที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ชาวไทยได้ยินเรื่องความพอเพียงเป็นครั้งแรก เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่มีเป้าหมายเรื่องการแก้ไขความยากจน ให้คนพึ่งพาตัวเองได้ เพราะในช่วงเวลานั้น การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก แต่ทรัพยากรธรรมชาติกลับเสื่อมโทรม คนและชุมชนไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และนำมาซึ่งปัญหามากมาย รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม
แนวคิดเรื่องการช่วยให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ เกิดจากการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนพสกนิกรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ได้ทอดพระเนตรเห็นปัญหาของประชาชน และทรงมีพระราชดำริที่จะหาทางแก้ปัญหาเพื่อให้คนไทยมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องรอหรือหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือใครๆ
ทางแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและยากเย็นอย่างเรื่องความยากจนนี้ สรุปรวบยอดได้ง่ายๆ เพียง 2 คำนี้ คือ “พอเพียง”
เมื่อเราทำอะไรอย่างพอเพียง ทำตามกำลัง เราจะมีอิสระในการควบคุม จัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง มีภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตจากภายนอกอย่างไร เราจะยังดำรงชีวิตอยู่ได้
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีพระราชดำรัสตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2534 ว่า “...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว”
ในระยะแรกๆ เราอาจจะไม่เข้าใจนัก แต่ในวันนี้ เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจมีมากขึ้นจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วเกินไป ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นอันเป็นผลจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการที่มนุษย์เบียนเบียนธรรมชาติ ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ที่เกิดจากการที่มนุษย์เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้เราหันมามองและเห็นจริงตามพระราชดำรัสนั้น ไว้ รวมถึงตระหนักในความสำคัญของความพอเพียง
และแน่นอนว่าปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญ เป็นปัญหาเดียวกันกับทั่วโลกเผชิญ ทำให้องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ Sustainability Development Goals (SDGs) และประเทศต่างๆ เริ่มรับมาปฏิบัติตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความยากจน ความหิวโหย ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และสร้างความมั่นคงทั้งด้านสุขภาพ และความมั่งคั่ง
ถ้าเราศึกษาลงไปถึงแก่นจะพบว่า SDGs มากมายถึง 17 ด้าน ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความ “พอเพียง” และ “การไม่เบียดเบียน” ตามแนวพระราชดำรินี้นั่นเอง
ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์และผู้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเผยแพร่ในกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ผ่านโครงการ “พอแล้วดี” กล่าวไว้ในงานมหกรรมความยั่งยืน Sustainability Expo 2025 ว่า “ศาสตร์พระราชาเป็นแนวคิดระดับโลก เป็นแนวคิดที่ทันสมัยมากๆ ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ ทุกวันนี้เราทำตามที่ฝรั่งคิดและตั้งเป้าในเรื่องความยั่งยืนว่า เราควรจะต้องไปถึงจุดไหน ควรจะต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง แต่ไม่มีใครเคยบอกว่าต้องทำอย่างไร คนที่บอกว่าต้องทำอย่างไรคือในหลวงของเรา”
แนวคิดเรื่องความพอเพียงที่กลั่นออกมาจากความเข้าใจในรากของปัญหาความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างถ่องแท้ การเห็นความเชื่อมโยงของปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการที่มนุษย์เบียดเบียนกันเองและธรรมชาติของในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่เอง ที่ได้สร้างแนวทางการแก้ปัญหาไว้ให้ไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาระดับโลกได้
ดร.ฮันส์-พอล เบิร์กเนอร์ ประธานกิตติมศักดิ์ของ Boston Consulting Group (BCG) กล่าวว่า “เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงแนวคิดของประเทศไทย แต่เป็นแนวทางที่โลกต้องการในยุคที่ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนและไม่คาดฝัน”