Walking Safari ที่มาลาวี เปิดตาให้กว้างปิดปากให้สนิท
กฏข้อแรกของ Walking Safari คือห้ามวิ่ง และงดใช้เสียง ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางได้
“ขอต้อนรับสู่เกมไดรฟ์ครั้งแรกของคุณนะครับ” เมื่อพูดเสร็จ มุสตาฟา (Mustafa) ไกด์หนุ่มแห่ง Mkulumadzi Lodge ก็ขึ้นนั่งด้านหน้าประจำที่คนขับ ส่วนข้าง ๆ เขาก็คือ วิลสัน (Wilson) ผู้เป็นพรานป่าที่มาพร้อมปืนกระบอกยาวน่าเกรงขาม จากนั้นรถโตโยต้า แลนด์ ครุยสเซอร์ แบบไม่มีหลังคาก็วิ่งออกจากลอดจ์ทันทีโดยมีผมเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวของบ่ายวันนั้น
ตอนนี้ผมกำลังนั่งโขยกเขยกไปมาฝ่าถนนฝุ่นตะลุยเข้าป่าโปร่งในเขตอุทยานแห่งชาติมาเจเต้ (Majete National Reserve) อันแสนจะโด่งดังของประเทศมาลาวี (Malawi) การท่องเที่ยวแบบซาฟารีของที่นี่นั้นนับว่ายังโล่งมาก ๆ เพราะบ่ายนี้ผมแทบไม่เจอรถคันอื่นเลย...... ชอบจัง
ระหว่างทาง เราเจออิมพาลา วอเตอร์บัค เอ็นยาลา อีแลนด์ คูดู ฮิปโป จระเข้ บาบูน และนกป่าสีสวย ๆ มากมาย รวมทั้งช้างแอฟริกันครอบครัวใหญ่ แต่ยังม่มีสิงโตที่ผมอยากเห็นสักตัวจนฟ้าเริ่มมืด และอากาศก็หนาวมาก ๆ
“วันนี้กลับก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” มุสตาฟาชวนกลับที่พัก และทันใดนั้นก็เกิดเสียง “ฟืดดดดด” ดังขึ้น และทุกคนก็รู้ทันทีว่านี่คืออาการยางแบนแต๊ดแต๋
เวรล่ะสิ... อย่างนี้ก็ต้องเปลี่ยนยางล่ะสิ... แล้วเรากต้องลงจากรถล่ะสิ... แล้วมันดันมืดแล้วล่ะสิ... และขอย้ำว่าขณะนี้พวกเรากำลังอยู่กลางป่าอันอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด
“เอ่อ.... ลงจากรถมาก่อนนะ เอ่อ...ยังไงก็อยู่แถว ๆ รถนะ เอ่อ....อย่าไปไหนไกลนะ” มุสตาฟาบอก และแน่นอนว่าผมก็ไม่คิดที่จะออกเดินเล่นเพ่นพ่านไปไหนต่อไหนอย่างแน่นอน ความจริงผมแทบจะยืนชิดติดรถและอยู่ในอากัปกิริยาที่พร้อมจะปีนกลับขึ้นรถได้ทุกวินาทีเลยด้วยซ้ำ กฏเหล็กข้อที่หนึ่งของการท่องซาฟารีในเขตอุทยานแห่งชาติเช่นนี้ก็คือห้ามนักท่องเที่ยวลงจากรถอย่างเด็ดขาดเพราะสัตว์ป่ามีอยู่มากมาย และอาจซุ่มซ่อนตัวอยู่ตรงไหนก็ได้ ดังนั้นเราจึงสามารถเป็นเป้านิ่งของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แต่จากสภาพรถที่เห็นและเป็นอยู่นั้น ถ้าเราไม่เปลี่ยนยางที่ล้อหลัง เราก็คงไปต่อไม่ได้ และผมคิดว่าทั้งมุสตาฟาและวิลสันคงพิจารณาแล้วว่ามีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง... ใช่ไหมฮะคุณพี่?
“ต้องรีบเปลี่ยนยางเร็ว ๆ” เสียงมุสตาฟาบอก และส่งไฟฉายอีกกระบอกให้ผมช่วยถือส่องแสงสว่างชณะที่วิลสันก็เริ่มค้นหาอุปกรณ์สารพัดจากหลังรถ
ผมช่วยหาหินมาวางล็อคตำแหน่งล้อหน้าล้อหลังท่ามกลางความมืดที่โรยตัวมาปกคลุมป่าอย่างรวดเร็วและไม่นานก็กลายเป็นความมืดที่มิดเสียยิ่งกว่ามิด รถแลนด์ ครุยเซอร์คันนี้มีล้อใหญ่มาก ๆ แม่แรงต้องยกสูงมาก ๆ เพื่อให้เปลี่ยนยางได้ และเราก็ใช้เวลาอยู่นานทีเดียว แต่มุสตาฟาและวิลสันยังคงทำหน้าที่ไกด์อย่างต่อเนื่องด้วยการอธิบายไปเรื่อย ๆ ระหว่างเปลี่ยนยาง เสียงบรรยายของเขาช่วยทำลายความวังเวงลงได้มาก
“ค่ำ ๆ แบบนี้สิงโตจะออกหากิน เพราะบางทีกลางวันมันร้อนเกินไป เราเคยเจอตอนค่ำแบบนี้แหล่ะ... บ่อย ๆ ด้วย” มุสตาฟาเล่าและผมก็เริ่มยืนไม่เป็นสุข..... ทำไมเขาถึงต้องมาเล่าเรื่องสิงโตตอนนี้ด้วยนะ
“ฟืดดดด ฟาดดดด..” มีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากริมน้ำ “ที่ร้องฟืดฟาดดังขึ้นมาเมื่อสักครู่ก็คือเสียงฮิปโปนั่นเอง ฮิปโปก็ชอบขึ้นฝั่งมาตอนค่ำ ๆ ... แบบช่วงเวลานี้แหล่ะ พวกมันขึ้นจากน้ำมาเดินหาหญ้ากิน ตอนกลางวันมันจะพากันหลบแดดในน้ำ ตอนนี้ถึงจะขึ้นบก บางทีมันเดินไปไกลหลายกิโลเมตรเลยนะ” มุสตาฟายังคงทำหน้าที่ไกด์อย่างไม่บกพร่อง พร้อม ๆ กับที่ผมหันไปมองริมแม่น้ำชีเร่ (Shire) ที่กำลังไหลเอื่อย ๆ อยู่ด้านหลัง และพยามยามเพ่งมองฝ่าความมืดออกไปหาว่าฝูงฮิปโปฝูงนั้นอยู่กันตรงไหน พร้อมกับนึกภาพจำเมื่อช่วงบ่ายว่าผมเห็นพวกมันกี่ตัว จินตนาการกำลังเล่นตลกกับผม ผมแอบเห็นภาพว่าพวกมันกำลังชักชวนกันเดินขึ้นบกมาหาหญ้า..... แล้วมันกำลังจะแวะมาทักทายเรา
“เสือก็ออกหากินค่ำ ๆ เหมือนกัน” มุสตาฟาเล่าเสียงใสพร้อมกับเปลี่ยนยางไปเรื่อย ๆ ผมชักรู้สึกคอแห้งผากขึ้นมา
“ไฮยีน่ากับงูเหลือมก็ออกหากินค่ำ ๆ แบบนี้เหมือนกัน มันเป็นสัตว์ที่.......” วิลสันเริ่มเล่าบ้าง
“ดะ.. ดะ.. ดะ.. เดี๋ยวก่อนมุสตาฟากับวิลสัน เราว่าพวกยูรีบเปลี่ยนยางกันเร็ว ๆ เหอะนะ... นะ พอขึ้นรถแล้วค่อยเล่าต่อนะ... นะ” ผมรีบขัดและขยับไปใกล้พวกเขาอีก
เสียงฮิปโปดังลอยมาตามลมแรงเป็นระยะ ๆ และไฟฉายก็ดับลงวาบ รอบตัวมืดสนิท
“เฮ้ย....” ผมเฮ้ยออกมา แล้วรีบตบ ตบ ตบกระบอกไฟฉายให้ติดอีกครั้ง มุสตาฟาหัวเราะเสียงใสพร้อมย้ำว่า “เกือบเสร็จแล้ว อย่ากลัวเลย” จากนั้นเขาฮัมเพลงต่อเบา ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ
“เร็ว ๆ หน่อยก็ดีนะพี่นะ” ผมลุ้นในใจและอีกไม่นานการเปลี่ยนยางก็จบลงเรียบร้อย ผมนี่โล่งใจมาก ๆ รีบปีนขึ้นรถรัว ๆ ลมเย็นยะเยือกยังคงพัดมาปะทะ เสียงฮิปโปยังคงดังฟืดฟาด.... แต่คราวนี้มันฟังเพราะกว่าเมื่อสักครู่นี้มาก ๆ ซาฟารีครั้งแรกของผมก็จบลงไปด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ และเมื่อกลับมาถึง Mkulumadzi Lodge อันเป็นที่พัก เฮนดริก ผู้จัดการหนุ่มก็รอผมอยู่แล้ว
“สำหรับพรุ่งนี้เช้า จะเลือกซาฟารีแบบไหนดีครับ? วันนี้นั่งรถแบบ Game Drive มาแล้ว พรุ่งนี้ลอง Walking Safari บ้างไหม?” เฮนดริกถามพร้อมเสนอไอเดีย
ผมนึกถึงความตื่นเต้นที่เพิ่งเผชิญมาเมื่อสักครู่แล้วก็คิดว่าถ้าเรามีโอกาสเดินด้วยสองเท้าเข้าไปในป่าเพื่อตามหาสัตว์ต่าง ๆ บ้างก็คงจะดีไม่น้อย แต่คราวนี้ขอแบบมีแสงแดดหน่อยก็ละกันนะ แบบมืด ๆ อย่างเมื่อสักครู่นี้ ผมแทบไม่อยากก้าวลงจากรถเลย
“งั้นขอเป็นแบบเดินเท้า Walking Safari ละกันครับ” ผมตอบไปอย่างไม่ลังเล
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าตอนตีห้าจะมีเจ้าหน้าที่เดินไปเคาะประตูปลุกที่กระท่อมนะครับ ทานกาแฟกับบิสกิตที่เพิ่งอบใหม่ ๆ ร้อน ๆ รองท้องเสียก่อนจะได้มีแรงเดิน แล้วพอสักหกโมงครึ่งค่อยเริ่มออกเดินนะครับ” เฮนดริกชี้แจงกำหนดเวลา
กระท่อมหมายเลขหนึ่งของผมอยู่ไกลสุด เงียบสุด และมืดสุด จึงใกล้ชิดธรรมชาติมาก ๆ แม่น้ำชีเร่ที่ไหลเอื่อยผ่านหน้ากระท่อมพักนั้นเต็มไปด้วยจระเข้และฮิปโป ตั้งแต่คืนแรกนั้นผมก็ได้ยินเสียงฮิปโปร้องอยู่ริมระเบียงหน้าห้องพักอย่างชัดเจน มีเสียงเดินสวบสาบของมันป้วนเปี้ยนไปมาด้วย ผมนอนฟังเสียงของมันตลอดคืนอย่างตื่นเต้น แต่ผมไม่กล้าจะแหวกมุ้งออกมาจากกระท่อม และทำได้แค่พยายามหรี่ตามองหาพวกมัน แต่ทุกอย่างก็มืดมากจนผมมองไม่เห็นอะไรเลย
พรุ่งนี้ไป Walking Safari แล้วจะได้เจอพวกมันไหมนะ?
ตีห้ามีเจ้าหน้าที่มาปลุกพร้อมกระติกกาแฟร้อนและบิสกิตโหลใหญ่ พ่อครัวที่ Mkulumadzi Lodge นั้นฝีมือดีมาก ๆ เพราะบิสกิตที่เพิ่งอบมาร้อน ๆ นั้นกรอบนอกนุ่มในพร้อมส่งกลิ่นเนยหอมชื่นใจ พอหกโมงเช้าเมื่อฟ้าเริ่มมีแสงแดด ผมก็เดินจากกระท่อมมาพบกับมาลี (Mali) ผู้เป็นไกด์ และวิลสัน ผู้เป็นพรานคนเก่งคนเดิม และเราก็เริ่มออกเดินท่องป่าไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษอีกสองคน
กฏข้อแรกของ Walking Safari คือ “ห้ามวิ่งโดยเด็ดขาด ขอให้ทุกคนดูสัญญาณมือจากผมเป็นหลัก ถ้าผมโบกไปข้างหน้าคือตามมา ถ้ายกมือขึ้นคือหยุด และถ้าโบกมือไปข้างหลังคือถอย และถ้าเอามือมาราบกับพื้นคือย่อตัวหรือหมอบ ...ง่ายมาก ๆ ครับ จำได้นะครับ อ้อ....และเราจะใช้เสียงกันน้อยที่สุดด้วยนะครับ” เสียงมาลี ไกด์หนุ่มผิวเข้มบอก
“ในป่ามีสัตว์ทุกประเภท ทั้งเสือ สิงโต ช้าง ยีราฟ แรด อิมพาล่า ฯลฯ งูก็มี งูพิษแรง ๆ ทั้งนั้นไม่ว่ากรีนแมมบาหรือแบล็คแมมบา รวมทั้งงูเห่าพ่นพิษแห่งโมซัมบิก ต้องระวังตัวกันมาก ๆ นะครับ” มาลีย้ำอีกรอบ จากนั้นทุกคนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง และออกเดิน ผมรี่มาอยู่หน้าสุดติดกับมาลีและวิลสันเลย ....ยังไงก็ขอ Safety First ไว้ก่อนล่ะนะ
จากลอดจ์ เราเดินเลียบแม่น้ำชีเร่ที่ไหลเอื่อย ๆ อย่างสงบในตอนเช้า และเริ่มเข้าป่าโดยมาลีใช้เสียงเบา ๆ คอยอธิบายถึงต้นไม้และสัตว์ต่าง ๆ เท่าที่เราพบ ไม้ว่าจะพบตัวมันเป็น ๆ หรือพบแต่เฉพาะซาก รอยเท้า หรือโพรงของมัน ในชั่วโมงแรก ๆ เราก็เจอสัตว์เยอะมาก ๆ มันคือสัตว์ประเภทกวางอย่าง วอเตอร์บัค เอ็นยาลา และอิมพาล่าซึ่งยืนกันเป็นฝูงและขี้ตกใจมาก ๆ คอยแต่จะโดดหนีเราอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะย่องไปหาอย่างเกรงใจสุด ๆ และเว้นระยะห่างสุด ๆ แล้วก็ตาม มันก็ยังกระโดดหยองแหยงหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย และถ่ายรูปยากมาก ๆ
พอเดินไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ ก็มีงูสีดำเลื้อยอย่างว่องไวอยู่ที่พื้น ผมตกใจจนตัวแข็งทื่อและแอบคิดว่านี่ต้องเป็นเจ้างูแบล็คแมมบาอันแสนร้ายกาจแน่ ๆ แต่มาลีบอกว่าไม่แน่ใจเพราะยังดูเป็นงูเด็ก ๆ ที่วิเคราะห์ยากมากว่าเป็นพันธุ์ไหน ต้องรอให้โตกว่านี้ก่อน ถึงจะเป็นลูกงูแต่มันก็ทำให้ผมเสียววาบและผมก็พยายามเพ่งทางเดินโดยใช้สมาธิจดจ่อเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ตามต้นไม้มักจะมีเจ้าลิงบาบูนและลิงชนิดต่าง ๆ ที่จำชื่อไม่ได้ ลิงพวกนี้ชอบอยู่บนต้นเชสนัทที่มีเนื้อไม้ขาวกระจ่างมาก ๆ หากเอามือลูบที่ลำต้นของมันก็จะมีผงสีขาวนวลติดมือมาด้วย
ในชั่วโมงที่สอง เราเดินออกจากป่ามาที่ริมน้ำ เราเห็นโขลงช้างอยู่ไกล ๆ ห่างออกไปหลายกิโลเมตร แต่เราก็รู้สึกเย็นวาบไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อตระหนักว่าเรากับเขาอยู่ในบริเวณเดียวกันแบบปราศจากกรงกั้น ที่หาดริมน้ำก็มีจระเข้และฮิปโปเป็นดาราหลัก พวกจระเข้ก็จะนอนนิ่ง ๆ ราวก้อนหินพร้อมอ้าปากกว้างอย่างที่พบเสมอ ส่วนฮิปโปก็หมกตัวในแม่น้ำเห็นใบหูกระดุกกระดิกอย่างน่ารัก .....แต่
“ฮิปโปวิ่งเร็วมาก ๆ เลยนะครับ เร็วกว่ามนุษย์เสียอีก และยังหวงอาณาเขตมาก ๆ มีสถิติว่าฮิปโปทำร้ายมนุษย์มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ มากกว่าเสือ หรือสิงโตด้วยซ้ำ” มาลีเล่าให้เราระวังและอย่ายืนชิลกันเกินไปนักแม้จะอยู่ห่างจากพวกมันพอสมควร
นกก็มีเยอะมาก ๆ และนกที่ผมปลื้มสุดคือนก White-Crowned Lapwings (Prover) ที่มักจะทำรังบนพื้น และพร้อมจะบินมาจู่โจมเราทันทีที่เราเดินไปใกล้รังของมัน วันนั้นเราเจอนกชนิดนี้บินพุ่งใส่บ้าง บินวนขู่บ้างอยู่หลายรอบ นกชนิดนี้ดุเอาเรื่องเลย
“มาลี... มาลี... แล้วถ้าเดิน ๆ ไปเจอสิงโตล่ะ” ผมกระซิบถามมาลี ไกด์คนเก่ง
“Don’t worry. I shall handle it” มาลีตอบสั้น ๆ แต่ผมก็ยังแอบสงสัยว่า “I shall handle it” มันคืออะไร?
“อย่ากลัวแต่เฉพาะสิงโตนะ ความจริงสัตว์ทุกชนิดอันตรายหมดหากพวกมันรู้สึกว่ากำลังโดนรุกราน ต้องระวังประเด็นนี้มาก ๆ” วิลสันช่วยเสริม
ตลอดสามชั่วโมงที่เราเดินเลียบแม่น้ำ บุกป่า ฝ่าดง ผมพบว่า Walking Safari นั้นสร้างความตื่นเต้นมาก ๆ เพราะเรากำลังอยู่ในบริเวณเดียวกับสัตว์โดยไม่มีอะไรมากีดขวางเลยที่สำคัญคือการได้สังเกตรายละเอียดอย่างมูลสัตว์ว่าเป็นของชนิดไหน สังเกตรอยเท้าและลองแกะรอยซึ่งหลายครั้งที่เราตื่นเต้นเมื่อทราบว่ามันคือรอยเท้าของเสือ แรด ช้าง หรือฮิปโปที่เพิ่งผ่านตรงจุดนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หรือการสังเกตโพรงว่าเป็นของสัตว์ประเภทใด และวันนั้นผมเห็นโพรงเม่น กับตัว Aardvark จนเวลากว่าสามชั่วโมงหมดลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมความรู้เรื่องธรรมชาติของสัตว์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งประเภทและประโยชน์ของต้นไม้ในท้องถิ่น แต่ผมก็ยังไม่เจอสิงโตเสียที
เราจบ Walking Safari ด้วย Bush Breakfast ที่เฮนดริก ผู้จัดการ Mkulumadzi Lodge ลงทุนพาเชฟ และพนักงานเสิร์ฟมาตั้งโต๊ะบริการอาหารเช้าถึงกลางป่า
“โอ้โห... หรูหราจัง” ผมตื่นเต้นกับมื้อพิเศษในสถานที่พิเศษนี้มาก ๆ
“มันเป็นประเพณีที่เราจะจัด Bush Breakfast ให้แขกทุกคนได้ลองครับ ยิ่งเพิ่งเดินขึ้นเขาลงห้วยมากว่าสามชั่วโมงแบบนี้ยิ่งต้องเพิ่มพลังกันหน่อย” เฮนดริกเล่าความเป็นมาของอาหารเช้าพิเศษมื้อนี้
อากาศเย็นจนหนาว แต่เมื่อได้ English Breakfast ที่มาพร้อมชาร้อนแบบนี้แล้วก็เลยหายหนาวไปทันที
“ที่มาลาวีไม่เคยมีเหตุการณ์สัตว์ทำร้ายคนจาก Walking Safari เลย ทั้งไกด์และเจ้าหน้าที่ต้องผ่านการทดสอบและอบรมอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พรานที่มือปืนอย่างวิลสันนั้นก็มีฝีมือมาก ๆ” มาลีเล่าให้ฟังระหว่างอาหารเช้าสุดเก๋
“สัตว์ทุกตัวในอุทยานแห่งชาติมาเจเต้เป็นสัตว์สงวน ใครทำร้ายมีโทษสถานหนัก เราทำได้เพียงยิงขู่เท่านั้น และที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใด ๆ เลย” เฮนดริกช่วยเสริม
Walking Safari จัดขึ้นเพื่อให้มนุษย์ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เรียนรู้จากธรรมชาติ และอยากให้เห็นว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมพื้นที่กับสัตว์ได้เช่นกัน ทุก ๆ วันที่ผมพักที่ Mkulumadzi Lodge คือความตื่นเต้น ทุกวันเป็นไฮไลตที่ผมเลือกไม่ได้เลยว่าช่วงเวลาไหนสนุกตื่นเต้นกว่าเวลาไหน
Image Contribution : Robin and Pope Safaris และโลจน์ นันทิวัชรินทร์