เปิดกลไกสร้างพลัง Thailand's Food Bank ผ่านต้นแบบจัดการอาหารปทุมธานี
ขยะอาหาร เป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกนำมาถกเป็นวาระเร่งด่วนในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 29 หรือ COP 29 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา และการสร้างธนาคารอาหาร (Food Bank) ก็เป็นหนึ่งในโซลูชั่นที่จะแก้ปัญหานี้ โดยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในประเทศไทย มูลนิธิเอสโอเอส ประเทศไทย (Scholars of Sustenance Foundation: SOS ) ได้เริ่มกอบกู้อาหารส่วนเกินจากโรงแรมเพียงไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2016 และขยายผลการจัดเก็บอาหารส่วนเกินตลอดห่วงโซ่อุปทานใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ ส่งต่ออาหารให้กลุ่มเปราะบาง 8,000-10,000 คนต่อวัน ใน 5,000 ชุมชน จนกระทั่ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผนึกกำลังกับ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ริเริ่มโครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) ขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ
ล่าสุด สวทช. และเอสโอเอส ได้เลือกจังหวัดปทุมธานี เป็นต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน (Pathum Thani Food Bank Model) เพื่อศึกษาและกำหนดเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาการเข้าถึงอาหารและการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน ก่อนจะขยายไปอีก 7 จังหวัดเป้าหมาย ภายในปีนี้ ได้แก่ นครสวรรค์ ขอนแก่น ชลบุรี พังงา สุราษฎร์ธานี ลำพูน และลำปาง
แผนผลักดันโครงการ
สวทช. และ SOS ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี, สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการนำร่องธนาคารอาหารระดับท้องถิ่น
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สวทช. บอกว่า ปทุมธานีมีความพร้อม และความต้องการสร้างระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาขยะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ตลอดจนชุมชน ซึ่งจะทำให้สามารถผลักดันธนาคารอาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม
การดำเนินงาน จะใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local Food Rescue) ในแต่ละชุมชน ใช้ทรัพยากรของท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการพัฒนาความมั่นคงทางอาหาร และลดขยะอาหารในพื้นที่ โดยเบื้องต้น อาหารส่วนเกินจะถูกนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 4-5 ชุมชนของปทุมธานี อาทิ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ครอบคลุมประมาณ 200 ครัวเรือน
ส่วนผู้ประกอบการธุรกิจที่เข้าร่วมบริจาคอาหารส่วนเกินในโครงการปทุมธานีโมเดลก็มีหลายราย เช่น CP Ram, KFC, MaxValu และตลาดสี่มุมเมือง
พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี บอกว่า ปทุมธานีมีขยะรวมทั้งหมด 2,200 ตันต่อวัน แต่ที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ขยะอาหาร ดังนั้น อบจ. ปทุมธานี จึงมาโฟกัสเรื่องนี้ และจะสนับสนุนโครงการธนาคารอาหารอย่างเต็มที่ ทั้งด้านอุปกรณ์ งบประมาณ และการประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงการทำได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
อบจ.ปทุมธานี จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม สร้างเครือข่ายผู้บริจาคอาหารในพื้นที่ด้วยการเชื่อมโยงผู้ผลิตอาหาร ตลาดค้าส่ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้เข้ามามีบทบาทในการบริจาคอาหารส่วนเกินแก่กลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชื่อมโยงเครือข่ายผู้รับอาหารร่วมกับอาสาสมัคร และจิตอาสาในพื้นที่ และร่วมสำรวจข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การกระจายอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง
ทั้งนี้ ผลจากการจัดการอาหารส่วนเกินปทุมธานี จะถูกนำมาถอดบทเรียน เพื่อวางเป็นแนวทางในการพัฒนาและขยายธนาคารอาหารให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลกระทบเชิงบวกมากยิ่งขึ้น
ดร.ปัทมาพร อธิบายว่า ในระยะแรก การขยายธนาคารอาหารจะเป็นการต่อยอดพื้นที่จาก 4 จังหวัด ที่เอสโอเอส ดำเนินงานอยู่แล้ว ยกเว้นขอนแก่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคอิสาน โดยปีนี้ ตั้งเป้าขยายโครงการใน 8 จังหวัด (นำร่องที่ปทุมธานี) ส่วนระยะที่สอง มีเป้าหมายขยายอีก 12 จังหวัด ภายในปี 2569 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาพื้นที่เป้าหมาย แต่จะดำเนินงานในรูปแบบ Train the Trainers
"ในอนาคต เรามองไปถึงเรื่องโภชนาการด้วย โดยร่วมมือกับกรมอนามัย ศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อให้สามารถระบุผู้รับอาหารส่วนเกินในแต่ละชุมชน เช่น กลุ่มผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (non-communicable diseases) และเด็ก ซึ่งจะทำให้การจัดการอาหารได้เหมาะสมตามหลักโภชนาการด้วย"
สร้างแรงขับเคลื่อนใหม่
ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีขยะอาหารปีละเกือบ 10 ล้านตันต่อปี โดย 40% หรือ 4 ล้านตัน เป็นอาหารที่ยังนำไปบริโภคได้ แต่มีการบริหารจัดการส่วนนี้ได้แค่ 12,000 ตัน เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สวทช. จึงได้พัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มเพื่อทำให้การบริหารจัดการอาหารส่วนเกินมีความสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. บอกว่า นอกจากการจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอาหารสำหรับการบริจาคอาหารโดยไบโอเทคแล้ว ยังมี Cloud Food Bank ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการบริจาค และรองรับการขยายฐานผู้บริจาค ขณะที่ SOS และองค์กรพันธมิตร ก็สามารถวางแผนระบบโลจิสติกส์ การกระจายอาหารและการขนส่งได้อย่างรวดเร็ว ตรงตามต้องการ และลดความเสียหายของอาหาร
นอกจากนี้ ทีมวิจัย กำลังจัดทำข้อมูลการลดการปล่อยคาร์บอนจากการบริจาคอาหาร รวมถึงศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมการบริจาคอาหาร ครอบคลุมทั้งสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีของผู้บริจาค และมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการบริจาคอาหารอย่างยั่งยืน
ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สวทช. โทร. 02 5647000 อีเมล Foodbank@nstda.or.th และมูลนิธิ SOS โทร. 02 0751417, 062 6750004 และ Facebook: @sosfoundationthai
เครดิตภาพ เพจ SOS / ตลาดสี่มุมเมือง