ก็องวิเย่ เวนิสแห่งแอฟริกาตะวันตก
“ชนเผ่าโตฟีนูว่ายน้ำเป็นก่อนจะเดินได้อีกนะ” เสียงลุงโคฟี่ ไกด์อารมณ์ดีของเราดังขึ้นบนรถขณะที่เรากำลังเดินทางจากเมืองโกโตนู (Cotonou) เพื่อมุ่งหน้าไปยังก็องวิเย่ (Ganvié) เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ธรรมดาเพราะได้รับสมญานามว่า “เวนิสแห่งแอฟริกาตะวันตก”
จากสมญานามก็อาจจะทำให้พอเดาได้ว่าก็องวิเย่คือเมืองที่สร้างขึ้นบนน้ำ ประชากรเกิดและใช้ชีวิตเติบโตมากับสายน้ำ บ้านเรือนที่อยู่อาศัยและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ก็คงสร้างอยู่เหนือน้ำ ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยทรัพยากรที่ได้รับมาจากน้ำ จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองแฝดกับเวนิส และก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมชนเผ่าโตฟีนู (Tofinu) ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะว่ายน้ำเป็นก่อนเดินได้เสียอีก แต่ที่ผมอยากรู้มาก ๆ ก็คือทำไมพวกเขาถึงได้ (อุตริ) มาลงหลักปักฐานกันที่นี่? อะไรหนออะไรที่บันดาลใจให้เขาหอบผ้าหอบผ่อนย้ายมาอยู่เหนือน้ำกันแบบนี้?
“ไว้ไปถึงแล้วจะเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน” แน่ะ....ลุงโคฟี่ทำเป็นอุบอิบมุบมิบ
“ได้ ได้ ได้... รอก็ได้ครับลุง งั้นแปลว่าเช้านี้ลุงจะพาเราจะไปเทียวที่อื่นก่อนไปก็องวิเย่หรือครับ?” ผมถาม
“ใช่ ใช่ ใช่.... เราจะไปที่อื่นก่อน เช้านี้จะพาไปเที่ยวเมืองปอรโต โนโว เมืองหลวงของเบนินนับตั้งแต่เริ่มสร้างอาณาจักรรวมถึงเมื่อครั้งยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เราควรไปดูมัสยิดแห่งปอรโต โนโวกัน ขอบอกว่าสวยถึงขั้นกรีดร้องเลย” โห... ลุงโคฟี่บิ๊ลด์อารมณ์จนผมและพี่ ๆ น้อง ๆ อยากจะเร่งให้ลุงตีตี้รีบขับรถไปให้ถึงไว ๆ
เมื่อเราเดินทางมาถึงย่านเมืองเก่าของปอรโต โนโว ผมก็แอบเห็นอาคารเก่าที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยลโปรตุเกสบ้างไม่ก็ฝรั่งเศสบ้างแผ่กระจายไปตามซอกเล็กซอยน้อยที่ยังเป็นถนนอิฐแบบยุโรป ความจริงตัวอาคารนั้นสวยมาก ๆ แต่ก็หมองและทรุดโทรมลงมากจนน่าตกใจ ผมแอบจินตนาการว่าถ้าอาคารเก่าเหล่านี้ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี เมืองนี้คงสวยงามมากขึ้นอีกหลายเท่า แต่สิ่งที่ควรชื่นชมชาวเมืองก็คือเขาร่วมกันรักษาสภาพแวดล้อมของย่านเมืองเก่าได้ดีมาก ตึกใหม่ ๆ ที่ไม่เข้าพวกนั้นแทบไม่ปรากฏอยู่ในย่านนี้เลย
ปอรโต โนโว (Porto-Novo) เป็นเมืองโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 เพือเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรดาโฮเมย์ (Dahomey) อันเป็นชื่อเดิมของประเทศเบนิน โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชนชาติแรกที่เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนนี้โดยเข้ามาตั้งสถานีการค้าขึ้นที่ชายฝั่งอ่าวกินี และสินค้าสำคัญได้แก่น้ำมันปาล์ม น้ำตาล ฝ้าย นุ่น เป็นต้น ส่วนสินค้าที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้ชาวยุโรปก็คือ ทาส ชื่อเมืองปอรโต โนโว นั้นก็มาจากภาษาปอรตุเกสและแปลว่า “ปอรโตใหม่” ทั้งนี้เพราะโปรตุเกสตั้งใจที่จะสร้างเมืองนี้ให้งดงามเช่นเดียวกับเมืองปอรโตดั้งเดิมในมาตุภูมิของตน จนเมื่อฝรั่งเศสเข้ามายึดอาณาจักรดาโฮเมย์เป็นอาณานิคมในปี ค.ศ. 1863 ฝรั่งเศสก็ไม่ได้ย้ายเมืองหลวงไปไหนและปอรโต โนโวก็ยังคงสถานะเป็นเมืองหลวงมาจนจนปัจจุบัน
“โอ้โห... นี่โบสถ์อะไรครับลุง สวยมาก ๆ มาก ๆ” ผมมองไปยังโบสถ์สวยสีแนวเอิร์ธโทนผสมเหลืองคลาสิคที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไม่หยุดหย่อน
“นี่ไงล่ะมัสยิดใหญ่แห่งเมืองปอรโต โนโว... อย่างที่บอกไงล่ะว่าสวยจนต้องกรีดร้อง” ลุงโคฟี่เฉลย
มัสยิดใหญ่แห่งปอรโต โนโว (The Great Mosque of Porto Novo) เดิมเป็นวิหารคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกที่สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1923 ถึง 1925 โดยได้รับแรงบนดาลใจมากจากวิหารซัลวาดอร์ ดือ บาเอีย (Salvador de Bahia) ที่ตั้งอยู่ในบราซิลอันเป็นอดีตอาณานิคมของโปรตุเกสด้วยเช่นกัน ทั้งนี้แรงงานที่ก่อสร้างคือทาสแอฟริกันที่เคยไปใช้ชีวิตที่บราซิลและเดินทางกลับมายังที่นี่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของตน ระหว่างที่ใช้ชีวิตที่บราซิลพวกเขาได้พัฒนาศักยภาพรวมทั้งทักษะด้านการก่อสร้างจนสามารถเนรมิตรโบสถ์งามหลังนี้ขึ้นและเป็นสถาปัตยกรรมสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการผสมผสานศิลปะ แบบ Afro-Brazilian ก่อนที่ต่อมาชาวยุโรปจะคืนอำนาจและอิทธิพลของคริสตศาสนาก็เสื่อมถอยลงจนอาณาจักรดาโฮเมย์ได้รับเอกราชและประกาศตนเป็นสาธารณรัฐเบนินในปี ค.ศ. 1976 พร้อมกับที่ศาสนาดั้งเดิมคือศาสนาอิสลามได้คืนกลับมาสู่ดินแดนนี้อีกครั้ง และได้เปลี่ยนวิหารนี้ให้กลายเป็นมัสยิดสำคัญที่สุดของเมืองในปัจจุบัน
หลังจากที่ได้ดื่มด่ำและชื่นชมมัสยิดใหญ่แห่งปอรโต โนโวแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยังก็องวิเย่ เวนิสแห่งแอฟริกาตะวันตกกันเสียทีพร้อมกับข้อข้องใจที่ลุงโคฟี่ต้องเฉลยมาให้ทราบ ณ บัดนาว
“ตกลงว่าทำไมชาวเผ่าโตฟีนูถึงได้เลือกไปสร้างเมืองบนน้ำล่ะครับลุงโคฟี่?” ผมรีบถามหาคำตอบ ขณะที่รถกำลังผ่านถนนจอแจเตรียมจอดให้พวกเราลงตรงท่าเรือ
“ช่วงศตวรรษที่ 16 การค้าทาสในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกกำลังเจริญรุ่งเรืองมาก ชาวเผ่าฟอนเป็นเผ่าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในอาณาจักรดาโฮเมย์และเป็นเผ่าที่ดุร้ายมาก พวกฟอนได้สมรู้ร่วมคิดกับชาวยุโรปในการกวาดต้อนประชากรเผ่าอื่น ๆ ที่อ่อนแอกว่ามาส่งขายไปเป็นทาสเพื่อแลกกับความคุ้มครองตลอดจนเงินทองของกำนัลจากชาวยุโรป ชาวเผ่าโตฟีนูเคยอาศัยอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบโนกูเออย่างสุขสงบมาก่อน เมื่อถูกคุกคามและรุกรานหนักเข้าจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานบ้านเรือนมาอาศัยอยู่ในน้ำแทนเสียเลย วิธีนี้ได้ผลมากเพราะชาวเผ่าฟอนไม่เชี่ยวชาญพื้นที่ และไม่มีทักษะการเอาตัวรอดในน้ำได้ดีเท่าเผ่าโตฟีนู จึงไม่กล้าตามลงไป ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดอย่างปลอดภัยจนหมดยุคการค้าทาส ตั้งแต่นั้นมาชาวโตฟีนูก็ไม่เคยกลับขึ้นไปอยู่บนแผ่นดินอีกเลย” ลุงโคฟี่เฉลยในที่สุด
เรือยนต์ลำใหญ่นั่งสบายพาเราสี่คนพร้อมลุงโคฟี่ออกจากฝั่ง ลัดเลาะไปตามท้องน้ำของทะเลสาบโนกูเอ (Nokoué) ชาวบ้านพายเรือไม้ที่ขุดจากท่อนซุงสวนไปมาดูคึกคัก เรือบางลำเป็นเรือไม้ลำใหญ่ที่ใบกางของเรือทำจากวัสดุรีไซเคิลอย่างถุงปุ๋ยหรือเศษผ้าที่นำชุนต่อกัน บ่ายนั้นลมพัดแรงจนเรือแล่นฉิว อากาศเลยไม่ร้อนอย่างที่คิดแม้แดดจะจ้าพอสมควร เครื่องแต่งกายของหญิงชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นชุดหรือผ้าโพกผมล้วนทำจากผ้าพื้นเมืองแอฟริกันสีสันสดใสช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาและน่าบันทึกภาพมาก ๆ แต่พอเรายกกล้องขึ้นปั๊บ นางแบบของเราจะหันหน้าหนีทันที ไม่ก็เอามือหรือตะกร้าบังใบหน้า และมีอีกหลายคนที่ยกมือห้ามพร้อมส่งสายตาปรามอย่างโกรธ ๆ
เวลาเดินทางในประเทศทางแถบแอฟริกา ผมมักจะได้รับการเตือนเรื่องการถ่ายภาพเสมอ ไม่ว่าภาพบุคคลหรือภาพสถานที่ต่าง ๆ และผมก็พยายามไม่ทำให้ใครต้องอารมณ์เสีย หากผมจะถ่ายรูปใคร ผมก็จะขออนุญาตทุกครั้ง และถ้าได้รับการปฏิเสธ ผมก็จะขอโทษและเดินจากไปด้วยความเข้าใจ ตามข้อมูลที่ผมได้รับทราบมา สาเหตุที่คนแอฟริกาไม่ถูกกับกล้องก็เพราะว่าบางประเทศเคยตกอยู่ในภาวะสงครามมานานจนไม่ไว้ใจกัน บางดินแดนก็มีความเชื่อเรื่องขวัญที่จะอาจจะออกจากร่างไปเมื่อโดนถ่ายภาพ แต่ส่วนใหญ่คิดว่านักท่องเที่ยวชอบนำภาพของพวกเขาไปขายหาผลประโยชน์ หรือไม่ก็นำไปเผยแพร่ในทางเสียหาย เช่นทำให้คนเข้าใจผิดว่าแอฟริกายากจนข้นแค้น ฯลฯ เป็นการสร้างภาพจำในเชิงลบให้กับพวกเขา
แต่สำหรับกรณีนี้การจะขออนุญาตชาวบ้านที่กำลังพายเรืออยู่นั้นก็คงจะเป็นไปแทบไม่ได้ จะให้ผมล่องเรือเข้าไปข้าง ๆ แล้วเอ่ยปากขออนุญาตถ่ายภาพก็ดูจะลำบากทั้งเขาทั้งเรา ดังนั้นหลังจากที่ผมและพี่ ๆ น้อง ๆ ลองยกกล้องเพื่อเตรียมบันทึกภาพไปสักระยะและเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ชอบอย่างจริงจัง เราจึงตัดสินใจบันทึกภาพแต่เฉพาะจากด้านหลังเท่านั้น และงดการบันทึกภาพใด ๆ ที่จะเห็นใบหน้าของพวกเขาโดยเด็ดขาด ดังนั้นบันทึกนี้จึงมีภาพหลังของชาวเผ่าโตฟีนูเป็นหลักนะครับ
เรือพาเราลัดเลาะร่องน้ำไปตามแนวใบปาล์มแห้ง ๆ สีน้ำตาลที่วางซ้อน ๆ กันคดเคี้ยวไปมาเป็นเหมือนแนวเขื่อนที่ซ้อนไปเรื่อย ๆ ลุงโคฟี่อธิบายว่านี่คือการสร้างโครงข่ายดักปลาตามภูมิปัญญาท้องถิ่น มีชาวบ้านมาตกเบ็ดทอดแหทอดอวนกันอยู่ตรงบริเวณนั้นมากมาย อาจกล่าวได้ว่าชาวก็องวิเย่มีอาชีพอันเกี่ยวเนื่องกับการประมงในอัตรา 100 % เลยทีเดียว และตลาดขายปลาที่รองรับสินค้าของพวกเขาคือที่เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอย่างโกโตนูซึ่งอยู่ห่างออกไปจากนี่เพียงครึ่งชั่วโมง
เรือพาเราชมทิวทัศน์ที่สวยงามไปเรื่อย ๆ จากเขตประมงชายฝั่งก็เริ่มออกสู่พื้นทะเลสาบโนกูเอที่กว้างขึ้นและไกลขึ้น อยู่ดี ๆ เราก็เห็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมากลางทะเลสาบ หมู่บ้านนี้แน่นขนัดไปด้วยบ้านไม้หลายร้อยหลังที่ปลูกอยู่บนเสาสูงแผ่กินอาณาบริเวณกว้างไกล จากการสำรวจพบว่ามีประชากรกว่า 30,000 คนที่อาศัยอยู่บนเมืองน้ำแห่งนี้ เมื่อเข้าสู่หมู่บ้าน เราพบว่ามีคลองสายหลักที่เป็นเหมือนถนนใหญ่ และมีคลองย่อยเป็นเมือนซอยเล็กซอยน้อยที่ลัดเลาะไปยังบ้านที่อยู่หลังถัด ๆ ไป ยิ่งเข้าเขตหมู่บ้านก็ยิ่งพบชาวบ้านคงสัญจรไปมาด้วยเรือพาย พวกเราเก็บกล้องลง ส่งยิ้มหวานพร้อมโบกมือแสดงความเป็นมิตรให้พวกเขา และคราวนี้เราก็เริ่มได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาบ้าง ....มันดีกว่าสายตาโกรธเกรี้ยว หรือการหันหน้าหนีเยอะเลย
อาคารไม้หลายหลังเป็นโบสถ์ เป็นมัสยิด เป็นโรงเรียน เป็นร้านอาหาร เป็นร้านชำ และมีแม้กระทั่งบาร์และเธค ฯลฯ และส่วนมากจะทาสีสันฉูดฉาดดึงดูดสายตา ร้านที่ผมชอบมากคือร้านเสริมสวยที่สาว ๆ ช่างแต่งผมแต่งหน้าอยู่ในเครื่องแบบสีชมพูหวาน พวกเธอกำลังช่วยกันดูแลลูกค้าคนสำคัญที่มีเพียงหนึ่งเดียวของร้านในเวลานั้น ทั้งเลือกวิกและจัดทรงผม เสียงหัวเราะสดใสของพวกเธอลอยแว่วมาตามแรงลม
เราแวะขึ้นไปเดินเล่นที่ร้าน Chez ‘M’ à Ganvié อันเป็นหนึ่งในร้านขายของที่ระลึกที่มีเพียงไม่กี่ร้านเพื่อเลือกหาสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองหรือผ้าพิมพ์ลายสวยติดไม้ติดมือกลับไป รวมทั้งลองทานน้ำมะม่วงเรียกความสดชื่นยามบ่าย เราได้เดินลัดเลาะไปบนสะพานไม้ที่ทอดตัวผ่านบ้านหลายสิบหลังรวมทั้งผ่านโรงเรียน ผ่านร้านชำ ฯลฯ
ก่อนจบการล่องเรือชมความเป็นอยู่ของชาวโตฟีนูที่ก็องวิเย่ เรือพาเราวนไปยังตลาดสดของเมือง ที่นี่มีเรือมากมายหลายลำจอดขายผลิตผลผลิตภัณฑ์มากมายไม่ว่าผักผลไม้สด ข้าวสาร อาหารแห้ง แป้ง ข้าวโพด หัวเผือก หัวมันตลอดจนเนื้อสัตว์ รวมทั้งแชมพู สบู่ วิกผม ยาทาเล็บ หลอดไฟ ฯลฯ ตามที่เราก็พบได้ในตลาดทั่วไป แต่ความเก๋ของที่นี่คือทุกอย่างอยู่บนเรือลำนู้นลำนี้เต็มบริเวณ โดยขาช้อปก็พายเรือออกมาช้อปไปแวะไปตามเรือลำต่าง ๆ ผมนี่อยากจะถ่ายภาพมาก ๆ เลยนะครับ แต่ผมก็ตัดใจว่าผมไม่อยากสร้างความโกรธให้กับใคร และผมก็เลือกใช้สายตาบันทึกภาพไว้แทน
เวลาที่ก็องวิเย่ผ่านไปอย่างเพลิดเพลินตลอดการล่องเรือช่วงบ่ายและก็ถึงเวลาที่เราจะกลับขึ้นฝั่งกันเสียที เรือยนต์หันหัวเรือออกจากตลาด ลัดเลาะคลองเล็กคลองน้อยจนมาออกคลองใหญ่
“เมอซิเออร์ เมอซิเออร์.... ถ่ายรูปหน่อย” มีเสียงเล็ก ๆ ตะโกนเสียงใสมาเป็นภาษาฝรั่งเศส และน้องกำลังชวนให้ถ่ายรูป นี่ผมหูฝาดรึเล่าเนี่ย
ผมหันไปเห็นเด็กชายตัวเล็กเจ้าของเสียงใส ยืนแจวเรืออย่างคล่องแคล่ว แล้วผมก็ยกกล้องขึ้นมาพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงขออนุญาต เจ้าหนูยิ้มรับเขิน ๆ และ “แชะ” นั่นจึงเป็นรูปเดียวที่ผมถ่ายภาพโดยเจ้าของเขาเต็มใจ
“ขอบคุณมาก ๆ นะ Merci beaucoup” ผมตะโกนขอบคุณน้องชายใจดี เขายิ้มเขินอีกครั้ง ก่อนที่เรือจะวิ่งผ่านไปช้า ๆ จนพ้นเขตหมู่บ้านและเร่งความเร็วกลับเข้าสู่ฝั่งพร้อมกับความประทับใจเวนิสแห่งแอฟริกานามว่าก็องวิเย่แห่งนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิตรใหม่คนนี้ที่เป็นคนเดียวที่ให้ผมบันทึกภาพด้วยรอยยิ้มสดใส
Image Contribution : ขอขอบคุณภาพจากดวงฤทัย พุ่มชูศรี Facebook Ning’s Homemade และนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี