แสงสุดท้ายของวันเหนือวิหารมายัน
ติกาล เป็นแหล่งอารยธรรมมายันในประเทศกัวเตมาลา ที่เผยโฉมตัวเองสู่ประชาคมโลกเมื่อ ค.ศ. 1853 หลังจากที่นักสำรวจได้รายงานการค้นพบดินแดนลี้ลับแห่งนี้ พร้อมกับภาพวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเรียงรายกระจายตัวอยู่เต็มป่าดงดิบแห่งนี้มาตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล
ทุกวันนี้ติกาลเป็นหนึ่งในพื้นที่มรดกโลกอันควรอนุรักษ์ โดยยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1979
เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมได้เห็นภาพวิหารมายันแห่งนี้ ภาพนั้นคงไปกระตุ้นต่อมอินเดียน่า โจนส์ หรือต่อมอะไรบางอย่างในตัวผม เพราะผมถึงแก่ละเมอว่าสักวันหนึ่งผมจะหาโอกาสพาตัวเองไปยังที่นี่ให้ได้ และมันก็กลายเป็นความจริงในอีก 20 ปีต่อมา
เช้าตรู่ ณ Tikal Inn กลางป่าชื้นฝนในประเทศกัวเตมาลา ผมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ตี 4 เพื่อออกเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ณ วิหารใหญ่กลางป่า เวลานั้นข้างนอกมืดและเงียบมาก ๆ มีเพียงไกด์ 1 คนที่จะนำผู้ร่วมเดินทางอีก 4 ชีวิตที่ร่วมกันออกเดินฝ่าความมืดออกไป
"...เมื่อคืนมีเสือจากัวร์มาป้วนเปี้ยนหน้าโรงแรมด้วย" เอเลียส ไกด์หน้าเฉยบอกผมด้วยเสียงเรียบ ๆ แบบธรรมด๊าธรรมดา
"...ดะ...ดะ...ดะ...เดี๋ยวนะคุณพี่เอเลียส มีเสือจากัวร์ด้วยเหรอ นี่ยูล้อเล่นหรือเปล่า" ลูกทัวร์แหกปากร้องลั่น
"เปล่า..." ว่าแล้วเอเลียสก็ให้เจ้าหน้าที่เปิดภาพที่บันทึกจากกล้องรักษาความปลอดภัยให้ดู
มันมาจริง ๆ ด้วย..... ทุกคนเริ่มหน้าซีด
"ไม่ต้องกลัว นี่เราอยู่กลางป่านะ เสือจากัวร์ถือเป็นสัตว์ท้องถิ่น แล้วที่สำคัญคือ มันไม่ล่าคน มันหลบคนด้วยซ้ำ..... ไปเถอะ" เอเลียสพูดถึงเสือราวกับว่ามันเป็นแมว
ในความมืดสนิท พวกเราเดินเลาะป่าโปร่งตามเอเลียสไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครพูดกับใคร คำว่า “เสือจากัวร์” ช่วยเร่งฝีเท้าเราให้ฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงวิหารมายันขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน นั่นคือมหาวิหารที่ 4
เราค่อย ๆ ปีนกระได้ไม้ไต่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ กระไดกว่า 100 ขั้นพาเราไปสูงกว่ายอดไม้เหนือวิหารหินจนสามารถมองเห็นวิหารที่ 1, 2 และ 3 เรียงรายกันเป็นแถวอย่างสวยงามเหนือป่ารกชัฏ
แต่เช้าวันนั้นเราคงไม่มีบุญพอที่จะเห็นดวงอาทิตย์สาดแสงชมพูอมส้มค่อย ๆ อาบวิหารมายันได้อย่างที่เคยวาดหวังเอาไว้ เพราะเมฆหมอกจำนวนมหาศาลพากันมาบดบังจนเราต้องทำใจ
“ดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ ก็มาดูพระอาทิตย์ตกเย็นนี้แทนดีไหม?” เอเลียสแก้สถานการณ์ด้วยเสียงเรียบ ๆ สไตล์เขาเช่นเคย
ระหว่างวันจึงเป็นการเดินทอดน่องท่องติกาลไปเรื่อย ๆ เพื่อสำรวจแหล่งอารยธรรมที่เคยมีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมถึงขีดสุด
เอเลียสมีกล้องดูนกคู่ใจมาด้วย เขาคอยสอดส่องหานก ลิง และสัตว์ป่านานาชนิดให้เราได้ดูเป็นระยะ ๆ ตัวที่มาทักทายอยู่บ่อย ๆ ก็คือนกแก้วหลากสีสันที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามกิ่งไม้ ตัวที่สร้างความตื่นเต้นให้เรามาก ๆ คือนกเงือก (Hornbills) ที่มักจะท้าทายสายตาให้คอยเพ่งมองหาเพราะเกาะอยู่สูงลิบ การจะถ่ายรูปพวกเขานั้นยากมาก ๆ ไม่ว่าจะใช้ซูมขนาดไหนก็ถ่ายไม่ได้ชัด วิธีที่ดีที่สุดคือถ่ายผ่านกล้องดูนกของเอเลียส
สัตว์แสนซนอย่างลิงก็มีมากมายมิใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้า Spider Monkey ที่บางครั้งก็ใจดีลงมาโชว์ตัวใกล้ ๆ บนพื้นดิน สัตว์อีกชนิดมีชื่อที่จำยาก สะกดยาก ออกเสียงก็ยาก มันคือ ‘โคอาติมันดี’ (Coatimundi) ที่ดูเหมือนชะมดผสมอีเห็นที่พากันมาป้วนเปี้ยนให้เราตื่นเต้นเป็นช่วง ๆ
ส่วนเสือจากัวร์นั้น.... มันคงจะหลบลี้หนีคนจริง ๆ เพราะเราเจอแต่ป้ายที่ระบุไว้ว่านี่เป็นเขตแดนของมัน
การเดินชมติกัลนั้น ไม่ได้เพลิดเพลินเฉพาะธรรมชาติเท่านั้น แต่สิ่งก่อสร้างอันเป็นสถาปัตยกรรมมายันนั้นยังสร้างความตื่นตะลึงให้นักท่องเที่ยวได้มากมายชนิดต้องรอง “โอ้โห” ออกมากันอยู่บ่อย ๆ
เอล มุนโด เปดิโด (El Mundo Pedido) หรือ The Lost Pyramid เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่และตั้งตระหง่านตรงนี้มานับพันปี พีระมิดปัจจุบันที่เห็นอยู่นั้นเป็นสถาปัตยกรรมมายันในยุคคลาสสิคสูงเกือบ 30 เมตรและเป็นจุดที่ชาวมายันขึ้นไปศึกษาการโคจรของแกแลคซี่ทางช้างเผือกรวมทั้งศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว และโลก ส่วนลานใหญ่ด้านหน้าเป็นลานประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ (Ceremonial Complex)
จุดศูนย์กลางของอารายธรรมติกาลนั้นกระจุกตัวอยู่ที่บริเวณที่เรียกว่า The Great Plaza หรือมหาจตุรัสซึ่งจะมีมหาวิหารใหญ่ 2 หลังตั้งประชันกันอยู่ นั่นคือมหาวิหารที่ 1 ที่เรียกว่า The Great Jaguar และมหาวิหารที่ 2 ที่เรียกว่า The Masks Temple
มหาวิหารที่ 1 The Great Jaguar นั้น นับเป็นมหาวิหารที่สูงถึง 47 เมตร ด้านบนเป็นหินสลักบรรจุพระศพมหาราชแห่งมายันพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า Jasaw Chan K’awiil ที่ 1 รวมทั้งยังมีห้องต่าง ๆ บรรจุพระราชสมบัติไว้
มหาวิหารที่ 2 The Masks Temple เป็นมหาวิหารที่สูง 38 เมตร เป็นที่ที่มหาราช Jasaw Chan K’awiil ที่ 1 ทรงสร้างพระราชทานพระชายาทรงพระนามว่า Kalaajuun Une’ Mo
เอ่อ.... ผมขอออกตัวไว้สักนิดนะครับว่าเรื่องราวของมหาวิหารมายันนั้นมีมากมายแบบเล่าได้เช้าจรดเย็น และซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก ๆ รายพระนามของกษัตริย์และมเหสีแต่ละพระองค์นั้นต้องตะแคงหูฟังแล้วฟังอีก ผมพยายามจดมาจากปากของเอเลียสเท่าที่จะทำได้ ผมได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ส่วนผู้ที่สนใจลึกลงไปนั้น ผมขอแนะนำให้ลองถามอากู๋ Google และลองหาอ่านจากอินเทอร์เน็ตได้นะครับ มีเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ สถาปัตยกรรมและอารยธรรมของติกาลให้อ่านจนตาแฉะเลยครับ ส่วนวันนี้นั้น ผมขอจบเล็คเชอร์ในเชิงประวัติศาสตร์เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ..... แหะ แหะ แหะ
สำหรับผมนั้นการได้มายืนตรงลานมหาจตุรัสโดยมีมหาวิหารทั้งสองล้อมซ้ายล้อมขวานั้น เป็นความตื่นเต้นถึงขีดสุด มันทำให้ใจผมเต้นรัวเร็ว ผมยืนซึมซาบตรงนั้นอยู่นานก่อนจะเดินไต่บันไดขึ้นไปบนมหาวิหารและมองลงมายังลานด้านล่าง วินาทีนั้นมันเหมือนกับฝันกลายเป็นจริง
ช่วงบ่าย เรายีงคงวนเวียนตามล่าหาวิหารกันต่อไปในติกาล แม้แดดบ่ายจะเรื่มส่องแสงจ้า อุณหภูมิจะขึ้นสูง แต่ป่าเขียวยังคอยให้ร่มเงาอำพรางร่างเราไว้ใต้ใบบังเป็นอย่างดี
ใกล้ ๆ มหาจตุรัสนั้นมีเขตเมืองที่เรียกว่า Acropolis มีส่วนที่เป็นที่พักอาศัยของขุนนาง ชนชั้นปกครอง รวมทั้งส่วนที่จัดสรรเป็นสุสานของพวกเขาเหล่านี้ด้วย
กล่าวกันว่า Acropolis นั้นใช้เวลาสร้างกว่า 100 ปี แบบค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ เติมไปทีละนิดจึงมีการตกแต่งที่ละเอียดปราณีตกว่าสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ในติกาล
ส่วนมหาวิหารที่เก่าที่สุดนั้นคือมหาวิหารที่ 5 ที่สร้างก่อนสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นับร้อยปี
ส่วนมหาวิหารที่สูงที่สุดคือมหาวิหารที่ 4 ที่สูงกว่า 65 เมตร และเป็นมหาวิหารที่พวกเราตะกายขึ้นไปกันเมื่อเช้าเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น
....และแล้วในเย็นวันนั้นหลังจากที่เราเดินชมพีระมิดและมหาวิหารต่าง ๆ จนตาลายและสับสนจนได้ที่ ในที่สุดโชคก็เข้าข้างพวกเราเสียที เวลา 6 โมงเย็น ฟ้าใสสีสวยได้เผยดวงอาทิตย์กลมโตออกมาให้เห็นจะจะหลังจากที่ซ่อนตัวหนีหายในตอนเช้า ออกมาผลุบ ๆ โผล่ ๆ ในตอนบ่าย ก่อนจะเผยตัวอย่างจริงจังในตอนเย็น เช่นตอนนี้ เวลานี้
แสงสีส้มอ่อนกำลังค่อย ๆ ฉาบไล่จากฐานไปสู่ยอดมหาวิหาร ขณะที่ความมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมบริเวณโดยรอบอย่างช้า ๆ
รอบ ๆ ตัวผมนั้นคือความสงบที่แสนสงัด ไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากส้มเป็นชมพู จากชมพูแล้วกลับมาแล้วกลับมาเป็นแสด.... และเป็นแสดจัดอีกครั้งเมื่อมาถึงแสงสุดท้ายที่มาตอนท้ายสุด...
ผมนั่งพิมพ์ภาพวิหารสีสวยที่ยืนตระหง่านตรงหน้าพร้อมกับอดคิดในใจไม่ได้ว่า....
เราช่างโชคดีเหลือเกิน...โชคดีเหลือเกิน
Travel tips:
- ติกาลเป็นแหล่งอารยธรรมมายันที่สามารถเดินทางไปถึงด้วยเครื่องบิน จากเมืองกัวเตมาลาซิตี้ (Ciudad de Guatemala – ซุยดาด เด กัวเตมาลา) โดยใช้บริการของสายการบิน TAG (Transportes Aereos Guatemaltecos) ไปลงยังสนามบิน Mundo Maya International Airport เมืองฟลอเรส (Flores)
- ควรพักค้างคืนกลางป่าในเขตวนอุทยานแห่งชาติติกาล เพื่อสะดวกในการเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกรวมทั้งชมพีระมิดและวิหารมายันอันมีอยู่มากมายในบริเวณดังกล่าว แนะนำ Tikal Inn ดูรายละเอียดที่ http://www.tikalinnsunrise.com/
- นักเดินทางชาวไทยที่มีวีซ่าสหรัฐอเมริกาสามารถเดินทางเข้ากัวเตมาลาได้โดยไม่ต้องทำวีซ่าของเขา รบกวนตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทางเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง
Photo by Lode Nandhivajrin and Kittinan Chit-euakul