HAPPENING BKK
NLINE MAGAZINE
×
ละคร "ลำนำชีวิต" (Ballad of Life) ถ้าจากไป ต้องทิ้งอะไรไว้ด้วยเหรอ?
by วิทยา แสงอรุณ
28 ส.ค. 2567, 21:03
  1,037 views

คุณเคยคิดอะไรแบบนี้หรือเปล่า? ถ้าจากไป ต้องทิ้งอะไรไว้ด้วยเหรอ? ถ้าคุณอยู่ในวัยเรียน หรือเพิ่งเริ่มวัยทำงาน คำถามนี้คงห่างไกล แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันเป็นคำถามที่น่าคิดมากๆ นะ

จะลองคิดดูมั้ย?

ละครเวที ลำนำชีวิต Ballad of Life ตั้งคำถามนี้ด้วยวิธีการ “ทำให้เห็น เป็นให้ดู” ผ่านละครสั้นสามเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย แต่ในเนื้อแท้แล้ว ผู้สร้างได้หยิบเอา “Bits and Pieces” ที่เป็นผลงานสำคัญในชีวิตของบุคคลคนหนึ่งในประวิติศาสตร์ มาเล่าอย่างลุ่มลึก มีสีสัน มีสาระ และโปรยอารมณ์ขัน

ในห้วงเวลา 60 นาทีกับละครสั้น 3 เรื่อง เราจะไม่ได้ยินชื่อ “เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี” หรือ “ครูเทพ” เลยแม้แต่น้อย แต่เจ้า “Bits and Pieces” ที่รวมกันนั่นแหละได้ก่อร่างสร้างตัวตนของบุคคลคนนี้ให้ดูน่าสนใจ น่าค้นหา แม้เวลาจะผ่านไป 150 ปี

มาดูการออกแบบละครสามเรื่องนี้กัน (ข้อความดังต่อไปนี้นำมาจากผู้จัด ที่ใช้วิธีการที่เรียกว่า copy and paste ล้วนๆ)

ตอนที่ ๑ ตัวละคร (Role) เรื่องราวของคณะละครที่กำลังซ้อม ฉากพระรามที่กำลังระลึกถึงนางสีดาหลังพิธีลุยไฟ ในขณะที่คณะละครกำลังประสบปัญหาไม่มีโรงละครสำหรับเปิดการแสดง ในตอนที่ ๑ ได้หยิบยกบทกลอน “รามรันทด” ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้อหาของหนังสือ “โคลงกลอนครูเทพ” ขึ้นมา
ตีความใหม่ให้เกิดความร่วมสมัยผ่านวัฒนธรรมการรำฟ้อนและการดนตรี     

ตอนที่ ๒ วิชาชีวิต (Wisdom) เรื่องราวของบรรดาแม่ ๆ ทั้งหลาย จะรับมือกับความเปราะบางของลูก ๆ Generation ใหม่ ที่เลือกเรียนหรือไม่เลือกเรียนตามใจตน ตามใจพ่อแม่อย่างไร ปริญญาจำเป็นไหม จริงเหรอ เป็นตอนที่กล่าวถึงกระแสความคิดของมนุษย์ ที่ตั้งคำถามต่อโครงสร้างการศึกษาที่ถูกวางไว้มา ๑๐๐ กว่าปีแล้ว


ตอนที่ ๓ รอยมนุษย์ (Legacy) การแสดงที่เน้น Impression เป็นภาพบรรยากาศ และความรู้สึกมากกว่าเรื่องราวที่จับต้องได้ เมื่อมนุษย์จากโลกนี้ไป สิ่งที่เหลือไว้เป็นร่องรอยคืออะไร เราจำเป็นต้องทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังไหม เป็นตอนที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีที่ทิ้งผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังมากมาย ซึ่งสะท้อนกลับมาว่า เราควรคิดที่จะต้องทิ้งอะไรไว้ในวันที่จากลาหรือไม่

หลังชมละครจบไป ผู้เขียนพบว่า มีหลายจุดที่รู้สึกว่า “อิหยังวะ” จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา และปรึกษา “อากู๋” ทันที และแล้ว บาง “Bits and Pieces” ก็ได้รับการไขปริศนา

ในตอนที่ 2 ทำไมพูดถึงมีช็อตที่ตัวละครมาพูดถึงระบบการศึกษาอุดมศึกษา และระบบอาชีวศึกษา? พออากู๋ ตอบมา ก็เลยได้เฉลยคำถามหนึ่งที่ผู้เขียนเคยสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงมี อุเทนถวาย อยู่ใกล้ๆ กันตรงนั้น?

“ครูเทพ” คนนี้แหละสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาเพราะเห็นว่า การศึกษามีหลายแบบ และไม่ได้ตอบโจทย์เดียว คนที่อยากเรียนไปในทางวิชาการ สายแนวคิด แล้วต่อยอดออกไป ก็ให้ใช้เวลาหลายๆ ปีหน่อยในการศึกษาเรียนรู้ แต่ก็คงต้องมีใครบางคนที่อยากเรียนอะไรบางอย่างแล้วนำออกไปประกอบอาชีพได้เลย จึวเป็นที่มาของระบบอาชีวศึกษา

ลำนำชีวิตนำเสนอเนื้อหาแต่ละตอนอย่างรวดเร็ว เรียบง่าย เข้าประเด็น ใช้เทคนิคที่ไม่ต้องดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยตาม จมดิ่ง หรือล่องลอยไป หรือทำตัวตนคนดูให้หายวับไปในแนวทาง “Escape” ที่เราจะพบได้ในการอ่านนิยายเล่มหนา หรือนั่งดูซีรียส์ Netflix อย่างเอาเดือนเอาตะวัน การนั่งดูละครในแนวนี้จะทำให้คนดูได้เก็บความเข้าใจและความรู้สึกไปในแบบของตัวเอง

ผู้สร้างสรรค์ (นิกร แซ่ตั้ง แห่ง Theatre 8X8 และศิลปินศิลปาธร) ได้เอ่ยถึงเสน่ห์ของของละครเวทีที่หนัง หนังสือ หรือมีเดียโหมดใดๆ ยากจะทำได้ นั่นคือ การเข้าถึงคนดู

ในฉากหนึ่งที่บรรดาคุณม่นั่งทำครัวกันอยู่ พวกเขาปิดฉากนี้ด้วยการให้ตัวละครเดินนำเอาอาหาร/สิ่งที่กินได้ มาให้ผู้ชมถึงที่ พร้อมพูดเชิญชวน นึกถึงพนักงานร้านกาแฟแบรนด์สีเขียวหน้ายิ้ม แล้วเดินเอาขนม หรือเครื่องดื่มให้ลองชิม มาแจกถึงโต๊ะนั่นแหละ “ได้ฟีล” ความใกล้ชิดไปอีกรสชาติหนึ่งในการชมละคร

สีสันของเรื่องสั้นสามเรื่องนั้น มีเฉดต่างกัน ตอนที่ 1 ได้อารมณ์ละเมียดของศิลปะคำร้อง และการร่ายรำ นักแสดงได้ส่งอารมณ์ครุ่นคิดถึงชีวิตพระรามตามไปด้วย ในการตีความไปอีกเฉดหนึ่ง เขาไม่ใช่ Hero แบบในวรรณกรรม แต่เป็นคนๆ หนึ่งที่มีเลือด เนื้อ เจ็บได้ ร้องไห้เป็น ผู้เขียนขอชื่นชมการรำ และการควบคุมอารณ์ของผู้เล่นตัวละครนี้ ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่อยู่ในฉากนี้ บอกได้เลยว่า ไปตั้งคณะตลกได้ แล้วเอาประเด็นปัญหาสังคมมาล้อ มาขำ จะทำให้คนมีความสุข และมีความหวัง

ตอนที่ 2 ถ้าคุณเป็นคุณพ่อ หรือคุณแม่ที่กำลังรับมือกับลูกยุคดิจิทัล ที่มองโลกคนละมุมกับยุคที่คุณเติบโตมา คุณจะได้ข้อคิดอะไรใหม่ๆ แบบคาดไม่ถึง ถ้าเปรียบเป็นเฉดสี ในตอนนี้ น่าจะเป็นสีเหลือง เพราะมีเนื้อหาและความสนุกสนานตลอดการแสดง คุณแม่ในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นคุณแม่ที่ไม่รู้จัก Social Media แถมยังสามารถต่อรองกับความต้องการของลูก โดยไม่ตามใจ ได้อย่างเท่าทัน

ตอนที่ 3 ให้พลังงานของแรงบันดาลใจ มี Movement ของตัวละครที่เหมือนจะพาไปในโลกแห่งความฝัน แต่นั่นหาใช่ความฝันไม่ แต่มันคือ การปลดปล่อยความคิด และพยายามไม่ชี้นำ แต่ก็มีคำตอบอยู่เบา ๆ ว่า คนเรา หากตายไป ต้องทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังหรือเปล่า

ละครเรื่องนี้น่าจะเป็นตัวอย่างของการเล่าเรื่องประวัติบุคคลด้วยการพูดถึงแต่ผลงานที่ทิ้งไว้ ผู้จัดเล่าให้ฟังว่า ลูกหลานของ “ครูเทพ” ต้องการให้ผู้คนได้รับประโยชน์จากการได้อรรถรสของผลงานของท่าน มิได้ต้องการบอกว่า ท่านเป็นฮีโร่ของอะไรที่น่าเคารพยกย่องบูชา

ในโลกของ Social Media ถ้าคุณพูดว่า ตัวคุณเก่ง อย่างนั้น อย่างนี้ คงมีแต่คนเบือนหน้าหนี แต่ถ้าคุณบอกว่า คุณทำอะไร แล้วมันมีประโยชน์อะไร แม้จะผ่านไปเป็นร้อยปี หรือจะเกินกว่านั้น ก็ทำให้เชื่อว่า ต้องถูกพูดถึง และมิได้ลืมเลือนแน่นอน

คุณอยากจากโลกนี้ไป แล้วทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังบ้างมั้ย?

.............


การแสดงละครเวทีร่วมสมัยเรื่อง “ลำนำชีวิต” (Ballad of Life) จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระ ๑๕๐ ปี ชาตกาล เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี จัดโดย มูลนิธิเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ผู้เขียนได้รับเชิญจากทางผู้จัดให้ไปรับชม

ขอบคุณอจ. ดร. รสิตา Rasita Sinekiem ที่ชวนผู้เขียนไปชม
 

HappeningBKK Service
 

ABOUT THE AUTHOR
วิทยา แสงอรุณ

วิทยา แสงอรุณ

ALL POSTS