เซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์ใน “ออสการ์ 2019”
ทุก ๆ ปีที่มีงานออสการ์ ผู้คนทั่วโลกที่เฝ้าดูอยู่ ต่างก็รอลุ้นว่าหนังที่ตัวเองชอบ หรือนักแสดงคนโปรด (ซึ่งต้องได้เข้าชิงออสการ์ก่อนด้วยนั้น) จะคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปได้หรือเปล่า พอผลออกมา ไม่ว่าจะเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์อย่างไร ต้องมีคนที่ทั้งสมหวังและผิดหวังกับผลรางวัลอยู่ไม่มากก็น้อย แล้วสำหรับออสการ์ 2019 ล่ะ มีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์กันบ้าง
1. การชนะรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ Green Book เป็นสิ่งที่หลายคนเซอร์ไพรส์ หรือจริง ๆ ชัดเจนกว่านั้นคือ รู้สึกไม่พอใจซะมากกว่า หลายคนเก็งกันว่า Roma เป็นหนังที่ดีกว่ามาก ๆ ในทุกแง่มุม และ Roma เองก็ได้รางวัลแข็ง ๆ อย่างผู้กำกับยอดเยี่ยม กำกับภาพยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมไปด้วย (ซึ่งคนขึ้นรับรางวัลมีอยู่คนเดียวคือ Alfonso Cuarón ที่เก่งขนาดทำแทบทุกหน้าที่ในหนังที่ส่วนตัวที่สุดเรื่องนี้ของเขา ใครยังไม่ได้ดู มีให้ดูใน Netflix นะ) แต่ทำไมภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่ Roma อันที่จริงในความรู้สึกของเรา เหตุผลที่ Green Book ได้รางวัลมันไม่มีอะไรซับซ้อนนะ Green Book เป็นหนังที่ดูสนุก อิ่มอุ่น ดูจบแล้วส่งผู้ชมออกจากโรงหนังด้วยรอยยิ้ม เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงแล้วเอามาเล่าได้ไม่เป็นหนังดราม่าชวนง่วง แต่มีรายละเอียดของเรื่องราวและบทสนทนาที่ตลก น่าติดตาม แต่ก็ทำให้เห็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาในอดีตด้วย ที่สำคัญ เป็นหนังที่ดูซ้ำอีกก็ไม่เบื่อ ถ้าจะคิดว่ามีหนังเรื่องอื่นอีกมากมายที่ดีกว่า Green Book ก็จริงอยู่ แต่รางวัลออสการ์ไม่ใช่รางวัลที่บอกว่าหนังเรื่องไหน “ดีที่สุด” เสมอไปอยู่แล้ว
2. เซอร์ไพรส์ที่ใหญ่ที่สุดของออสการ์ 2019 ต้องเป็นการคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงของ Olivia Colman จาก The Favourite ที่ปรากฏว่าเฉือนเอาชนะนักแสดงหญิงมากฝีมือที่เข้าชิงออสการ์มาแล้วรวม 7 ครั้ง (และยังไม่เคยได้) อย่าง Glenn Close โดยปีนี้ป้าเข้าชิงจาก The Wife และมีแต่คนเก็งกันว่า ป้าต้องได้แล้วโว้ย! แต่ปรากฏว่าเปิดซองออกมากลายเป็นโอลิเวียซะงั้น สำหรับเราส่วนตัว เราเองก็เสียดายเช่นกันที่เกลนน์พลาดรางวัลอีกแล้ว แต่พูดก็พูดเถอะ ใครได้ไปดู The Favourite ที่เข้าโรงแล้วตอนนี้คงต้องยอมรับนะว่า บทควีนแอนน์ที่โอลิเวียเล่นช่างเป็นบทที่จัดจ้านมีสีสัน และเธอก็เล่นได้ดุเด็ดเผ็ดมันสุด ๆ ในขณะที่บทของเกลนน์จะเป็นบทนิ่ง ๆ ที่ใช้หนึ่งใบหน้าสื่อร้อยอารมณ์ออกมา การจะวัดว่าใครดีที่สุด เราว่าบางทีถ้าเอานักแสดงสองคนมาเล่นบทเดียวกันสิ อันนี้จะวัดได้ชัดเจนมากกว่า แต่ในเมื่อเป็นคนละบทก็ต้องปล่อยให้ผลโหวตของกรรมการออสการ์ทำหน้าที่ ซึ่งในที่สุด Olivia Colman คือ The Favourite ของกรรมการในสาขานำหญิงปีนี้ ..ก็ต้องยกให้เธอไป แล้วด้วยความที่เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ออสการ์ Speech บนเวทีของเธอจึงเป็น Speech ที่เป็นธรรมชาติและฟังสนุกที่สุดในปีนี้
3. รางวัลนักแสดงในสาขาอื่น ๆ คือนำชาย สมทบชาย และสมทบหญิง ออกมาตามโผเป๊ะ ๆ คือ Rami Malek คว้านำชายจากการแสดงเป็น Freddie Mercury นักร้องนำวง Queen ผู้ล่วงลับได้สุดทางแบบจ้างร้อยเล่นสองร้อยใน Bohemian Rhapsody (ที่ปรากฏว่าชิง 5 คว้าไปได้ถึง 4 ออสการ์) Mahershala Ali ได้สมทบชายจาก Green Book ที่เล่นดีอย่างไร้ข้อกังขา พี่ก็เลยคว้าออสการ์ตัวที่สองไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ ส่วนสมทบหญิงซึ่งหลายคนหวังจะเห็นเซอร์ไพรส์ เพราะผลรางวัลในเวทีอื่น ๆ ก่อนงานออสการ์นั้นหลากหลายมากจนไม่แน่ใจว่าในที่สุดจะออกมาเป็นใคร แต่ Regina King ก็คว้าไปจนได้ตามคาด จากบทแม่ที่วิ่งสู้ฟัดทำทุกอย่างให้ลูกสาวได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักใน If Beale Street Could Talk (เข้าโรงแล้วที่เดียวที่ House ตอนนี้)
4. พูดถึงรางวัลอื่นประปราย สิ่งที่ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่คือการคว้าออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ Lady Gaga จากเพลง Shallow ใน A Star is Born ที่เธอเล่นเป็นนางเอกเองและได้เข้าชิงออสการ์นำหญิงด้วยในปีนี้ ความเก๋คือเธอขึ้นเวทีมาร้องสดพร้อมส่งสายตาวิบวับใส่ Bradley Cooper นักแสดงนำของหนังที่โดดลงมากำกับเองด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง Spike Lee ผู้กำกับภาพยนตร์ผิวสีคนสำคัญของอเมริกาคว้าออสการ์ตัวแรกในชีวิตได้ซะทีแบบไม่มีเซอร์ไพรส์จากการเขียนบทหนังเรื่อง BlacKkKlansman อันนี้ดีใจด้วย เพราะเขาสมควรจะได้นานแล้ว และการมาได้รางวัลจาก BlacKkKlansman ก็อาจจะตอบรับกับบริบทของสังคมและการเมืองในอเมริกาช่วงนี้พอดีด้วย Black Panther หนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกที่ได้ชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมคว้าไป 3 รางวัลซึ่งรางวัลที่เราชอบและดีใจด้วยที่หนังได้คือ คอสตูมดีไซน์ยอดเยี่ยม เราคิดว่า Ruth E. Carter ซึ่งเป็นคอสตูมดีไซเนอร์ทำหน้าที่ของเธอได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ จากการเบลนด์วัฒนธรรมพื้นถิ่นแบบแอฟริกันเข้ามาในความเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของหนัง และทั้งหมดสะท้อนออกมาในงานออกแบบเสื้อผ้าที่สวยและสร้างสรรค์สุด ๆ (โดยเฉพาะชุดควีนที่ Angela Bassett เล่น) ใครยังไม่ได้ดู Black Panther ลองไปหาดูกันได้
5. ไม่เซอร์ไพรส์อีกเรื่องเพราะเป็นข่าวมาหลายเดือนก่อนหน้าที่งานออสการ์จะมาถึงก็คือ การจัดงานปีนี้จะไม่มีพิธีกรหลัก เพราะตอนแรก Kevin Hart ได้รับเลือกให้เป็นพิธีกรของงาน แต่ทันทีที่ประกาศข่าวออกมาว่าเขาจะเป็น host ก็มีกระแสโจมตีเขาอย่างรุนแรงเรื่องที่เขาเป็นคนที่เหยียดเพศที่สาม มีคนไปขุดคุ้ยทวิตเก่า ๆ ที่เขาเขียนเหยียดไว้มาด่ากลับกันยกใหญ่ จนในที่สุด ผ่านไปแค่วันเดียว เควินออกมาประกาศขอถอนตัวจากการเป็นพิธีกรงานออสการ์ โดยในการออกมาให้สัมภาษณ์ในช่วงนั้น เขายืนยันว่าสิ่งที่เขาเคยพูดเป็นความคิดของเขาในอดีต ปัจจุบันเขาไม่ใช่คนแบบนั้นแล้ว และเขาจะไม่ขอโทษในเรื่องนี้อีกแล้ว แต่ในเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เขาคิดว่าจะดีกว่าที่เขาจะขอไม่รับหน้าที่พิธีกร งานออสการ์ในปีนี้จึงกลายเป็นงานออสการ์ที่ไร้พิธีกรหลัก ซึ่งสิ่งที่เซอร์ไพรส์เลยกลายเป็นว่า ออสการ์ 2019 ออกมาสั้นและกระชับอย่างที่กรรมการออสการ์คงจะเคยวาดฝันไว้แต่ไม่เคยทำสำเร็จ..ซะงั้น
6. ส่งท้าย กล่าวกันตามจริง ถ้าเราติดตามดูงานออสการ์ด้วยฐานความคิดที่ว่า ชื่อของผู้ชนะในแต่ละสาขา ยังไง ๆ ก็ต้องประกาศออกมาเป็นชื่อใดชื่อหนึ่งใน 5 รายชื่อผู้เข้าชิงของสาขานั้น ๆ การประกาศผลรางวัลออสการ์ย่อมไม่เคยมีอะไรเป็นเซอร์ไพรส์ที่แท้จริง เพราะถ้าได้เข้าชิง ทุกคนก็มีสิทธิ์จะได้รางวัลอย่างเท่าเทียมกัน เพียงแต่สิ่งที่น่าขบคิดก็คือว่า รางวัลออสการ์เป็นรางวัลที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกภาพยนตร์ มันจึงเป็นรางวัลที่มีคนติดตามเยอะ มีนักวิจารณ์ให้ความสนใจและเก็งชื่อผู้ชนะกันทั้งโลก คนดูหนังอย่างเรา ๆ ซึ่งก็มีนักแสดงที่ชอบและหนังที่โปรดอยู่ด้วยเหมือนกัน ก็ต้องขอแอบลุ้นและแอบเก็งผลตามไปด้วย ว่าใครนะที่กรรมการออสการ์จะยกรางวัลให้ และคนโปรดของเราจะได้รางวัลด้วยมั้ย ทั้งหมดนี้พอผลไม่ออกมาเป็นไปตามที่เราคาดหวัง ก็ต้องมีผิดหวังกันอยู่ไม่น้อยเชียวแหละ แต่ถึงที่สุดต้องพูดว่า รางวัลออสการ์เป็นรางวัลที่มาจากผลโหวตของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้กำหนดผลจากการจับหนังเข้าเครื่องวัดมาตรฐานที่จะบ่งบอกว่าหนังเรื่องนี้ดีที่สุด นักแสดงคนนี้เจ๋งที่สุดเสมอไป ผลรางวัลจากการโหวตย่อมมาจากรสนิยมของคนโหวต เพราะงั้นลุ้นกันสนุก ๆ ก็พอ ไม่ต้องเอาจริงเอาจังมาก หนังเรื่องไหนที่เราชอบมาก ต่อให้คนทั้งโลกเกลียดเราก็ยังชอบได้ และการที่หนังเรื่องนั้นไม่ได้รางวัลออสการ์ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราชอบมันน้อยลงสักหน่อย
2020 เรามาลุ้นผลออสการ์กันใหม่เนอะ
STORY BY ขเจน