ล่องเรือลุยป่าตามหา “ปราสาทลับ” ที่กัวเตมาลา
หนุ่มเท่คนหนึ่งเดินดุ่มอยู่กลางป่าดงดิบในแถบอเมริกากลาง ใบหน้าคมสันของเขาเข้มครึ้มด้วยเคราเขียว เชิ้ตสีตุ่นที่บ่งบอกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อนนั้นชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ.... เขาเดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เพื่อตามหาปราสาทลับที่ซุ่มซ่อนอยู่กลางป่าลึก แต่แล้วเขาก็หยุดเดินแล้วหันมาสบตากับสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่สาวเท้าตามเขามาติด ๆ
“ซาร่า... คุณกลับไปที่แคมป์ก่อนเถอะ ป่านี่มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมที่จะฝ่าฟันต่อไปเพียงลำพังจะดีกว่า” เขากล่าวกับเธอ
“แต่.....ด็อกเตอร์ โจนส์ คะ.... ฉัน... ฉัน...” ซาร่าอิดออด ดูก็รู้ว่าเธอไม่อยากจากเขาไป
“ไม่ต้องห่วง... ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถของอินเดียน่า โจนส์ คนนี้” ดร. โจนส์ยืนยันให้เธอสบายใจ
“ฉันรักคุณค่ะ... ดูแลตัวเองดี ๆ นะคะ แล้วพบกันที่แคมป์ค่ะ” ซาร่าโผเข้ากอดร่างที่แน่นด้วยมัดกล้ามนั้นไว้
“ผมก็รักคุณ...ซาร่า” เขากอดตอบร่างสวยสะคราญนั้นไว้อีกอีกครั้ง ก่อนกระชับปืนบนบ่าและเดินสู่ป่าลึก
---- คัท ----
ผมนึกครึ้มนั่งแต่งเรื่องอินเดียน่า โจนส์ ภาคพิเศษขึ้นระหว่างล่องไปตาม แม่น้ำดุลเซ่ หรือที่เรียกเป็นภาษาสเปนว่า “ริโอ ดุลเซ่” (Rio Dulce) เรือลำเล็กเครื่องยนต์เดี่ยวกำลังพาผมลัดเลาะผ่านป่าลึกในประเทศกัวเตมาลา โดยมีปราสาทลับแห่งหนึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางเช่นกัน สายน้ำและป่าสมบูรณ์แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องทาร์ซาน (The Adventure of Tarzan) ฉบับคลาสสิคเมื่อปี 1935 มาแล้ว และเกือบเคยจะได้รับโอกาสให้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอินเดียน่า โจนส์เช่นเดียวกัน น่าเสียดายว่าในที่สุดก็ได้มีการย้ายสถานที่ถ่ายทำไปยังที่อื่นแทน
อินเดียน่า โจนส์ ภาคพิเศษจึงเกิดขึ้นโดยผมเองเมื่อสักครู่นี้นี่เอง.... แหะ แหะ แหะ
แม่น้ำดุลเซ่ไหลลดเลี้ยวเรื่อยไปในป่าลึก ธรรมชาติรอบตัวยังสมบูรณ์อยู่มาก นกป่านกน้ำหลากชนิดพากันโฉบว่อนไปมาจากยอดไม้สู่ยอดผาสูง นอกจากเสียงสรรพสัตว์แล้วก็มีเพียงเสียงเครื่องยนต์เรือที่ครางอยู่เบาๆ และดูเหมือนว่าแม่น้ำสายยาวกว่า 47 กิโลเมตรสายนี้จะมีเรือลำนี้เพียงลำเดียว โดยมีผมเป็นผู้โดยสารเพียงลำพัง ส่วนด้านผมก็หลังคือดิเอโก้ พนักงานขับเรือที่กำลังนั่งจู๋จี๋กับแฟนสาวคนสวยอย่างดูดดื่มจ๊วบจ๊าบจนบางครั้งเขาอาจลืมไปเสียแล้วว่ามีผมนั่งหัวโด่อยู่ด้วยบนเรือลำนี้
เมื่อวานนี้ผมค้างคืนอยู่ที่เมืองลีฟวิงสตัน (Livingston) ในแคว้านอิซาบาล (Izabal) ประเทศกัวเตมาลาที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำดุลเซ่ ติดทะเลแคริบเบียน หากใครตั้งใจจะมาล่องแม่น้ำสายนี้ก็ต้องมาตั้งต้นกันที่เมืองนี้ทั้งนั้น ลีฟวิงสตันเป็นเพียงเมืองเดียวในประเทศกัวเตมาลาที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่สเปนหรือมายันเช่นเมืองอื่น ๆ และเมืองนี้ก็มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ลีฟวิงสตันตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “การิฟูนา” (Garifuna) อันเป็นดินแดนที่ผสมผสานคนหลากเชื้อชาติเอาไว้ด้วยกัน ชนชาติหลักที่ตั้งรกรากในแถบนี้มาแต่ก่อนเก่าก็คือชาวอินเดียนอาระวัก (Arawakan) ก่อนที่ต่อมาทาสแอฟริกันจำนวนมากจะโดนบังคับให้เดินทางข้ามทวีปมาเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล กาแฟ และโกโก้ในช่วงการล่าอาณานิคม และกลายมาเป็นประชากรกลุ่มหลักในปัจจุบัน พื้นที่นี้จึงเป็นพื้นที่เดียวที่เราจะพบเห็นพี่ๆ น้องๆ แอฟริกันผิวสีดำสนิท เดินท่อมๆ โย่วๆ มากกว่าชาวมายัน เม็สติโซหรือสแปนิช จนบางครั้งผมยังแอบคิดว่านี่ผมกำลังอยู่ในแอฟริกาหรือเปล่าเนี่ย
เราจะได้ยินเสียงกลอง และเพลงแร็ปอันเร้าใจมากกว่าเสียงกีตาร์สเปนหรือมาริมบ้าอันหวานแว่ว เห็นภาพเขียนแบบ Afro-Caribbean มากกว่าภาพเทพเจ้าตามเทวคติแบบมายัน
แต่สิ่งที่ผมอึ้งก็คือร้านชำครับ.... มันดูราวกับคุกที่แต็มไปด้วยซี่กรงที่กั้นคนขายไว้ข้างในและกันคนซื้อไว้ข้างนอก มีบางช่วงเวลาที่ผมเห็นคนขายแอบลุกออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้างก่อนกลับเข้าไปขังตัวเองอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาได้ว่าโจรที่นี่น่าจะชุมไม่ใช่น้อย
เช้าตรู่วันต่อมาผมก็อำลาลีฟวิงสตันเพื่อลัดเลาะล่องไปตามแม่น้ำดุลเซ่พร้อมกับดิเอโก้และแฟนของเขา ธรรมชาติที่สวยงามสองข้างทางพาให้ผมเพลิดเพลินอยู่พักใหญ่จนหลับไปในที่สุด..... Z z z z Z z z...
เมื่อตื่นขึ้นมา ผมก็พบว่าเรือไม่ได้แล่นฉิวๆ แต่กลับจอดนิ่งๆ อยู่ริมผาหินที่คนมือบอนมาสลักชื่ออยู่เต็มไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าในป่าลึกไกลแสนไกลอย่างนี้จะยังมีมนุษย์เวรๆ ตามมาอวดตนความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้อีก และที่ทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดก็คือดิเอโก้ก็กำลังจู๋จี๋จ๊วบจ๊าบกับแฟนสาวอย่างดูดดื่ม นี่ผมหลับไปนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่สำคัญคือเรือเวรนี่มันจอดลอยเท้งเต้งมานาเท่าไหร่แล้วล่ะ
“โทษทีนะดิเอโก้ ถ้านายมัวแต่ขับเรือแบบจอดๆ จูบๆ อย่างนี้แล้วเราจะไปถึงกาสตีโย่ เด ซาน เฟลิเป้ เด ลารา กี่โมงวะครับมึง” ผมเริ่มหมดความอดทน
“เหม่.... อีกแพร้บนะคร้าบ” ดิเอโก้หัวเราะ
“ไม่ตลก ไม่เล่นด้วยโว้ย ไปให้ว่องเลย” ผมตะโกนสุดเสียง และเรือก็แล่นออกไปอีกครั้ง
เรือล่องแม่น้ำดุลเซ่ต่อไปเรื่อยๆ จนมาโผล่บริเวณบึงกว้างใหญ่จนกลายเป็นดั่งทะเลสาบ ดอกบัวสีขาวดอกเล็กดอกน้อยบานเรียงรายราวกับรอต้อนรับผม ที่นี่น่าจะเป็นทะเลสาบอิซาบาลที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำสายนี้ เมื่อผมจะหันไปถามข้อมูลที่ถูกต้องจากดิเอโก้ ผมก็พบว่ามันกำลังนั่งจูบแฟนมันอยู่อีกครั้ง ...... เฮ้อออออ!!!! ยังดีที่มีลมเย็นๆ และทิวทัศน์อันงดงามช่วยทำให้อารมณ์ขุ่นๆ ของผมนั้นสงบลงได้ และอย่างน้อยเรือลำนี้ก็ยังวิ่งตรงไปข้างหน้า และในไม่ช้าผมก็มาถึง “ปราสาทลับ” ที่ผมหมายตาไว้
กาสตีโย เด ซาน เฟลิเป้ เด ลารา (Castillo de San Felipe de Lara) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตรษที่ 16 และเป็นปราสาทสำคัญริมน้ำกลางป่าแห่งนี้
ราวกับว่าฟ้าจะเห็นใจ เพราะในความเซ็งที่มีดิเอโก้เป็นคนขับเรือจอมอู้ แต่ผมกลับได้รับโชคอันแสนวิเศษในวินาทีนั้นเมื่อฟ้าได้ส่งลุงการ์โลส ให้มาเป็นไกด์นำผมชมปราสาทครับ เย้....เย้....เย้....!!!!
ผมไม่ได้ดีใจเว่อร์วังไปเองนะครับ สิ่งที่ทำให้ผมโล่งใจมากๆ แทบจะทันทีก็คือลุงการ์โลสพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ และนั่นหมายถึงว่าพอกันทีกับการเดาภาษาสเปนแบบงูๆ ปลาๆ ผิดๆ ถูกๆ เช่นที่ผ่านมา ไม่พอครับ ไม่พอ.... ลุงการ์โลสเป็นไกด์นำชมกาสตีโย่ เด ซาน เฟลิเป้ เด ลารา ที่เล่าเรื่องได้เก่งมากๆ การฟังลุงบรรยายนั้นเหมือนฟังผู้ใหญ่เล่านิทาน ทั้งจังหวะจะโคน น้ำเสียงสูงต่ำสารพัด แล้วลุงยังพาชมแบบทุ่มกายถวายชีวิตอีกต่างหาก
“ปราสาทซาน เฟลิเป้ แห่งนี้เป็นนรก... มันคือขุมนรกของทหารจากยุโรปชาติใดก็ตามที่กล้ามาต่อกรกับจักรวรรดิสเปน รวมทั้งโจรสลัดและพวกนอกรีตทั้งหลายที่ปฏิเสธความเชื่อตามหลักคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกแบบสเปน” .....ลุงการ์โลสบิ๊วท์อารมณ์ผมจนกระเจิดกระเจิงขณะที่ลุงเริ่มจุดเทียนไขเพื่อพาผมเดินลึกเข้าสู่ความมืดภายในปราสาทหิน
ปราสาทแบบปราสาทซาน เฟลิเป้นี้มีอยู่ทั่วไปในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ซึ่งดินแดนส่วนใหญ่อยู่ในครอบครองของของจักรวรรดิสเปน ปราสาทเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องน่านน้ำสำคัญๆ ไม่ให้โดนรุกรานจากศัตรูที่มีอยู่มากมายในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าโจรสลัดหลากสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส ดัตช์ หรือโปรตุเกส ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากรัฐบาลของตนให้ทำลายการค้าและความมั่งคั่งของอีกฝ่าย ปราสาทมักจะเต็มไปด้วยป้อมและปืนใหญ่เต็มอัตราศึก มักจะตั้งอยู่บริเวณคุ้งน้ำแคบๆ ที่สามารถยิงปืนใหญ่ไปทำลายล้างเรือของศัตรูได้ในระยะหวังผลได้
“เมื่อก่อน พอล่วงเข้าสู่เวลาค่ำ จะมีโซ่ใหญ่ที่ขึงพาดข้ามแม่น้ำดุลเซ่จากฝั่งปราสาทซาน เฟลิเป้ ไปยังอีกด้านของแม่น้ำเพื่อปิดการสัญจรทางน้ำ ห้ามไม่ให้เรือเข้าออกโดยเด็ดขาด” ลุงการ์โลสเริ่มบรรยาย “จักรวรรดิสเปนนั้นมั่งคั่งมากๆ เพราะกวาดเอาทอง หยก เพชรนิลจินดา ทรัพย์สมบัติมากมายจากชาวมายัน อัชเต็ก อินคา และอินเดี่ยวเพื่อขนกลับประเทศ น่านน้ำนี้จึงเป็นแหล่งชุมนุมโจรสลัดจำนวนมากจากทุกสัญชาติ” ลุงเล่าไปเรื่อยๆ ขณะที่ผิมเดินตามลุงผ่านห้องหับต่างๆ ที่ชื้นและเย็นโดยมีแสงเทียนสลัวช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
“แต่ที่ลุงว่าน่าสยดสยองที่สุด.....ก็คือตรงนี้” ขณะนั้นลุงพาผมลงมาถึงชั้นล่างสุดของปราสาท อยู่ใกล้กับแม่น้ำจนผมได้ยินเสียงจ๋อมแจ๋ม “ปราสาทนี้ทำหน้าที่เป็นคุกใช้จองจำเหล่าผู้ต่อต้านคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิกตามแบบสเปน หลักๆ ก็คือใช้กักขังนักบวชนิกายอังกลิคัน (Anglican) จากอังกฤษที่กำลังพยายามเผยแผ่อิทธิพลในแถบแคริบเบียนและอเมริกากลางด้วยเช่นกัน ปราสาทซาน เฟลิเป้ ทำหน้าที่คุกอย่างต่อเนื่องมาถึง 256 ปี และมีผู้ถูกทรมานจนตายในคุกของปราสาทนี้นับไม่ถ้วน....” เสียงลุงการ์โลสเริ่มเข้มขึ้น นัยน์ตาก็เริ่มกร้าวขึ้น ยิ่งเมื่อมันสะท้อนกับแสงเทียนวับๆ แวมๆ แล้ว....ผมก็แอบมีเสียวอยู่วูบๆ
“วิธีทรมานพวกนอกรีตนั้นมีมากมาย แต่ที่โหดสุดก็คือจับมัดให้นั่งอยู่ชั้นล่างใต้ปราสาทเพื่อรอน้ำค่อยๆ เพิ่มระดับสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จระเข้ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำมันจะตามกลิ่นมนุษย์และว่ายเข้ามากินนักโทษที่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ตายไปอย่างช้าๆ” พอถึงตรงนี้ลุงการ์โลสถึงแก่นั่งลงไปบนหินที่เซาะไว้เป็นที่นั่งพร้อมกับทำเสียงโอดครวญ และดิ้นทุรนทุราย..... เอ่อ... อันนี้ผมก็แทบอยากจะเสนอชื่อลุงชิงรางวัลออสการ์เลยนะครับ “ที่ห้องใต้ดินจะมีที่นั่งเป็นสิบๆ ที่ บางครั้งจระเข้มันว่ายเข้ามากัดกินเพียงแค่คนเดียว คนอื่นๆ ที่เหลือก็ต้องนั่งดูเพื่อนตายอย่างทรมานต่อหน้า พอน้ำลงก็กลายเป็นศพคากับขื่อ เพื่อนๆ นักโทษก็ได้แต่นั่งมอง รอน้ำขึ้นรอบใหม่ว่าใครจะโดนกิน”
นอกจากนั้นยังมีห้องทรมานที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เสียงที่เล็ดรอดออกมานั้นมีโทนต่ำลง และก้องกังวาลมากขึ้นเพื่อข่มขู่ผู้ที่กำลังรอคิวทรมานเป็นรายต่อๆ ไปให้รู้สึกกลัวลนลานจนอาจจะรีบสารภาพความผิดออกมาเสียก่อนแน่นอนว่าลุงการ์โลสก็ได้สวมบทเป็นคนถูกทรมาน ร้องโหยหวน เพื่อให้ผมได้ลองฟังเสียงที่ถูกแปรเปลี่ยนให้น่ากลัวขึ้นด้วย
นอกจากนี้ปราสาทซาน เฟลิเป้ แห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นด่านเก็บภาษีเรือสินค้าที่เดินทางผ่านเข้าออก เป็นคลังเก็บหยกและทองคำที่สเปนขโมยมาจากชาวมายันเพื่อเตรียมลำเลียงลงเรือส่งกลับไปยังประเทศตัวเอง....เรื่องความร้ายกาจของจักรวรรดิสเปนนั้นเป็นที่โจษขานกันมาเสมอจนมีคำกล่าวที่ว่าสเปนปกครอบดินแดนละตินด้วยเกราะที่หุ้มเลือด
ผมเพลิดเพลินกับการนำชม “ปราสาทลับ” แห่งนี้โดยลุงการ์โลสมาก บางครั้งผมต้องช่วยเล่นเป็นนักโทษบ้าง ทหารสเปนบ้าง เพื่อทำให้ลุงอรรถาธิบายได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น แม้ผมจะไม่ได้เรียน Drama เป็นวิชาเอก แต่ผมคิดว่าวันนั้นผมเล่นได้ไม่เลวทีเดียว..... แหะ แหะ แหะ.... ผมอำลาลุงการ์โลสด้วยความขอบคุณและกลับมาขึ้นเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังปลายทาง เรือค่อยๆ ออกห่างจากปราสาทซาน เฟลิเป้ออกไปเรื่อยๆ
ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้มาเยือนปราสาทลับในป่าที่มีเรื่องเล่าสนุกๆ มากมาย ตอนนี้ก็เหลือแค่ลุ้นว่าดิเอโก้จะพาผมไปส่งปลายทางได้ก่อนค่ำมืดหรือไม่ และผมก็คงจะเผลองีบไม่ได้ เพราะไม่งั้นมันคงจอดเรือและจ๊วบกับแฟนไปเรื่อยๆ แน่นอน
Story by โลจน์ นันทิวัชรินทร์