'Raffle Hotel Le Royal Phnom Penh' ที่พักที่เที่ยว...ที่เดียวกัน
เป็นไปได้ครับเป็นไปได้ ผมนั่งยันนอนยันและยืนยันเลยว่าที่พักนั้นสามารถเป็นที่เที่ยวไปพร้อมๆ กันได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์โชกโชนและที่พักของเราดันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของเมืองนั้นด้วยแล้วล่ะก็ ผมถือว่าเราโชคดีมากๆ ที่ได้ใช้เวลาสักระยะหนึ่งในสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของเมืองนั้นๆ เลยทีเดียว
ผมมีเหตุให้ได้เดินทางมาที่กรุงพนมเปญเป็นระยะ และที่พักที่ผมตั้งใจเลือกนับแต่ทริปแรกในเมืองนี้เลยก็คือโรงแรม Raffle Le Royal Phnom Penh หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าโรงแรมเลอ รัวยาล นั่นเอง
โรงแรมเลอ รัวยาลเปิดทำการครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 อย่างหรูหราสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบกัมพูชาผสานกับโคโลเนี่ยลฝรั่งเศสอย่างลงตัว เลอ รัวยาลได้ก้าวขึ้นเป็นโรงแรมอันดับหนึ่งของประเทศในทันที โดยมีโอกาสรับแขกบ้านแขกเมืองระดับพระราชอาคันตุกะในพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา อยู่หลายต่อหลายพระองค์และหลายคน ไม่รวมถึงนักคิดนักเขียน ตลอดจนดารานักแสดงชื่อก้องโลกอีกมากมายก็ต่างแวะเวียนมาที่นี่ ถ้าจะให้ผมเปรียบเที่ยบกับโรงแรมสักโรงแรมในประเทศไทย ผมคิดว่าโรงแรมระดับเดียวกันนั้นคือโรงแรมโอเรียนเต็ลนั่นเอง
เมื่อปี ค.ศ. 1975 ได้เกิดเหตุกลุ่มเขมรแดง (Khmer Rouge) เข้ายึดกรุงพนมเปญ และใช้กำลังช่วงชิงพระราชอำนาจจากพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ จากพระมหากษัตริย์ (King) ทรงถูกริดรอนให้มีบทบาทในในฐานะประมุขแห่งรัฐ (Head of State) เท่านั้น นอกจากนี้กลุ่มเขมรแดงยังใช้กำลังกวาดต้อนประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากส่งไปยังค่ายกักกันทั่วประเทศ ความรุนแรงในรูปแบบของสงครามกลางเมืองจึงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใด และกินเวลาต่อเนื่องอีกหลายปี และได้ฝากเรื่องราวไว้ในโรงแรงแห่งนี้มากมาย
พร้อมไปเที่ยวกับผมรึยังครับ?
รถยนต์คันหรูที่โรงแรมส่งมารับผมที่สนามบินนั้นกำลังเลี้ยวผ่านประตูและวิ่งผ่านหมู่ต้นไม้ใหญ่อันแสนร่มรื่นก่อนจะจอดเทียบอาคารสูงสี่ชั้นที่สวยงามอายุ 90 ปีอาคารนี้ทีเรียกกันว่าอาคารเฮอริเทจ (Heritage) อาคารเฮอริเทจเป็นอาคารแรกของโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ จุดเดิมด้วยสถาปัตยกรรมดั้งเดิมทุกประการ เชื่อหรือไม่ว่าอาคารสี่ชั้นนี้เคยครองตำแหน่งอาคารที่สูงที่สุดในประเทศกัมพูชาอยู่หลายปี และแม้ว่าวันนี้พนมเปญจะเต็มไปด้วยตึกระฟ้า แต่ผมคิดว่าไม่มีอาคารไหนสวยสง่าเกินอาคารนี้อย่างแน่นอน
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในก็จะพบโถงล็อบบี้ที่สูงจากพื้นจรดหลังคาทะลุความสูงอาคารทั้งสี่ชั้น หากแหงนหน้าขึ้นไปก็จะพบทางเดินกระไดเวียนที่ทำจากไม้โอ๊คหนาหนักสีเข้มชั้นดีวนขึ้นไปจากโถงล็อบบี้เพื่อเชื่อมชั้นต่างๆ เข้าด้วยกัน ในอดีตกาลสมัยที่ยังไม่มีโทรศัพท์ติดต่อกันภายในโรงแรม เมื่อใดก็ตามที่แขกระดับหรูต้องการบริการใดๆ ไม่ว่าจะสั่งอาหาร เครื่องดื่ม ขอน้ำร้อนสำหรับอาบสำหรับแช่ ต้องการคนขนสัมภาระ ต้องการคนรีดเสื้อ ฯลฯ ก็จะเพียงแต่เยี่ยมหน้าออกมาจากห้องแล้วตะโกนสั่งลงมายังพนักงานบัทเลอร์ที่จะยืนประจำการรอคำสั่งอยู่ที่โถงล็อบบี้ด้านล่างตลอด 24 ชั่วโมง
น่าเสียดายที่การขานเรียกบัทเลอร์ในอดีตกลายเป็นการใช้โทรศัพท์กดเลข 0 หา Room Service ในวันนี้ แทนเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะครึกครื้นกันไม่น้อย และหากแหงนหน้าสังเกตลวดลายที่วาดประดับไว้บนหลังคา ผมเชื่อว่าทุกคนจะหลงไหลกับเส้นสายและลายสีที่งดงาม ขอกระซิบว่านั่นคือฝีมือของศิลปินเอกในพระราชสำนักเขมรเมื่อ 90 ปีก่อนเลยทีเดียว
โรงแรมเลอ รัวยาลครองความเป็นโรงแรมอันดับหนึ่งมาตลอด และเมื่อกัมพูชาตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง โรงแรมแห่งนี้ได้กลายมาเป็นสถานพยาบาลของสภากาชาดเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บ และต่อมาก็ได้กลายมาเป็นแหล่งพำนักที่ปลอดภัยแหล่งสุดท้ายของชาวต่างชาติรวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมากที่ยังจำเป็นต้องพำนักอยู่ในกรุงพนมเปญในขณะนั้นก่อนที่รัฐบาลเขมรแดงจะใช้กำลังกวาดต้อนชาวต่างชาติทั้งหมดออกจากพื้นที่ของโรงแรมเพื่อส่งไปควบคุมตัวยังสถานทูตฝรั่งเศสและเนรเทศทั้งหมดออกจากกัมพูชาในเวลาต่อมา
หากมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields ที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1984 จะเห็นฉากสำคัญ ๆ หลายฉากที่กล่าวถึงโรงแรมอันเป็นสถานที่หลบภัยแห่งนี้ โดยในปีที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถ่ายทำนั้น สถานการณ์ในกัมพูชายังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่สามารถรองรับกองถ่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศได้ จึงจำเป็นต้องใช้โรงแรมรถไฟที่หัวหินเป็นสถานที่ถ่ายทำและถ่ายทอดเรืองราวแทน
โรงแรมเลอ รัวยาล ต้องปิดตัวลงกว่า 22 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 จนกลับมาเปิดบริการใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1997 โดยมีกลุ่มโรงแรมในเครือ Raffle เข้ามาปรับปรุงและดูแลกิจการสืบมาจนถึงวันนี้
อย่างที่ได้เคยเกริ่นไว้ว่าโรแรม เลอ รัวยาล นั้นเป็นที่พำนักของแขกสำคัญระดับโลกมากมาย แขกสำคัญที่สุดคนหนึ่งคือ จ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส (Jacqueline Kennedy Onassis) อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้เป็นอดีตภรรยาของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี นั่นเอง
จ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส เดินทามายังกัมพูชาในเดือนพฤศจิกายน เมื่อปี พ.ศ. 2510 แม้ว่ากัมพูชาจะยังไม่เข้าสู่ภาวะสงครามเขมรแดง แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแพร่อิทธิพลไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวีนออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับในกัมพูชา โดยอเมริกากำลังสะกัดกั้นอย่างเต็มความสามารถ พร้อมทั้งเหตุการณ์สงครามเวียตนามก็กำลังทวีความดุเดือดรุนแรงอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้ และก่อให้เกิดการต่อต้านและตัดสัมพันธ์กับอเมริกาอยู่ทั่วไป
การเดินทางมาเยือนของจ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส นั้นเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามแสดงออกถึงความเป็นมิตรกับอเมริกาให้มากยิ่งขึ้น และพยายามเริ่มต้นการกระชับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ดังนั้นแม้ว่าจ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิสจะเดินทางมาในฐานะส่วนบุคคลโดยปราศจากตำแหน่งใด ๆ ทางการเมืองการปกครอง แต่พระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุนั้นทรงจัดการับรองเธอประหนึ่งว่าเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) เยี่ยงพระราชอาคันตุกะ และจัดที่พำนักพระราชทานแก่เธอไว้ในห้องหรูของโรงแรมเลอ รัวยาล แห่งนี้
ที่ชั้นสูงสุดของอาคารเฮอริเทจ หน้าห้อง 310 บนประตูไม้เนื้อดีที่หนาและหนักนั้นมีป้ายสลักข้อความสำคัญไว้ว่า “In Honor of Jacqueline Kennedy who visited Cambodia in 1967 to fulfill her lifelong dream of seeing Angkor Wat”
เมื่อเปิดเข้าไปก็จะพบภาพเขียนของเธอประดับไว้ตรงทางเข้า ไม่ไกลกันนั้นก็คือภาพเหตุการณ์วันที่พระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุทรงจัดเลี้ยงอาหารค่ำพระราชทานเป็นเกียรติแก่เธอ ห้องหับที่ตกแต่งสวยงาม พื้นและเตียงไม้สีเข้มสวยพร้อมเครื่องนอนที่ห่อหุ้มด้วยไหมชั้นดี ห้องน้ำแบบที่มีอ่างอย่างในยุโรปเมื่อสมัยก่อน รวมทั้งการตกแต่งที่ใส่ใจทุกรายละเอียดทำให้ห้องนี้หรูหรามากๆ
นอกจากนี้ยังมีบริการบัทเลอร์ เซอร์วิส ชั้นเยี่ยมประจำตัวแขกที่มาพักห้องนี้เป็นรายบุคคลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะช่วยนำเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าไปรีดและนำกลับมาแขวนพับเก็บเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งทำความสะอาดกระเป๋าเดินทางก่อนช่วยจัดของให้ในวัน Check - out
แล้วถ้าแขกของ Jacqueline Kennedy Suite นี้เกิดอยากดื่มชากาแฟหรือทานอะไรแม้แต่ตอนตี 3 ก็แค่กด 0 เรียกก็จะมีบัทเลอร์วิ่งมารับคำสั่งและพร้อมจะจัดการชงเครื่องดื่มหรือสั่งอาหารนั้น ๆ ให้ในทันทีโดยไม่ต้องชำระเงินพิเศษอะไรให้วุ่นวาย
ตอนที่ผมไปขออนุญาตให้เขาพาผมไปชมห้องพิเศษห้องนี้นั้น ผมเกิดอยากรู้ราคาขึ้นมากๆ ว่าเขาคิดเท่าไหร่ และผมก็แอบถามไปแล้วครับ คุณพี่ที่พาผมเดินชมเกิดอาการอิดออดและไม่ยอมบอกราคามา เพียงแต่พยักหน้าแทนคำตอบเมื่อผมถามเขาว่าว่า “มากกว่า 20,000 บาทต่อคืนไหมครับ?”
ดังนั้นลองไปสืบและค้นคว้าหาข้อมูลกันดูสนุก ๆ นะครับ
นอกจากห้อง Jacqueline Kennedy Suite ที่แจ๊กกี้เคยมาพักแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตำนานของโรงแรมนี้อีกครับ
วันนั้นผมเดินไปมาในโรงแรมแล้วอ่านนู่นนี่นั่นไปเรื่อยๆ แล้วผมก็พบสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ นั่นคือแก้วค็อกเทลที่มีรอยลิปสติกติดอยู่บนปากแก้ว ที่ปรากฏอยู่ในตู้ที่รวบรวมสิ่งของอันเป็นประวัติศาสตร์ของโรงแรมนี้ เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ผมก็พบว่าผู้เป็นเจ้าของรอยลิปสติกนี้คือ จ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส ผู้นี้เองครับ
ในค่ำวันนั้นที่พระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอนั้น นอกจากจะทรงดนตรีเพลง Jazz พิเศษเพื่อพระราชทานแก่เธอแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ผสมค็อกเทลสูตรใหม่พระราชทานแก่เธอเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ค็อกเทลพระราชทานนั้นมีชื่อว่า “Femme Fatale” - ฟามม์ ฟาตาล หรือแปลง่าย ๆ ว่า “นารีพิฆาต”
ค็อกเทลพิเศษนี้ประกอบไปด้วยแชมเปญ คอนยัค และแครม เดอ แฟรส โซฟว้าจ (Crème de Fraise Sauvage - สตรอว์เบอร์รี่ป่า) เพื่อให้สีที่ออกมานั้นเป็นสีเดียวกับสีลิปสติกที่เธอใช้อยู่ประจำ นอกจากนั้น ยังเสิร์ฟในแก้วพิเศษที่มีก้านแก้วสีเขียวอ่อน บนแก้วทรงโค้งมนนั้นสลักชื่อโรงแรมว่า “โอแต็ล เลอ รัวยาล” (Hôtel le Royal) ซึ่งเป็นเครื่องแก้วดีไซน์พิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมนี้ ผมรีบตรงดิ่งไปที่ Elephant Bar อันแสนสวยและแสนจะคลาสสิคของโรงแรมเลอ รัวยาลทันทีเพื่อถามหาค็อกเทลฟามม์ ฟาตาล นี้และพบว่าทางโรงแรมยังเสิร์ฟอยู่ด้วยสูตรดั้งเดิมและในแก้วทรงดั้งเดิมเช่นเดียวกัน
พนักงานหนุ่มใจดีสาธิตวิธีการชงค็อกเทลสีชมพูสวยให้ผมดูอย่างละเอียด เสียงเปียโนเล่นสดคลอเบา ๆ อย่างไพเราะ ในบาร์โบราณที่สวยจนตะลึง และเมื่อได้ลองจิบก็พบว่ารสชาติไม่เลวเลย
พนักงานเสิร์ฟเล่าเสริมว่า “แก้วใบจริงที่ จ๊าคเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส ประทับรอยลิปสติกนั้นค้นพบโดยพนักงานคนหนึ่งเมื่อโรงแรมกำลังบูรณะเมื่อนานมาแล้ว และได้นำมาแสดงในหอประวัติของโรงแรมนี้จนถึงวันนี้ อย่างที่คุณเพิ่งเห็นในตู้นั้นล่ะ”
อันนี้ผมก็แอบงงนิดหน่อยนะครับว่าทำไมไม่มีการล้างแก้วล้างชามกันเลยเหรอ? แต่อย่างไรตามถือว่าก็ฟังเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ไว้ก็ละกันนะครับ
สำหรับราคาของค็อกเทลฟามม์ ฟาตาลนั้นคือแก้วละ 15 เหรียญสหรัฐ และหากอยากลองทานอาหารค่ำมื้อพิเศษเฉกเช่นมื้อที่พระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุทรงจัดพระราชทานแก่มาดามเคนนเนดีก็สามารถทำได้ เพราะในห้องอาหารเย็นของโรงแรมนี้จะมีเมนูที่เรียกว่า “Jacqueline Kennedy Heritage Menu” เสริฟในราคา 100 เหรียญสหรัฐ ประกอบไปด้วย Rissole au Foie Gras, Salade du Jardin, Tartine de Tapenade, Médaillon de Bœuf aux Champignons Sauvages และตบท้ายด้วยของหวานคือ Crème Renversée à la Vanille และผมขออนุญาตทิ้งเมนูพิเศษนี้ไว้เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แสนจะเข้าใจยากจนถึงไม่เข้าใจไว้ให้คุณผู้อ่านงงเล่นๆ ต่อไปละกันนะครับ เพราะมันจะอ่านแล้วอรอ่ยกว่าผมแปลมากๆ ครับ
นอกจากประวัติศาสตร์ของสถานที่อันมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาประวัติศาสตร์แล้ว โรงแรมเลอ รัวยาล ยังเป็นโรงแรมเดียวที่ขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่อันควรอนุรักษ์ของประเทศกัมพูชา ในสวนสวยกว้างใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นอายุนับร้อยปีที่ผ่านเหตุการณ์มาพร้อมๆ กันกับอาคารเหล่านี้
ไปๆ มาๆ ผมเพลินเดินเที่ยวในโรงแรมไปหลายชั่วโมง เห็นจะได้เวลาไปนั่งอ่านหนังสือรับลมบ่ายริมสระน้ำเสียหน่อย ว่ายน้ำสลายไขมันสักนิด เผื่อว่าเย็นนี้จะลองจัดเซ็ท Jacqueline Kennedy Heritage Menu มาชิมเป็นบุญปากบ้าง .......
ขอตัวก่อนนะครับ.... ซวนซะเดย์ ครับ
Story by โลจน์ นันทิวัชรินทร์