HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
ถอดบทเรียนสถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทยปีที่ผ่านมา พร้อมคาดการณ์ปี 2568
by HBKK
2 ม.ค. 2568, 14:26
  70 views

TEI ถอดบทเรียนสถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทยที่คนไทยเผชิญปี 2567 ชี้พลังงานทางเลือกมีบทบาทมากขึ้นในปี 2568

ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหลายปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลายประเด็นที่ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้ระดมความเห็น ออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม จึงขอถอดบทเรียนสรุปสถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทยและสิ่งแวดล้อมโลกที่เราทุกคนได้เผชิญตลอดปี 2567 และคาดการณ์สถานการณ์ปี 2568 สรุปได้ดังนี้

ต้นปีเราประสบปัญหากับมลพิษทางอากาศ จากฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่มาจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ทั้งบนเนินเขา ในพื้นที่ป่า และการเผาของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ทำให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน ในพื้นที่ภาคกลางก็เกิดปัญหาจากการเผาพื้นที่โล่ง มลพิษจากโรงงาน และในส่วนของกรุงเทพมหานครส่วนมากจากมลพิษทางการจราจร ที่มีผู้ใช้ยานพาหะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการปล่อยควันรถบนท้องถนน และการเผสาในพื้นที่เกษตรในบริเวณชานเมืองและจังหวัดใกล้เคียง ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาที่มีลักษณะอากาศนิ่ง และไม่เอื้ออำนวยต่อการกระจายตัวของอากาศ

อีกประเด็นที่เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาด้านมลพิษจากขยะชุมชน โดยประเทศไทยในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีขยะประมาณ 24 -25 ล้านตันต่อปี ซึ่งในปี2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 70 พบว่าปัญหาขยะเพิ่มขึ้นถึง 28- 29 ล้านตันต่อปี หากการบริหารจัดการขยะบนฝั่งไม่ถูกต้อง จะมีขยะไหลลงแหล่งน้ำ ทะเลและเป็นปัญหาสะสม โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่สะสมในห่วงโซ่อาหาร และกลับเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ในปีหน้าก็จะมีกติกาโลกเกี่ยวข้องกับการจัดการขยะพลาสติกออกมาควบคุมด้วยที่ประเทศไทย จะต้องเตรียมความพร้อม

นอกจากนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม สำคัญในปีนี้เกิดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปรปรวนสภาพอากาศ ส่งผลต่อความแห้งแล้งในช่วงต้นปี และน้ำท่วมช่วงปลายปีในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย และพื้นที่ภาคใต้ วิกฤตที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นทั้งความถี่ และความรุนแรง โดยน้ำท่วมที่เชียงรายได้นำพาตะกอนมาจำนวนมาก จะต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณในการฟื้นฟูจำนวนมาก

สำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง สามารถแยกได้เป็น 3 ประเด็นสำคัญ ในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และ ปัญหาภาวะมลพิษ

ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change  โดยปัจจุบันพบว่าอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยตามความตกลงปารีสเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่มีเป้าหมายหลักในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฎิวัติอุตสาหกรรม โดยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำแข็งขั้วโลกละลายส่งผลสู่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และในอนาคตอาจเกิดเป็นวิกฤตต่าง ๆ ที่ตามมาได้  รวมถึงยังมีผลกระทบต่อการแปรปรวนสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว อย่าง เอลนีโญ หรือลานีญา เป็นต้น

ขณะเดียวกันทั่วโลกยังให้ความสำคัญในเรื่องความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเปรียบเทียบกับช่วงก่อนพัฒนาอุตสาหกรรม ประมาณ 280 ppm ซึ่งตอนนี้พบในปริมาณ 420 ppm ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก สำหรับประเทศไทยพบว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ถึง 1% ของทั่วโลก แต่กลับอยู่ในอันดับ 9 ของโลกที่จะได้รับผลกระทบเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญไทยให้ความสําคัญในการจัดการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากปัญหาโลกร้อน ส่งผลถึงมหาสมุทรด้วยเช่นกันเมื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้ความเป็นกรดสูงขึ้น และอุณหภูมิของทะเลมหาสมุทรก็สูงขึ้นด้วย ผลกระทบที่เห็นได้ชัด คือ เกิดปะการังฟอกขาว ทั้งฝั่งทะเลอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน รวมถึงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบพะยูนตายไปกว่า 30 ตัว สาเหตุส่วนหนึ่งจากการสูญเสียแหล่งอาหาร คือหญ้าทะเลที่ได้ตายเป็นบริเวณกว้างมากขึ้นด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ทรัพยากรประมง และสัตว์ทะเลหายาก โดยเฉพาะพะยูนที่กินหญ้าทะเลเป็นอาหาร สิ่งนี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนถึงความน่ากลัวจากภัยของโลกร้อนที่ส่งผลกระทบมาถึงความสูญเสียความหลากหลายชีวภาพ

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ให้ข้อมูลเสริมว่า ในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่หันมาให้ตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยได้บูรณาการประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเรื่องการค้าและการลงทุน โดยสิ่งที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ประการสำคัญคือ การผลิตและการบริโภคที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานสะอาด ความตื่นตัวมากขึ้นในปัจจุบัน โดยพบแนวโน้มในการใช้รถ EV ที่และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ได้รับความนิยม ในขณะเดียวกันเรื่องการจัดเก็บพลังงานเพื่อให้เกิดความเสถียรมากพอ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ ความมั่นคงทางพลังงาน และการรักษาสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม โดยในปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่ประเทศต่างๆ เห็นว่าจะเป็นทางออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือ Small Modular Reactor เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก ซึ่งหลายประเทศ เช่น อังกฤษ และแถบยุโรป เริ่มมีการศึกษาแล้ว ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมในหลายมิติ เพื่อให้การวางแผนระยะยาวและให้เกิดการสมดุลทั้งในเรื่องการลดพลังงานจากน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ขณะเดียวกันพลังงานทดแทนก็ต้องเข้ามาช่วยเสริมในสิ่งที่ถูกลดลงไป

ในขณะเดียวกันทั่วโลกก็มีการพูดถึง และตื่นตัวในเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อให้การซื้อขายอย่างมีกฏระเบียบที่ชัดเจน เราจะมีการดำเนินการให้เหมาะสม ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯอยู่ในระหว่างการดำนเนินการออกระเบียบ เพื่อให้มีความชัดเจน รวมทั้งการซื้อ - ขาย มีการแลกเปลี่ยนอย่างไร ทั้งในและต่างประเทศ ทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม และสร้างความรู้ ความเข้าใจเพื่อลดความกังวลของฝ่ายที่เข้าใจว่าเป็นกระบวนการฟอกเขียวของผู้ประกอบการ

ดร.วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับเป้าหมายของประเทศไทยในตอนนี้ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 แม้จะเป็นเวลาอีกราว 20 – 30 ปี แต่จำเป็นต้องมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน  เพื่อมีเป้าหมายและการดำเนินงานความเป็นกลางไปสู่เป้าหมายโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน  โดยส่วนหนึ่งต้องมีพื้นที่สีเขียวเพื่อมาดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ตามยุทธศาสตร์ชาติจะมีพื้นที่สีเขียวของประเทศไทยประมาณ 55% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งหากสามารถสร้างได้ทั้ง ป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าในเมือง จะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้กว่า 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมทั้งการดำเนินงานในการลดการปล่อย โดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการลด และหากได้รับความร่วมมือกับภาคภาคเอกชนจะสามารถขับเคลื่อนให้ถึงเป้าหมายตามกรอบเวลาได้ เพื่อให้ประเทศไทยมุ่งสู่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้  

สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกคน สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพื่อทางเลือก แต่คือทางรอด ทุกคนสามารถสำรวจกิจกรรมที่สามารถทำได้ ทั้งในการลดการใช้พลังงาน ลดของเสียต่าง ๆ ปลูกต้นไม้ในบ้าน หรือหลายพื้นที่เปิดโอกาสให้ปลูกต้นไม้ สามารถที่จะช่วยโลกและช่วยตัวเราเองได้

ABOUT THE AUTHOR
HBKK

HBKK

Live Every Day

ALL POSTS