ความผูกพันของ Hermès ที่มีต่อ Rouges H สีแดงเข้มที่ผู้คนจดจำไม่รู้ลืม
นิทรรศการ Hermès Heritage 2-13 ตุลาคม 2562 ที่ลานพาร์คพารากอน สยามพารากอน
ความเป็นอมตะของสีแดงอันทรงพลัง ให้อารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งนุ่มนวล สดใส ลุ่มลึก มีเสน่ห์ น่ามอง น่าค้นหา และน่าจับต้อง นิทรรศการ Hermès Heritage นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความผูกพันของ Hermès ที่มีต่อสีแดง ซึ่งคำว่า Rouges ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงสีแดง โดยมีความหลากหลายในเฉดต่าง ๆ ตั้งแต่สีแดงเลือดนก (vermilion) ไปจนถึงสีแดงอมม่วง (magenta) นิทรรศการเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 2-13 ตุลาคม 2562 ที่ลานพาร์คพารากอน สยามพารากอน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ครั้งแรกในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อแบรนด์เครื่องหนังหรูจากฝรั่งเศสนำผลิตภัณฑ์ระดับ museum piece จำนวนกว่า 85 ชิ้น มาจัดแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ พร้อมเผยโฉมร้านใหม่ที่สยามพารากอน ที่เรียกได้ว่าเปิดมาพร้อม ๆ กับห้างชั้นนำ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ร้านโฉมใหม่นี้งดงามด้วยรายละเอียด การตกแต่งภายในของการออกแบบสถาปัตยกรรมโดย RDAI ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบจากปารีส และมีการผนวกงานหัตถศิลป์ของไทยอย่างพิถีพิถันเข้าด้วยกันบนที่พื้นที่กว่า 277 ตร.ม
โดยนิทรรศการนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมา และมรดกที่มีความสำคัญของ Hermès ตั้งแต่ค.ศ. 1837 ซึ่งก่อตั้งโดย Thierry Hermès ผลงานที่นำมาจัดแสดงนั้นมีความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในด้านการใช้สี รูปแบบ และลวดลาย ที่สืบทอดมายังดีไซเนอร์และช่างฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะความผูกพันของ Hermès ที่มีต่อสีแดง อีกทั้งยังจัดแสดงผลงานหัตถศิลป์ชั้นเลิศของช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส ที่ถ่ายทอดมาจากช่างทำอานม้าอันเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์ โดยพื้นที่ในการจัดแสดงของนิทรรศการในครั้งนี้แบ่งออกเป็นห้าส่วน เป็นผลงานบางส่วนจากคอลเล็กชั่นสะสมอันเลอค่าของ Émile Hermès คลังสะสมผลงานของ Hermès และ ผลงานร่วมสมัยของ Hermès
เริ่มจากอานม้าที่นำมาจัดแสดงนั้น เป็นอานม้าทหารสำหรับใช้ในพิธีการ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ประกอบด้วยหนังโมร๊อกโก ทองเหลืองและผ้าไหมกำมะหยี่ จากคอลเล็กชั่นของ Emile Hermes กระเป๋าหนังจระเข้รุ่นคลาสสิก ยอดนิยม และไม่สามารถประเมิณค่าได้ อย่าง Birkin โดย Jean-Louise Dumas ปี ค.ศ. 2005 จากคอลเล็กชั่น Conservatory of Creations เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ระดับตำนานของ Hermès ที่นำมาจัดแสดง และแสดงออกถึงความทรงพลังของสีแดง
มาดาม มานูด์ เดอ บาโซแลร์ ผู้บริหารระดับสูงของ Hermes กล่าวในระหว่างพิธีเปิดนิทรรศการว่า สีแดงเข้ม คือสีที่ใช้ในการตกแต่งร้านแห่งแรกของ Hermès ที่ Faubourg Saint-Honore กรุงปารีส ในยุคที่ Émile Hermès เข้ามาสืบทอดกิจการต่อจากบรรพบุรุษ ช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการรวบรวมคอลเล็กชั่นสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นสีที่ใช้สะท้อนความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์และตำนานอันเก่าแก่ของ Hermès เพื่อสร้างเป็นแรงบันดาลใจในห้องทำงานของเขาเองอีกด้วย เขาได้ร่วมงานกับช่างฟอกสีหนังมากฝีมือหลายท่าน เช่น เจ้าของโรงฟอกหนัง Combe Tannery เพื่อพัฒนากรรมวิธีการฟอกสีหนังวัว box calf ให้เกิดเป็นผืนหนังคุณภาพเยี่ยมและให้มีสีแดงงามสง่าและทนทาน ส่งผลให้เป้าหมายของ Hermès ที่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นมีความเป็นไปได้ขึ้นมา โดยยังคงให้ความสำคัญต่อคุณค่างานฝีมือในอดีต ควบคู่ไปกับการเปิดรับแรงบันดาลใจจากความก้าวหน้าแห่งยุคสมัย สีแดงเข้มที่เป็นเอกลักษณ์นี้ถูกนำมาแบ่งออกเป็นเฉดสีมากมายและกลายเป็นความคงทนของ Hermès ที่ผู้คนจดจำไม่รู้ลืม
ซึ่งนอกจากกระเป๋า Birkin แล้วยังมีกระเป๋าหนังอีกมากมายถูกนำมาจัดแสดง อาทิ กระเป๋าหนังลูกวัว Evelyne ปีค.ศ. 1978 จากคอลเล็กชั่น Conservatory of Creations กระเป๋า Cabacity จากคอลเล็กชั่นฤดูหนาวในปีค.ศ. 2015 ผลิตจากหนัง Hunter cowhide และ Cristobal bullcalf
อย่างไรก็ดี ชิ้นงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเครื่องหนังเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้านด้วย และโลกของศิลปะการบังคับม้า เช่น หมวกขี่ม้าที่ผลิตจากหนังจระเข้มิสซิสซิปปี ช่วงปี ค.ศ. 1990 เสื้อแจ็กเก็ต บังเหียนและอานม้า หน้ากากครอบหูม้า เฉดสีแดงบนรองเท้าบูท ถุงมือจากหนังแกะและกวางเรนเดียร์ นาฬิกาพกพา Ermeto ผลิตโดย Movado ปี ค.ศ. 1918 หนัง box และโลหะเงิน นาฬิกา Cape Cod ปี ค.ศ. 2017 ที่มีสายรัดข้อมือแบบ double tour อันเป็นสัญลักษณ์ และแม้แต่การนำสีแดงมาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นน้ำหอม Rouge Hermès โดย อะคิโกะ คาเมอิ เมื่อปีค.ศ. 1984 ภายใต้ชื่อ Parfum d’Hermès
นิทรรศการจบลงด้วยชุดกระโปรงยาวสีแดง ทำจากผ้าไหมซาติน ตัดเย็บแบบ French style โดย Claude Brouet จากคอลเล็กชั่นฤดูหนาวปี ค.ศ. 1995 ตู้เครื่องประดับที่มีดีไซน์ร่วมสมัย และรายละเอียดในโครงสร้างอันงามสง่าของไม้มะฮอกกานีสี Rouge H แสดงออกถึงความวิจิตรบรรจงราวกับการสร้างสรรค์งานศิลปะ วัสดุที่นำมาใช้นั้นมีตั้งแต่ไม้ไปจนถึงคริสตัล เครื่องหนังและผ้าไหม สะท้อนถึงความหลากหลายของวัสดุและสีสัน ที่เมื่อนำมาผสมผสานกันแล้วเกิดเป็นความงดงามประณีตที่เป็นดั่งจิตวิญญาณของ Hermès ได้อย่างชัดเจน
Bruno Gaudichon ภัณฑรักษ์ผู้จัดแสดงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ศิลปะและอุตสาหกรรมในเมือง Roubaix (ประเทศฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นภัณฑรักษ์ของนิทรรศการ Rouges Hermès ร่วมกับดีไซเนอร์ผู้ออกแบบนิทรรศการ Laurence Fontaine ได้เลือกที่จะนำเสนอรูปแบบของนิทรรศการให้มีความคล่องตัวแต่ยังสะท้อนถึงความเฟื่องฟูของมรดกแต่ละชิ้นไว้อย่างน่าประทับใจ
ปัจจุบัน Hermès ยังเป็นบริษัทของครอบครัวที่อยู่ภายใต้การนำของ Axel Dumas ผู้สืบทอดรุ่นที่หก ซึ่งบริหารงานในฐานะ CEO มาตั้งแต่ปี 2013 และยังอุทิศตนให้กับการอนุรักษ์ผลงานหัตกรรมของฝรั่งเศสผ่านเวิร์คช็อปของแบรนด์ทั้ง 42 แห่ง และร้านกว่า 310 แห่งใน 49 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้มูลนิธิ Fondation d’entreprise Hermès ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 ซึ่งเป็นโครงการที่ให้การสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของช่างฝีมือ การถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงให้การสนับสนุนในความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นิทรรศการ Hermès Heritage จึงเป็นการทำความรู้จักกับแบรนด์ในมุมมองใหม่และเปิดบทสนทนาว่าด้วยเรื่องราวของสีแดงเข้มของ Hermès หรือ Rouge H นั่นเอง
ในส่วนของร้านที่ได้รับการตกแต่งใหม่ของ Hermès นั้น ได้รวบรวมงานหัตถศิลป์ของไทยที่มีความละเอียดประณีตงดงาม มาผนวกในร้านเช่นกัน ตั้งแต่แนวกระจกบริเวณหน้าร้านที่รับกับฉากกั้นไม้ฉลุลายที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านเรือนไทย สร้างบรรยากาศพื้นที่ให้มีความเป็นส่วนตัวด้วยเทคนิคลายฉลุที่มีความโปร่งและทึบ เพิ่มความโดดเด่นให้กับด้านหน้าร้านด้วยตู้โชว์ขนาดใหญ่ แขกผู้มาเยือนจะพบกับโลโก้ ex-libris ต้อนรับอยู่บริเวณทางเข้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน Hermès ทั่วโลก หนึ่งในความพิเศษคือโลโก้นี้ทำจากสเตนเลส สตีล ถูกฝังลงบนพื้นไม้ไผ่สีคาราเมลเข้ม และด้านบนประดับด้วยโคมไฟ Grecques ที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับร้าน Hermès มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925
ที่สำคัญคือร้านแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจจากงานผ้าไหมไทยและเครื่องจักสาน “ย่านลิเภา” สีที่เข้มของเครื่องจักสานตกแต่งอย่างกลมกลืนไปกับผนังร้าน เมื่อถูกนำมาตกแต่งร่วมกับเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนที่ทำจากไม้เชอรี่ช่วยคุมโทน และสร้างบรรยากาศภายในร้านให้ดูอบอุ่น รวมถึงพรมสีเหลืองหญ้าฝรั่น ที่ตัดกับสีส้มมะขามและสีแดงทับทิมยิ่งเพิ่มสีสันให้น่าค้นหา พื้นที่ในโซนแรกยกให้ผ้าพันคอ น้ำหอม เครื่องประดับจิวเวลรี่ รวมไปถึงสินค้าในกลุ่ม Equestrian และคอลเล็กชั่นของตกแต่งบ้าน พื้นที่ส่วนกลางที่ตบแต่งอย่างสวยงามด้วยพื้นโมเสกอันเป็นเอกลักษณ์ของร้าน เผยให้พบกับโซนเครื่องหนัง เครื่องแต่งกายของบุรุษและสตรี รวมทั้งคอลเล็กชั่นนาฬิกาและจิวเวลรี่