ฝ่าคลื่นมหาชนชมภาพฝันอันยิ่งใหญ่ของ Monsieur Diorกลางกรุงลอนดอน
เมื่อ Dior แบรนด์เก่าแก่สัญชาติฝรั่งเศสยกนิทรรศการที่เคยจัดกันไปแล้วกลางกรุงปารีส มาขยายให้ละเอียดและลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตในลอนดอน ประเทศอังกฤษ “ขเจน” ขอฝ่าคลื่นมหาชนที่ต่อแถวเข้าชมนิทรรศการนี้กันยาวเหยียดตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ยังไม่เปิดทุกเช้า เข้าไปเก็บข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง
ผู้เขียนมีกิจธุระต้องกลับไปลอนดอนอีกครั้งในปีนี้ แต่ด้วยความที่ก่อนจะไปยังไม่แน่ใจในตารางเวลาของชีวิตระหว่างที่อยู่ที่นั่นเท่าไหร่ จึงตัดสินใจจองตั๋วเข้าชมนิทรรศการ Christian Dior: Designer of Dreams ช้าไปนิด ตั๋วเข้าชมสำหรับการจองออนไลน์ได้ sold out ไปหมดแล้ว แต่ทางเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์แจ้งไว้ว่า ทุกเช้ายังพอมีตั๋วขายอยู่บ้างไม่มากนัก แล้วแต่วัน ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ก็จะนำมาเปิดขายในรูปแบบ first come, first serve ใครมาก่อนได้ก่อน ก็เลยตัดสินใจลองไปเสี่ยงโชคดูสักหน่อย

ซึ่งด้วยความที่ตั้งใจไปแบบไม่ซีเรียสมาก และไม่อยากไปยืนหนาวหน้าพิพิธภัณฑ์นานเกินไป วันแรกที่ไปต่อแถวก็เลยไปถึงราว ๆ 9.50 หรือสิบนาทีก่อนพิพิธภัณฑ์วีแอนด์เอจะเปิด ผลปรากฏว่าหลังจากอยู่ในแถว(ยาวมาก)หน้าพิพิธภัณฑ์ซักครู่ ก็ได้เดินเข้ามายืนเข้าแถวต่อข้างในแบบไม่หนาวเหน็บมากต่อ (โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไปลอนดอนในช่วงเวลาที่ฝนไม่ตกซักแหมะ นึกสภาพว่าถ้าไปยืนกลางความหนาวพร้อมเปียกแฉะไปด้วยคงดูไม่จืด) แต่โชคร้ายที่ไปช้าเกินไปนิด ตั๋วของวันนั้นขายหมดก่อนจะถึงคิวเราประมาณไม่ถึงสิบคน และทางพิพิธภัณฑ์ไม่มีการขายล่วงหน้าข้ามวันด้วย ตอนแรกก็ว่าจะถอดใจ แต่วันสุดท้ายที่อยู่ลอนดอน ช่วงเช้าเรายังเหลือเวลาพอตลอดเช้าจนถึงราว ๆ บ่ายสอง ก็เลยคิดว่า งั้นจะลองเสี่ยงดวงดูอีกครั้ง ตื่นให้เช้าหน่อย ออกไปให้ถึงซัก 9โมง แต่งตัวให้รัดกุมพอที่จะยืนทนหนาวได้เป็นชั่วโมง และนั่นแหละ..ที่ทำให้ในที่สุดเราก็ได้เข้าไปดูนิทรรศการนี้

อารัมภบทยาวมาก เข้าเรื่องกันดีกว่า
จริง ๆ ต้องยอมรับว่าการที่แบรนด์แฟชั่นซักแบรนด์จะริเริ่มทำนิทรรศการอะไรแบบนี้ออกมา มันเป็นไปด้วยเหตุผลทางการตลาดชัดเจนอยู่แล้ว ใครเข้าไปชมก็จะเห็นชัดว่า Dior เอา heritage ของสิ่งที่แบรนด์เป็นออกมาแบให้ทุกคนได้เห็นว่า แบรนด์นี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างไร เริ่มตั้งแต่ monsieur Christian Dior เกิดและเติบโตที่ไหน สร้างห้องเสื้อขึ้นมาอย่างไร แล้วความยิ่งใหญ่ในงานของเขาคืออะไรบ้าง เรื่อยมาจนถึงหลังจากที่ผู้ก่อตั้งเสียชีวิตไป ใครก้าวเข้ามาเป็น creative director บ้าง และแต่ละคนได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์อะไรทิ้งไว้เป็น legacy ให้กับห้องเสื้อแห่งนี้บ้าง

ซึ่งแน่นอน เราย่อมปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเดียวกันว่า Dior มีของดีจะโชว์ให้เราได้เห็น และนิทรรศการนี้ก็ได้รับการ curateมาอย่างพิถีพิถัน ด้วยการแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ที่เริ่มจากห้องประวัติของผู้ก่อตั้ง ที่ก็ต้องมี “New Look” หรือชุด Bar Suit ที่ปฏิวัติการแต่งกายของสตรีมานับตั้งแต่ปี 1955 ให้ได้เห็นกันด้วย จากนั้นก็ตามด้วยการจัด category ของผลงานทั้งหมดจากห้องเสื้อ Dior ว่างานสร้างสรรค์จากแบรนด์ (โดยไม่เกี่ยงว่าใครเป็นดีไซเนอร์) นั้นมีจุดร่วมอะไรบ้าง เช่น ห้องรวมงานที่รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ ห้องรวมงานที่กลั่นแรงบันดาลใจออกมาจากการท่องเที่ยว ห้องรวมชุดที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างวิจิตรและพิถีพิถันสุด ๆ ด้วยแรงบันดาลใจจากดอกไม้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้น่าดูชมและตระการตามาก ๆ เพราะแต่ละชุดที่ curator เลือกมาจัดวางในห้องนิทรรศการนั้น โชว์ให้เห็นทักษะและความละเมียดละไมในการสร้างสรรค์ผลงาน อย่างที่ห้องเสื้อกูตูร์ระดับโลกพึงมี

จากนั้นเป็นคิวของห้องประวัติที่ไล่เรียงประวัติขนาดสั้น แนวทางการทำงาน และผลงานของ creative director แต่ละคนตลอดประวัติศาสตร์ของห้องเสื้อ เริ่มจาก Yves Saint Laurent อดีตผู้ช่วยมือขวาของ monsieur Dior ที่หลังจากผู้ก่อตั้งเสียชีวิตกะทันหัน เขาก็ขึ้นมารั้งตำแหน่งนี้ในวัยเพียง 21 ปี (ก่อนที่จะถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติหลังทำงานได้ไม่นาน แล้วถูกผู้บริหาร Dior ปลดกลางอากาศในระหว่างที่ยังไม่กลับมา จนเป็นผลให้อีฟและ Pierre Berge คนรักและ business partner ของอีฟตัดสินใจฟ้อง Dior และชนะ และเอาเงินมาเป็นส่วนหนึ่งของทุนในการเปิดห้องเสื้อของตัวเอง กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่มาจนทุกวันนี้ – ซึ่งแน่นอน ตรงนี้ในนิทรรศการไม่ได้เล่า) เรื่อยมาจนถึง Marc Bohan, Gianfranco Ferre, John Galliano, Raf Simons และ Maria Grazia Chiuri ผู้ดำรงตำแหน่ง creative director คนปัจจุบัน


สำหรับเราโดยส่วนตัว การไปชมนิทรรศการ Christian Dior: Designer of Dreams ที่ลอนดอน สิ่งที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจที่สุดคือการได้เห็นงานสร้างสรรค์ของ John Galliano เต็ม ๆ ตา โดยส่วนตัวเราเป็นแฟนจอห์นมาตลอด และงานของจอห์นในช่วงที่อยู่กับ Dior เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็น artist คนนี้ระเบิดพลังสร้างสรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่องไม่เคยเว้นเลยสักคอลเลคชั่น และคอลเลคชั่นที่เรารักที่สุดเสมอของจอห์นยังคงคือ คอลเลคชั่นกูตูร์ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2007 ซึ่งในนิทรรศการนี้มีให้เห็นอยู่หลายชิ้นทีเดียว

ปิดท้ายนิทรรศการนี้ Dior จบด้วยความปังของห้อง The Dior Ball ที่รวบรวมชุดราตรีสุดหรูหราที่ห้องเสื้อ Dior เคยรังสรรค์ไว้ โดยเฉพาะชุดที่เซเลบริตี้เบอร์ใหญ่ทั่วโลกเคยสวมใส่ รวมมาจัดแสดงเพื่อตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ฝรั่งเศสเก่าแก่แบรนด์นี้กันอีกครั้ง ให้ผู้ชมได้เห็นว่า ห้องเสื้อ Dior และผู้เป็นดีไซเนอร์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นได้สร้างฝันอันยิ่งใหญ่อะไรเอาไว้บ้าง เหมือนที่ชื่อนิทรรศการชุดนี้ได้บอกเอาไว้

นิทรรศการชุด Christian Dior: Designers of Dream ยังคงจัดต่อเนื่องต่อไปที่ Victoria & Albert Museum กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ใครผ่านไปลอนดอนลองแวะไปต่อแถวซื้อบัตรเข้าชมกันได้ในราคา 20 ปอนด์ต่อคน หรืออีกวิธีหนึ่งที่ไม่แนะนำเพราะแพงกว่า แต่บอกไว้เพราะก็ดีที่ไม่ต้องต่อแถวและสามารถพาตัวเองเข้านิทรรศการนี้ได้เลยก็คือ สมัครเป็นสมาชิกพิพิธภัณฑ์ V&A รายปีในราคา 70 ปอนด์ จ่ายสตางค์เสร็จสามารถถือบัตรสมาชิกเบ่งเข้าไปชมนิทรรศการได้เลย
STORY AND PHOTO BY ขเจน