ศิลป่า เขาใหญ่: ดื่มด่ำศิลปะกลางผืนป่า เยียวยากายใจ พร้อมเปิดบทสนทนากับธรรมชาติ
"ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจก่อเกิดศิลปะ" คำกล่าวคุ้นชินนี้ไม่เคยเกินจริง และในทางกลับกัน ศิลปะก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรากลับไปหาธรรมชาติได้เช่นกัน เมื่อกายใจอ่อนล้า ทั้ง "ธรรมชาติ" และ "ศิลปะ" คือสิ่งที่เราโหยหา และช่างเป็นความสมบูรณ์แบบเมื่อได้รับการเยียวยาจากทั้งสองสิ่งในคราวเดียว นี่คือเหตุผลที่เราอยากชวนคุณตามมาเที่ยว ศิลป่า เขาใหญ่ (Khao Yai Art Forest) สถานที่ซึ่งจะพาคุณกลับมาสร้างสัมพันธ์กับธรรมชาติและชื่นชมศิลปะได้พร้อมกัน
"ศิลป่า เขาใหญ่" มาจากการผสมคำระหว่าง "ศิลปะ" และ "ป่า" สะท้อนถึงการเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งนี้เข้ากับชีวิตผู้คน เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักอนุรักษ์ นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ผู้รักธรรมชาติ หรือผู้ชื่นชอบงานศิลปะ การปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะ อาหาร และธรรมชาติรอบตัว ผสานกับกระบวนการเรียนรู้ นำไปสู่การเยียวยาจิตใจและการตื่นรู้ด้วยพลังแห่งธรรมชาติ
ทางเข้า "ศิลป่า เขาใหญ่" เชื้อเชิญให้เราก้าวสู่เส้นทางธรรมชาติด้วยดินแดงที่ทอดยาวตลอดทาง อุโมงค์สีอิฐที่ทางเข้าราวกับเป็นพิธีการปรับเปลี่ยนให้เราเข้าสู่โหมดการรับรู้ศิลปะและธรรมชาติ เมื่อเดินผ่านอุโมงค์ เราจะพบกับบริเวณต้อนรับแบบโอเพ่นแอร์ที่โล่งเปิดรับลม พร้อมเครื่องดื่มในภาชนะกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ต้อนรับก่อนเริ่มการเดินทางสัมผัสงานศิลปะ
จากพื้นที่ต้อนรับ เราเดินทางไปพบกับงานศิลปะชิ้นแรก "แมงมุมยักษ์" ซึ่งสามารถมองเห็นได้แต่ไกล นี่คือผลงานประติมากรรม "มามอง" (Maman) ของ หลุยส์ บูชัวร์ (Louise Bourgeois) ที่ศิลปินสร้างขึ้นในช่วงวัยชราเมื่อเธอตกผลึกกับชีวิต ในภาษาฝรั่งเศส "maman" แปลว่า "แม่" สำหรับหลุยส์ แมงมุมคือสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ เพราะแมงมุมถักทอใยเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและปกป้องลูก ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวและแข็งแกร่ง ต้องบอกว่าแมงมุมยักษ์ที่ถูกโอบล้อมด้วยวิวภูเขาสุดสายตานี้ ให้ความรู้สึกที่ทรงพลังอย่างยิ่ง สำหรับสายอาร์ตคงต้องรีบมาชม เพราะงานชิ้นนี้จะจัดแสดงถึงเดือนสิงหาคมนี้เท่านั้น
นอกจากงานของศิลปินระดับโลกชาวฝรั่งเศสแล้ว "ศิลป่า เขาใหญ่" ยังเป็นสถาบันศิลปะภายใต้วิสัยทัศน์ของ คุณมาริษา เจียรวนนท์ บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ โดยมี ราโบลลี แพนเซรา (Artistic Director) ทำหน้าที่คัดสรรศิลปินและนิทรรศการ เพื่อให้ศิลปะเชื่อมโยงบุคลากรแถวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักคิด นักเขียน หรือผู้นำทางความคิด เพื่อให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนและสร้างชุมชนที่พัฒนาสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
การชมงานที่ "ศิลป่า เขาใหญ่" ต้องเดินไปในแต่ละจุด บางจุดผ่านป่าที่ให้ร่มเงา บางจุดอย่าง "มามอง" ก็ตั้งอยู่กลางแจ้งท่ามกลางแปลงเกษตรอินทรีย์ แต่หากรู้สึกเหนื่อยล้า คุณสามารถขอรถกอล์ฟเป็นตัวช่วยได้ ทุกชิ้นงานล้วนถูกใจสายอินสตาแกรมและผู้ชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์ศิลปะ แต่ชิ้นที่เป็นไฮไลต์อีกฟากหนึ่งของ Khao Yai Art Forest ที่ทุกคนเข้าถึงง่าย เห็นและสัมผัสได้ คือ 'Fog Landscape #48435' สร้างสรรค์โดยศิลปินชาวญี่ปุ่น ฟูจิโกะ นากายะ (Fujiko Nakaya) ที่ร่วมมือกับภูมิสถาปนิกเพื่อให้หมอกไหลไปตามธรรมชาติตามเนินต่างระดับบนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางฟุต ซึ่งเป็นขนาดใหญ่ที่สุดที่ศิลปินเคยสร้างมา
สายหมอกสีขาวคลี่ตัวออกอย่างแผ่วเบา เป็นระลอกคลื่นที่เคลื่อนไปช้าๆ ผ่านพื้นหญ้าและดอกไม้ก่อนแผ่คลุมเนินเขาแล้วค่อยๆ สลายไป เป็นงานศิลปะที่ยากจะไม่หลงรัก ไม่ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางสายหมอกหรือมองจากระยะไกลก็ตาม แม้ว่าหมอกธรรมชาติจะไม่สามารถกำหนดเวลาได้ แต่ที่ "ศิลป่า เขาใหญ่" นี้เป็นงานศิลปะที่สร้างความสดชื่นตามตารางเวลาที่แน่นอน และไม่ต้องกังวลกับหมอกที่มากระทบตัว เพราะงานนี้ใช้เทคโนโลยีเก็บเกี่ยวความชื้นในอากาศเพื่อกลั่นเป็นน้ำสะอาดที่สามารถดื่มได้
เวลาชมงานชิ้นนี้คือ 16.00 และ 11.30, 16.30 น ในช่วงวีคเอนด์ ช่วงที่แสงแดดกำลังสวยงาม และสายหมอกให้ความเย็นสดชื่นหลังจากเดินชมศิลปะมาทั้งวัน ขอเตือนทุกคนว่าพื้นที่ตรงนี้กว้างมาก ควรวางแผนการชมไว้ล่วงหน้าโดยอาจไปรอก่อนเวลาสัก 15 นาทีเป็นอย่างน้อยเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมในการชมงาน
ระหว่างรอชมสายหมอก เดินมาอีกฝั่งพบกับก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนที่วางซ้อนกัน ผลงาน "GOD" โดยฟรานเชสโก อารีนา งานชิ้นนี้น่าจะสื่อสารกับคนไทยไม่ยาก ด้วยวัฒนธรรมที่เรากราบไหว้ต้นไม้ ก้อนหิน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ งานชิ้นนี้ใช้วัสดุธรรมชาติ ก้อนหินขนาดใหญ่ในไทยมาเป็นประติมากรรมที่ให้แนวคิดด้านจิตวิญญาณ และสอดคล้องกับภูมิทัศน์ของ "ศิลป่า เขาใหญ่" อย่างลงตัว หินทั้งสองก้อนถูกสลักตัวอักษรอย่างประณีต เพื่อซ่อนแก่นแท้ของแนวคิดไว้ภายในวัตถุ ก้อนหนึ่งสลักตัวอักษร G และ D และอีกก้อนสลักตัวอักษร O เมื่อหินทั้งสองก้อนมาประกบกัน คำว่า God จึงจะปรากฏอย่างสมบูรณ์ แต่ผู้มาเยือนก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แนวคิดนี้ชาญฉลาดมาก เพราะผู้นับถือพระเจ้าไม่จำเป็นต้องจับต้องหรือมองเห็นพระเจ้าได้ การสื่อสารของความเชื่อนั้นใช้ความเชื่อมโยงทางใจมากกว่า
เดินต่อไปสักพักเดียว เราสานต่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และขนบได้จากผลงานชื่อ "Pilgrimage to Eternity" ของ "อุบัตสัตย์" ศิลปินไทยที่มีผลงาน 9 ชิ้นกระจายตัวอยู่ทั่วผืนป่าของ "ศิลป่า เขาใหญ่" เขานำเอาขนบและศิลปะการสร้างเจดีย์มาตีความให้เกิดบทสนทนาใหม่ๆ เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมและพุทธปรัชญา กระตุ้นให้ขบคิดเรื่องพุทธปรัชญา ในขณะเดียวกัน งานทั้ง 9 ชิ้นก็พาผู้ชมไปเดินสำรวจเชื่อมโยงกับธรรมชาติโดยรอบอีกด้วย
ระหว่างเดินชมผลงานของ "อุบัตสัตย์" เดินขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด จะพบกับหินที่จัดเรียงเป็นวงแหวนใหญ่ในแต่ละชิ้นเป็นรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งรูปแบบที่ศิลปินยึดถือตลอดการทำงานศิลปะของเขา ผลงาน "Madrid Circle" ของ ริชาร์ด ลอง เป็นวงแหวนเป็นสัญลักษณ์เชิงสากล สะท้อนถึงรูปแบบตามธรรมชาติที่เข้าถึงไม่ยาก แต่สิ่งที่ทำให้งานอยู่โดดเด่นก็คือจุดที่ตั้งอยู่ เสมือนวัฏจักรชีวิตและจักรวาล โดยมีความไม่เป็นระเบียบของธรรมชาติของป่าโดยรอบ

อีกผลงานที่เชื้อเชิญให้เข้าไปชม คือจอที่ตั้งไว้กลางป่า เป็นจุดที่หากไม่สังเกตอาจจะเดินผ่านได้ น่าแปลกใจที่ผืนป่าดูเหมือนจะโอบรับ "Two Planets" งาน video installation ของ อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ได้อย่างลงตัว ในผลงานนี้อารยานำโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาบรรจบกัน ระหว่างชาวบ้านในชนบทของไทยและผลงานศิลปะชื่อดังของฝั่งตะวันตก แม้การตั้งจอฉายจะดูค่อนข้างแปลกแยกกับผืนป่า ทว่า ผู้เข้าชมต้องไปพิจารณาเองว่าสิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อสารคืออะไรกันแน่ ในความต่างที่อยู่ร่วมกันนี้
แต่ "Two Planets" ไม่ใช่ชิ้นเดียวที่กลมกลืนอย่างแตกต่าง เพราะในผืนดินกว้างของ "ศิลป่า เขาใหญ่" ยังมี K-BAR ที่นำเอาองค์ประกอบหรูหรามาแสดงเป็นศิลปะจัดวาง ผลงานของศิลปินดูโอ้ชาวสแกนดิเนเวียที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Martin Kippenberger ศิลปินชาวเยอรมันผู้เป็นที่รู้จักจากความหลงใหลในแอลกอฮอล์ พาวิลเลียนขนาดย่อมนี้อาจนับว่าเป็นบาร์ลับได้เลย เพราะผู้มาเยือนอาจจะพลาดไปได้ง่ายๆ แต่หากเดินไปพบ K-BAR แล้ว คุณสามารถชมภาพงานจิตรกรรมและการตกแต่งภายในผ่านประตูกระจกได้ อย่าเสียใจหากไม่ได้ลิ้มลองคอกเทลซิกเนเจอร์อย่าง Dry Martin เพราะบาร์ 6 ที่นั่งนี้เปิดแค่เดือนละครั้ง เพราะแท้จริงแล้วนี่คือประติมากรรมที่รอคอยผู้เดินฝ่าป่ามาพบ ถ้าโชคดี คุณอาจไปในช่วงบาร์เปิดและได้ชิม Dry Martin สักแก้ว
นอกจากการเติมเต็มจิตวิญญาณด้วยศิลปะและธรรมชาติแล้ว 'ศิลป่า เขาใหญ่' ยังมีมุมให้เติมพลังด้วยอาหารจากฝีมือเชฟหนุ่ม วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ จากร้านซาหมวย แอนด์ ซันส์ หนึ่งในเชฟแถวหน้าของไทยในเรื่องอาหารกับความยั่งยืน ซึ่งรับรองว่าทุกจานที่รังสรรค์มีความพิถีพิถันและเชื่อมโยงกับธรรมชาติไม่แพ้งานศิลปะที่ได้ชมมาตลอดทั้งวัน (รออ่านเรื่องอย่างละเอียดเร็วๆ นี้)
......

ศิลป่า เขาใหญ่" (Khao Yai Art Forest)
- เวลาเปิดทำการ
-วันพฤหัสบดี - วันศุกร์: 12:30 – 18:00 น.
-วันเสาร์ – วันอาทิตย์: 10:00 – 18:00 น.
- มีอาหารกลางวัน และมื้อค่ำ (ซื้อตั๋วล่วงหน้า)
- บัตรเข้าชมพื้นที่เต็มรูปแบบ + ทานอาหาร สามารถจองผ่านเว็บไซต์เท่านั้น
- การเข้าชมฟรี พื้นที่ Reception และ นิทรรศการ Maman โดยศิลปิน Louise Bourgeois เปิดให้เข้าชม ฟรี จนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 (มีป๊อบอัพกาแฟ Arabica)
- บัตรเข้าชมพื้นที่เต็มรูปแบบ 500 บาท
ข้อควรรู้ก่อนเยี่ยมชม
- เวลาปิดรับเข้าชมพื้นที่เต็มรูปแบบ: 15:30 น.
- เวลาปิดรับเข้าชมสำหรับประสบการณ์อาหารค่ำ: 16:30 น.
- ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามา
- ควรแต่งกายในชุดลำลอง และใส่รองเท้าที่เหมาะสมในการเดินป่า หรือเป็นรองเท้ากีฬา เตรียมกันแดด หมวก (ในกรณีฝนตกมีร่มให้บริการ)
ข้อมูลเพิ่มเติม www.khaoyaiart.com
PHOTO BY SAMATCHA APAISUWAN Otherwise Stated