ดื่มด่ำมื้ออาหารไทยคอร์สพิเศษ The Journey โดย ‘บ้านสุริยาศัย’ ร่วมกับ’ SARRAN’ Jewelry แบรนด์ดังที่ลิซ่าสวมใส่
“บ้านสุริยาศัย” จับมือแบรนด์ดัง “SARRAN” ผุดแคมเปญพิเศษ “The Journey“ ลิ้มรสอาหารไทยโบราณตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน พร้อมสิทธิซื้อเครื่องประดับ Limited Edition ในราคาสุดพิเศษ
นับเป็นการผสานความร่วมมือที่คลิกกันได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับ “บ้านสุริยาศัย” ซึ่งเป็นแบรนด์ในสายธุรกิจอาหารของกลุ่ม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่จับมือกับแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังระดับโลกอย่าง “SARRAN” ผุดแคมเปญสุดพิเศษ “ The Journey” สำหรับคุณลูกค้าที่รับประทาน 5 courses ในชุด The Journey มีสิทธิ์ที่จะได้ซื้อเครื่องประดับสุดหรู ใน collection exclusive “เจริญ-บุนนาค“ ของ SARRAN ในราคาสุดพิเศษ และมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม นี้
สำหรับรายละเอียดของแคมเปญ “The Journey” ครั้งนี้ คุณแซม-ไพศาล อ่าวสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิสโตร เอเชีย จำกัด บริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “SARRAN เป็น Jewelry แบรนด์ระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยแท้ มีผลงานทำให้กับศิลปินระดับโลก อาทิ ลิซ่า BLACKPINK, Alicia Keys ฯลฯ ซึ่งในมุมมองคนยุโรปเขามองว่าเป็นแนวใหม่ เหมาะกับคอนเซปต์ของบ้านสุริยาศัยที่มีความเป็นไทยโบราณ มีความเป็น Heritage home เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี จึงเป็นที่มาของ SARRAN และ บ้านสุริยาศัย ร่วมกันจัดแคมเปญพิเศษโดยมีไฮไลท์ คือ “ดอกบุนนาค” เพราะที่มาของบ้านสุริยาศัยของตระกูลบุนนาค ดังนั้น ดอกบุนนาคจะเบ่งบานอีกครั้งในรูปแบบของ Jewelry ผสมผสานไปกับการเล่าเรื่องผ่านอาหารตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทุกท่านจะได้ทราบถึงวิวัฒนาการของอาหารว่าเป็นมาอย่างไร สะท้อนความหมายมิติต่างๆ ผ่านเมนูอาหารสุดพิเศษ โดยหากขยายความในแคมเปญนี้ให้ลึกขึ้นไปอีก จะเป็นการเล่าเรื่อง การเดินทางของ 3 เรื่องที่ผ่านการเดินทางมากว่า 100 ปี ที่บรรจงรังสรรค์เป็นอาหารและเครื่องประดับ คือ
1 The Story of Charon แรงบันดาลใจมาจากคำว่า “เจริญ“ ที่ ร.5 ทรงสั่งผลิตภาชนะและพระราชทานให้กับข้าราชบริพารและข้าราชการเพื่อนำความเจริญมาสู่ตนและครอบครัว และยังใช้เป็นของกำนันสำหรับการทูตในสมัยนั้นอีกด้วย
2. The Legacy of Baan-Nak แรงบันดาลใจจากตะกูลบุนนาคที่เป็นเจ้าของบ้านสุริยาศัย และตระกูลที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย และที่สำคัญดอกบุนนาค หลังผ่านมา 100 ปีแล้ว ดอกบุนนาคจะกลับมาเบ่งบานอีกครั้งในรูปแบบของเครื่องประดับที่งดงาม
3. The Century of Baan Suriyasai เป็นการเฉลิมฉลองบ้านสุริยาที่ได้รับเป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่น และเป็นบ้านแห่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย วิถีชีวิตความอยู่ของคนไทย ผ่านตัวบ้าน และอาหารที่รวบรวมหลากหลายสายสกุลต่างๆมาไว้ในที่เดียวกัน
นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังมี เชฟอิน ณรงค์ฤทธิ์ เชฟคนดังที่กำลังมาแรงและเป็นที่ถูกจับตาเป็นอย่างมากเข้ามาช่วยรังสรรค์เมนูขนมหวาน เพราะเราเล่าเรื่องจากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน เราจึงให้เชฟรุ่นใหม่ เพื่อบอกเล่าเรื่องถึงคนรุ่นปัจจุบันแทน”
ด้านเจ้าของแบรนด์คนดังอย่าง ศรัณญ อยู่คงดี ศิลปินนักออกแบบเครื่องประดับ เจ้าของแบรนด์ SARRAN ที่มีมุมมองว่างานแฟชั่นหรืองานศิลปะไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกอะไรบางอย่างในตัวเรา สามารถสะท้อนสังคม และมองว่างานศิลปะจะช่วยเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเรา สังคมและสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ทำให้เขาผุดไอเดียใหม่ๆ ในการออกแบบได้หลากหลายในทุกมิติที่กลายเป็นจุดเด่นของนักออกแบบให้สร้างสรรค์คอลเลกชันใหม่ๆ ได้อย่างน่าทึ่งกิ๊บเกร๋ไม่แพ้นานาประเทศเลยทีเดียว เผยว่า “ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ “บ้านสุริยาศัย” ในการจัดทำแคมเปญ “The Journey“ ครั้งนี้ เพราะในส่วนของ “SARRAN เองถือเป็น Jewelry แบรนด์ระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยแท้ สร้างผลงานให้กับศิลปินระดับโลกมาอย่างมากมาย พอได้มาผสานกับเรื่องราวความเป็นไทยแท้ของตำรับเมนูอาหารชาววังของ “บ้านสุริยาศัย” จึงถือเป็นความลงตัวที่สมบูรณ์แบบที่เชื่อว่าจะสร้างสีสัน และเสน่ห์แห่งความงดงามในความเป็นเครื่องประดับ SARRAN ที่จะสร้างความประทับใจให้กับทุกท่านที่ได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “The Journey“ในครั้งนี้” โดยในส่วนของ Charoen:Boon-Nak Collection ”เจริญ:บุนนาค” Collection นี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก เรื่องราวและความเป็นมาของยุคสมัย ที่เริ่มเรื่องราวทั้งหมดของบ้านสุริยาศัย และต้นบุนนาคซึ่งเป็นต้นไม้ประจำบ้าน ซึ่งบันทึกเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงของสถานที่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม ผ่านบริบทการเติบโตและผลิบานของดอกบุนนาคเป็นระยะเวลานานมากแล้วที่ดอกบุนนาคไม่ได้เบ่งบานในบ้านสุริยาศัย เนื่องในวาระฉลองครบรอบ 100 ปีของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา SARRAN ได้สร้างสรรค์คอลเลคชั่นพิเศษขึ้นโดยนำเอาหนึ่งในเรื่องราวของช่วงยุคสมัยในรัชกาลที่ห้า คือคำว่า “เจริญ” ซึ่งมีปรากฏให้เห็นในภาชนะเครื่องเคลือบหรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า “ถาดเจริญ” และตัวอักษรอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้มีการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นการอวยพรแก่ก้าวต่อไปหรือเรื่องราวบทใหม่ของบ้านสุริยาศัย และดอกบุนนาคซึ่ง เป็นเอกลักษณ์สำคัญที่อยู่คู่บ้านมาตั้งแต่อดีตให้กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง ณ สถานที่เดิมที่เวลาเปลี่ยนไปแต่ความทรงจำยังคงอยู่คู่แสงอาทิตย์ของประเทศไทยและสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ของ “บ้านสุริยาศัย”
เรียกว่าเป็นแคมเปญสุดพิเศษที่จะพาคุณสัมผัสประสบการณ์รสชาติความอร่อย และเสน่ห์ของความหมายในแต่ละสำรับอาหาร ที่เริ่มต้นตั้งแต่ The Journey เป็นการนำเสนอเมนูอาหารผ่านเรื่องราว ที่สื่อให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาประเทศ วัฒนธรรม และความโดดเด่นของแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่ยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบันหรือรัชกาลที่ 10 ผ่านอาหารทั้ง 5 course ได้อย่างลงตัว การเดินทางของเรื่องราวในยุคสมัยต่างๆ นี้เปรียบเสมือนกับการเติบโตของต้นบุนนาคที่เริ่มต้นตั้งแต่การหยั่งราก เติบโต ผลิใบ และการเบ่งบานของดอกบุนนาคที่เต็มไปด้วยความสวยงามอย่างแท้จริง
เริ่มต้นด้วยความเรียบง่ายอย่างเมี่ยงผลไม้แบบโบราณ – Seasonal Fruit served with Sweet Sauce โดยนำเอาวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลที่สามารถหยิบจับมาทำเป็นอาหารได้ ตัวไส้ทำจากมะพร้าวเคี่ยวแล้วปรุงให้มีรสหวานนำเค็ม เสิร์ฟพร้อมผลไม้ตามฤดูกาล รับประทานพร้อมมะม่วงเปรี้ยว ขิงอ่อน และยอดผักชีเพื่อช่วยเสริมรสชาติของจานนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
เครื่องว่างจานนี้เป็นการผสมผสานความเป็นไทยและฝรั่งเข้าด้วยกัน เสมือนย้อนไปในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 หรือยุคสามวิคตอเรียน ในยุคนั้นจะมีการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ มีการประพาสต้น ประพาสหัวเมืองต่างๆ รวมถึงต่างประเทศ แล้วนำเอาค่านิยมต่างๆ รวมถึงความเจริญเข้ามาพัฒนาประเทศไทย เครื่องว่างจานนี้เสิร์ฟมาในรูปแบบ concept เงิน ทอง นาค ที่เปรียบเสมือนการรวมเอาวัฒนธรรมต่างชาติ มาผสมผสานและสอดแทรกวัตถุดิบแบบไทยๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเริ่มต้นด้วย Silver King: ขนมครกหน้าปูกะทิ-ไข่ปลาแรมฟิชดำ-Coconut Rice pudding topped with Crab meat and Black Lumpfish Caviar ตัวแป้งมีสีนิล รสชาติเค็มอ่อนๆ เสิร์ฟพร้อมด้วยปูที่หอมกลิ่นสามเกลอ ตัดกับหน้ากะทิที่หวานกำลังดี ตามด้วย Gold King: – สะเต๊ะลือตำรับวังสวนสุนันทา – Authentic Thai Chicken Satay สะเต๊ะแบบโบราณที่ในอดีตนั้นมีชื่อเสียงจนลือเลื่องด้วยกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้น ทว่ากลมกล่อม หอมเครื่องเทศ ปิดท้ายด้วย Rose Gold King: ทาร์ตกุ้งทอดมัน – Thai Shrimp Cake เมนูนี้ประยุกต์จากกุ้งทอดมันตำรับวังบางขุนพรหม หัวใจในการทําอยู่ที่การตบเนื้อกุ้งจนเหนียว ปรุงรสให้กลมกล่อม ปั้นเป็นก้อนกลม ทอดจนเหลืองทอง นำไปเคลือบด้วยสอดที่ปรุงจากมันกุ้งรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมแป้งทาร์ตที่หอมเนยแบบฝรั่ง
Salad: พ.ศ.2453-2468 “สนามเสือป่า” : (“Salad Sanam Suea Pa”-“Wild Tiger Stadium”) – Thai Salad served with Curry Dressing เป็นเมนูอาหารที่เปลี่ยนเสมือนสมัยสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อความเจริญเข้ามาสู่ประเทศไทย แล้วมีการจัดตั้งโครงการต่างๆ การสื่อสาร การเดินทาง การติดต่อกับชาวต่างชาติ เป็นยุควมัยที่นำพาความเจริญเรื่องการสื่อสารมาใช้ในประเทศ จุดเด่นของยุคสมัยนี้คือการจัดตั้งกองพลเสือป่า โดยนำเอาเมนูอย่างยำทวายที่มีความหลากสีของวัตุดิบให้เป็นเสมือนกับกองพลต่างๆ
ยำทวาย – ตำรับอาหารชาววังสายพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ในรัชกาลที่ 5 เป็นเมนูที่นิยมปรุงรับประทานในวันสำคัญเท่านั้น จานนี้ประกอบไปด้วยผัก 5 ชนิด เสิร์ฟพร้อมน้ำยารสชาติกลมกล่อมกล่อมหวานอมเปรี้ยวกำลังดี หอมกลิ่นน้ำพริกเผาและเครื่องแกง
Soup: พ.ศ.2468-2478 “ร่วมสมัย” : (“Rowm Samai”-“Contemporary”) ต้มข่าหอยเชลล์กับหมี่ขาวทอดกรอบ – Seared Scallop in Coconut-Galangal Soup served with Crispy Rice Vermicelli ในยุคสมัยรัชกาลที่ 7 นั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย อย่างการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดการจัดตั้งรัฐบาลแต่ยังคงอนุรักษ์ไทยนิยม หรือเรียกว่าสมัยนิยม โดยยุคนี้จะมีความโดดเด่นของการรับประทานอาหารประเภทเส้น อันเนื่องมากจากเป็นยุคที่ข้าวสารมีราคาสูง รัฐบาลจึงรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคอาหารประเภทเส้นทดแทน จึงเป็นที่มาของเมนูจานนี้
สำหรับความโดดเด่นของเมนูนี้อยู่ที่การประยุกต์เมนูอย่างต้มข่าที่โดยทั่วไปจะรับประทานพร้อมข้าวหอมมะลิ มาเป็นการเสิร์ฟคู่กับเส้นหมี่ขาวที่นำไปทอดจนมีสีเหลืองนวล ทำให้ได้รสสัมผัสกรุบกรอบ รสชาตินวลของของตัวซุปนั้นเข้ากับได้ดีกับเส้นหมี่ทอดกรอบเป็นอย่างมาก
Main Course: พ.ศ. 2478 - 2559 “พอเพียง” : (“Phopaing” - “Sustainable”) เป็นการรวบรวมยุคสมัยรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 เข้าด้วยกัน เนื่องจากทั้ง 2 ยุคสมัยนั้นเป็นยุคแห่งความเรียบง่าย พอเพียง ไม่หวือหวาแต่ทว่าไม่หยุดอยู่กับที่ จุดเด่นของสำรับนี้อยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายนำมาปรุงให้ออกมามีรสชาติครบรสหรือเรียกได้ว่าเป็นรสไทยแท้ จัดเสิร์ฟพร้อมกับข้าวหอมมะลิอย่างดี
กุ้งแม่น้ำย่างน้ำปลาหวาน – Grilled River Prawn served with Sweet Fish Sauce นำกุ้งเม่น้ำตัวโตมาย่างให้สุกกำลังดี เสิร์ฟพร้อมน้ำปลาหวานรสชาติเข้มข้นที่ปรุงจากน้ำตาลโตนดและน้ำปลาชั้นดี เคี่ยวเป็นเวลานานจนมีสีใสและเหนียวกำลังดี
แกงชักส้มปลาทูย่าง – Authentic Sour Soup served Grilled Mackerel แกงไทยโบราณที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบัน แม้มีลักษณะคล้ายแกงส้มแต่ความแตกต่างนั้นจะอยู่ที่การรสปรุงรสโดยใช้มะกรูดเพื่อทำให้เกินรสชาติเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมกับปลาทูย่างสุกกำลังดี รสชาติจัดจ้านของจานนี้นั้นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี
น้ำพริกหนำเลี๊ยบหมูสับ – Stir-fried Chinese Olives with Minced Pork Dip น้ำพริกเป็นอาหารไทยประเภทเครื่องจิ้มชนิดหนึ่งที่นิยมเสิร์ฟในสำรับอาหารมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ ความโดดเด่นของเมนูนี้นั้น อยู่ที่การนำเอาหมูสับหนำเลี๊ยบมาผัดกับเครื่องน้ำพริก แล้วปรุงให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน แต่กลมกล่อม รับประทานพร้อมกับเครื่องแนมอย่างปลาช่อนแดดเดียวทอดและผักสด
Dessert: พ.ศ.2559- ปัจจุบัน “เจริญ” : (“Charoen”- “Prosperity“) เมนูเปรียบได้กับยุคปัจจุบันหรือสมัยรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นยุคแห่งความเจริญ ความศิวิไลซ์ ความสวยงาม และเทคโนโลยีต่างๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและความเป็นไทยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เริ่มที่ เจลลี่น้ำผึ้งและส้มซ่า – Citrus Aurantium and Honey Jelly – ผสมผสานระหว่างวัตถุดิบอย่างส้มซ่ากับเจลลี่ ปรุงรสชาติด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อย จึงได้เป็นเมนูของหวานที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ต่อที่ ไอศกรีมมะพร้าวน้ำหอมกับครัมเบิ้ล – Coconut Ice-cream served with Crumble – รสชาติหวานวันของไอกครีมมะพร้าวนั้นเข้ากับได้ดีกับครัมเบิ้ลแบบฝรั่งเป็นอย่างมาก
และ ขนมดอกพุดตาล – Thai sweetmeat made of egg yolk and sugar – ตัวขนมนั้นทำแป้งสาลี น้ำตาล ไข่แดง และกะทิ รสสัมผัสนุ่มนวล ช่วยให้ขนมจานนี้โดดเด่นได้ดียิ่งขึ้น
“The Journey” อีกหนึ่งแคมเปญสุดพิเศษ ที่นำเสนอเรื่องราว และความหมายสุดประท้บใจที่ซ่อนเร้นไว้ด้วยรสชาติของความอร่อยในรูปแบบของเซ็ตเมนูอาหารจาก “บ้านสุริยาศัย” ที่ยังให้คุณมีสิทธิ์ซื้อเครื่องประดับ Limited edition สุดหรูของ SARRAN ได้ในราคาพิเศษได้ที่นี่ที่เดี่ยว โดยชุดอาหารพรีเมี่ยมราคา 2,995 บาท++
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงวันที่ 31 สิงหาคม นี้เท่านั้น
สามารถโทรจองล่วงหน้า 3-5 วัน ได้ที่โทร. 02-237-8889 หรือ 065-931-4338”
หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : BaanSuriyasai