ผมขอเริ่มบทความนี้ด้วย “คำเตือน” นะครับ
การเดินทางไปยังประเทศ
บุรุนดี (Burundi) มีความเสี่ยงเนื่องด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนและพร้อมจะคุกรุ่นอยู่เสมอ ควรตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียดระมัดระวังก่อนตัดสินใจไป เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดจากประสบการณ์ของผมเมื่อปี พ.ศ. 2556 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
บุรุนดี เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใน
ภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกแบบ Land-Lock ไร้ทางออกสู่มหาสมุทรโดยสิ้นเชิงเพราะโดนประเทศใหญ่ ๆ อย่างเคนยา แทนซาเนีย รวันดา และคองโกยึดพื้นที่ตีโอบจากทุกทิศทุกทาง
จะมีมุมที่โล่ง ๆ โปร่ง ๆ ให้บุรุนดีได้พอหายใจคลายอึดอัดบ้างก็คือมุมทาง
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีทะเลสาบชื่อดังของทวีปแอฟริกานามว่า
ทะเลสาบแทนกันยิกา (Tanganyika) ตั้งอยู่อย่างสงบเงียบและสวยงาม รวมทั้งยังเป็นแหล่งโภชนาการและเศรษฐกิจสำคัญของชาวบุรุนดีด้วยปลาน้ำจืดหลากหลายสายพันธุ์จำนวนมหาศาลที่ว่ายไปมาในทะเลสาบแห่งนี้

ทะเลสาบแทนกันยิกามี
ขนาดใหญ่เป็นที่สองในทวีปแอฟริกา รองจากทะเลสาบวิคตอเรียอันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำไนล์ และมี
ความลึกเป็นอันดับสองของโลกรองจากทะเลสาบไบคาลในรัสเซีย อัตราความลึกเฉลี่ยของทะเลสาบนี้อยู่ที่ประมาณ 570 เมตร และมีจุดที่ลึกที่สุดคือ 1,470 เมตรหรือเกือบหนึ่งกิโลเมตรครึ่งเลยทีเดียว ที่สำคัญยังเชื่อกันว่ามีภูเขาไฟรอปะทุอยู่ภายใต้ทะเลสาบแห่งนี้อีกเป็นจำนวนมาก
ผมเดินทางสู่ประเทศบุรุนดีจากประเทศรวันดาด้วยรถตู้ที่วิ่งจากคิกาลีสู่
บุจุมบุรา (Bujumbura) เมืองหลวงของบุรุนดี
“รีบ ๆ ขึ้นรถแล้วออกเดินทางเลย อย่ามัวชักช้า ไม่มีใครเดินทางหลังพระอาทิตย์ตกในบุรุนดี” คนขับรถเร่งผู้โดยสารจากคิกาลีให้รีบขึ้นรถตู้ก่อนเร่งเครื่องออกทันทีตั้งแต่ตอนเช้าตรู่

บุรุนดีเป็นประเทศที่อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง ไม่มีบริษัทประกันการเดินทางรายไหนรับคุณเป็นลูกค้าหากบอกว่ากำลังจะมาเที่ยวที่นี่ และหากลองหาข้อมูลก่อนเดินทางเพื่อทำความรู้จักกับประเทศนี้ทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Wikitravel, Lonely Planet หรือรีวิวสำนักไหน ๆ ก็จะพบอักษรจั่วหัวว่า
“คำเตือน” (Warning) ตัวโต ๆ สีแดงเถือก
ถ้าจะอธิบายสถานการณ์ในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ให้เห็นภาพในเวลาอันสั้นที่สุดก็อาจกล่าวได้ว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าหลัก 3 เผ่านั่นคือเผ่าฮูตู (Hutu) เผ่าทุตซี่ (Tutsi) และเผ่าทะวา (Twa) ที่ต่างก็ช่วงชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนเล็ก ๆ แห่งนี้

บ้านแบบพื้นเมืองของชาวบุรุนดี

โบสถ์สมัยเบลเยี่ยมปกครอง
หลังจากได้รับเอกราชจากเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1962 บุรุนดีก็ตกอยู่ในภาวะขัดแย้งมาโดยตลอด การสังหารผู้นำชนเผ่าต่าง ๆ มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การรบพุ่งเกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และทวีความรุนแรงจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบในปี ค.ศ. 1993 จนทำให้บุรุนดีกลายเป็นดินแดนไร้กฏหมายจนปี ค.ศ. 2006 ที่สถานการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผมไปบุรุนดีนั้น บริเวณชายแดน และภูมิภาคต่าง ๆ ที่รายล้อมกรุงบุจุมบุรายังคงมีกองกำลังของกลุ่มกบฏและกลุ่มความขัดแย้งต่าง ๆ อีกราว 27 กลุ่มที่พร้อมจะทำสงครามระหว่างกันและสงครามต่อต้านรัฐบาล
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะได้ยินประโยคที่คนขับรถตู้เร่งว่า “......
อย่ามัวชักช้า ไม่มีใครเดินทางหลังพระอาทิตย์ตกในบุรุนดี”
ระยะทางจากคิกาลีสู่บุจุมบุรานั้นเพียง 275 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เราใช้เวลาในการเดินทางไม่น้อยเลย เฉพาะการผ่านด่านจากฝั่งรวันดาสู่บุรุนดีก็เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วไม่ว่าจะเป็นการตรวจหนังสือเดินทาง วีซ่า และกระเป๋าแต่ละใบ
ป้าย
“ยินดีต้อนรับสู่บุรุนดี” ที่เป็นทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสยืนกวักมือเรียกผมอยู่รัว ๆ แต่ดูเหมือนว่าการจะเดินข้ามไปหานั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อผ่านด่านเรียบร้อยแล้วก็เป็นการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงให้ทันก่อนมืด
จากรวันดาที่เป็นเหมือนสวิตเซอร์แลนด์แห่งแอฟริกาอุดมไปด้วยเทือกเขามากมาย การไปบุจุมบุราก็เหมือนการไต่ลงเขาสู่พื้นราบ จากทิวทัศน์ข้างทางที่เคยเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนก็ค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นที่ราบกว้างระหว่างหุบเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี สลับกับหมู่บ้านชนบทแอฟริกันที่มีทั้งบ้านทรงเหลี่ยมหรือทรงกลมที่ล้วนก่อขึ้นจากดินโคลนสีน้ำตาลปนแดงพร้อมหลังคามุงจากอย่างง่าย ๆ
เราผ่านหมู่บ้านมีตลาดนัดเต็มไปด้วยชาวแอฟริกันเดินกันขวักไขว่ หอบลูกจูงหลานมาจับจ่ายข้าวของกันอย่างเอิกเกริก รถตู้โดยสารคันเล็กยังคงมุ่งหน้าต่อไปต่อไปเรื่อย ๆ และผมก็มาถึงบุจุมบุราก่อนมืดค่ำท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน
บุจุมบุราเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบในอ้อมอกของขุนเขา จัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์สวยงามใช้ได้ ส่วนในตัวเมืองนั้นค่อนข้างวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คนที่ใส่เสื้อฉูดฉาดตัดสีผิวคล้ำดังฉับ ผู้หญิงมักจะโพกผมด้วยผ้าสีสดเป็นลวดลายลายกราฟฟิกแบบเดียวกันกับเสื้อและกระโปรงที่สวมอยู่ เธอเหล่านั้นมักจะเทินของไว้บนหัวด้วยทักษะการทรงตัวชั้นเยี่ยมยอด พวกหม้อ พวกไห นี่ธรรมดามาก ๆ เลยนะครับ หลาย ๆ ครั้งผมแอบเห็นพวกเธอเทินที่นอนหลังใหญ่ด้วยท่าเดินหลังตรง เป็นสง่า ราวกับว่าอยู่บนแคทวอล์ค หรือรันเวย์เลยทีเดียว....
ถนนของบุจุมบุราที่จัดว่าเป็นถนนราดยางอย่างดีนั้นมีอยู่เพียงหย่อม ๆ เท่านั้น ในขณะที่พื้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นถนนดินลูกรังพร้อมอิฐและหินตะปุ่มตะป่ำที่โยกเราให้หัวสั่นหัวคลอน ฝุ่นสีแสดแดงคละคลุ้งไปทั่ว และถนนสายเดียวกันนี้ก็พร้อมจะเปลี่ยนสภาพจากถนนฝุ่นเป็นถนนโคลนดูดล้อแน่นเหนียวได้ในทันทีที่ถูกสายฝนชะโลมเพียงบางเบา

ของจักรสานงานฝีมือมีวางขายตามทาง
บุจุมบุรามีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนัก หากมีเวลาก็น่าจะไปเดินที่พิพิธภัณฑ์ที่อธิบายประวัติความเป็นมาของประเทศนี้ได้อย่างครบถ้วน หากต้องการเห็นชีวิตแบบบุรุนดีแท้ ๆ ก็ต้องไปที่ตลาดเพื่อสัมผัสกับสีสันและความมีชีวิตชีวาของที่นี่ คนบุจุมบุราแม้จะดูยากจน แต่ก็มีรอยยิ้มสดใสให้นักท่องเที่ยวอยู่เสมอ บุรุนดีเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมมาก่อน ภาษาที่ใช้เป็นทางการจึงเป็นภาษาฝรั่งเศส ป้ายต่าง ๆ ตามถนนหนทาง ตลอดจนชื่อถนน ร้านค้า ฯลฯ ล้วนเป็นภาษาฝรั่งเศส เช่นเดียวกับคนท้องถิ่นที่พูดอังกฤษแทบไม่ได้ แต่ฝรั่งเศสล่ะก็จะปร๋อมาก ๆ
หากใครที่สนใจทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมก็ไม่ควรพลาด
การแสดงกลองอันเป็นเอกลักษณ์ของบุรุนดีที่มีชื่อเสียงก้องโลกไม่แพ้กลองไทโกะของญี่ปุ่น และเป็นวัฒนธรรมการตีกลองที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
การ์เยนดา (Karyenda) คือชื่อกลองบุรุนดีขนานแท้ทำจากไม้เนื้อดีเพียงท่อนเดียวที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างดีทั้งขนาด และคุณสมบัติของเนื้อไม้เพื่อนำมาเซาะเนื้อไม้ออกให้เกิดพื้นที่ว่างตรงกลางท่อนไม้ก่อนขึงหนังสัตว์แท้ด้านบน
กลองการ์เยนดามักจะทาด้วยสี 3 สี อันเป็นสีธงชาติของบุรุนดีที่สื่อความหมายต่าง ๆ กันคือสีแดง คือ ความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อเอกราช สีเขียวคือความหวัง และสีขาวคือความบริสุทธิ์ ส่วนการตกแต่งกลองนั้นก็จะเหมือนธงชาติเช่นกันนั่นคือนิยมตกแต่งด้วยภาพดาว 3 ดวงเพื่อสื่อถึง 3 ชนเผ่าหลักที่อยู่ร่วมแผ่นดินบุรุนดี


ในอดีตนั้นการแสดงกลองการ์เยนดาถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จะเล่นในพระราชสำนักเท่านั้น และนักกลองเหล่านี้ถือว่าเป็นนักกลองแห่งมวามี (Mwami) อันหมายถึงพระราชา
ขบวนกลองจะเป็นของคู่กษัตริย์เมื่อเวลาเสด็จไปไหนต่อไหน รวมทั้งในพระราชพิธีต่าง ๆ เช่นครองราชย์ เฉบิมพระชนมพรรษา หรือในงานพระบรมศพ
ในอดีต บุรุนดีเคยเป็นราชอาณาจักรที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศมาหลายร้อยปี แม้เมื่อตกอยู่ในฐานะอาณานิคมภายใต้การปกครองของเยอรมันและเบลเยียม บุรุนดีก็ยังคงมีสถาบันพระมหากษัตริย์สืบรัชกาลต่อมาจนถึง ค.ศ. 1966 ที่มีกษัตริย์ Ntare ที่ 5 ผู้ทรงเป็น
“มวามี” องค์สุดท้ายพร้อมกับระบบกษัตริย์ที่สูญสิ้นไป

กลองพื้นเมืองประดับด้วยสีและลวดลายของธงชาติบุรุนดีเป็นของที่ระลึกที่หาได้ทั่วไป
การตีกลองเป็นการแสดงที่ตื่นตามากเพราะนักกลองของพระราชาทุกคนจะแบกกลองหนักอึ้งขึ้นบนศีรษะและเดินตัวตรงเรียงแถวออกมาอย่างสง่างามเป็นขบวนตั้งแต่เริ่มแสดง หัวหน้าจะร้องนำด้วยภาษาถิ่นในถ้วงทำนองอันไพเราะ ลูกคู่ร้องรับด้วยเสียงประสานเป็นช่วง ๆ ขบวนกลองจะมีทั้งกลองทำนองยืน กลองประสาน กลองจังหวะหลักและรองที่ตีรับกันพร้อมเสียงร้องคลอตลอดเวลาอย่างไม่รู้เหนื่อย ที่สำคัญคือการเดินแปรขบวนด้วยกลองใบเขื่องที่มีตลอดเวลาทั้งทินกลองบนหัว แบกกลองด้วยบ่า จัดเป็นแถวขบวนไปมาอย่างน่าดู
การแสดงกลองของบุรุนดีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับคำเชิญให้ไปแสดงมาแล้วทั่วโลก และเป็นสิ่งที่รัฐบาลบุรุนดีภาคภูมิใจมาก ๆ และผู้ชมอย่างผมก็อดที่จะภูมิใจร่วมไปกับพวกเขาไม่ได้เช่นกัน
การมาบุรุนดีถือว่าเป็นการมาพักผ่อนสบาย ๆ อยู่ริมทะเลสาบแทนกันยิกา ดังนั้นผมจึงเลือกมาพักที่ โรงแรม Hôtel du Lac Tanganyika (โอแต็ล ดู ลัก ต็องก็องยิกา) โรงแรมสวยท่ามกลางสวนเขียวขจี ด้านหน้าโรงแรมมีหาดชื่อว่า
“หาดมะพร้าว” หรือ ปล๊าจช เดส์ โกโกติเย่ส์ - Plage des Cocotiers ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหาดทรายสะอาดทอดตัวสู่ทะเลสาบที่ดูกว้างใหญ่คล้ายท้องทะเล

ยิ่งเวลาบ่ายแก่ ๆ เมื่อแสงแดดเริ่มโรย สายลมกลับจะเริ่มแรง จนเราสามารถมองเห็นคลื่นเป็นระลอก ๆ สาดซัดเข้าสู่ฝั่งเหมือนกับอยู่ริมทะเลหรือมหาสมุทรไม่มีผิด
ผู้คนมากมายพากันอุ้มลูกจูงหลานออกมาเดินทอดน่องรับลมเย็นกันเพลิน ๆ หนุ่ม ๆ แอฟริกันเตะบอลกันอยู่หลายวงรอให้เราไปร่วมแจมกับเพื่อนใหม่เหล่านี้ได้ ส่วนผมเองนั้นก็กำลังรวบรวมสมาธิเพื่อทำภาระกิจสำคัญที่ดั้นด้นมาถึงบุรุนดีในครั้งนี้ นั่นคือการลงไปแหวกว่ายในทะเลสาบแทนกันยิกาอันโด่งดัง

ชีวิตชาวบ้าริมทะเลสาบแทนกันยิกา
น้ำใส ๆ กับฟองคลื่นค่อย ๆ พยุงตัวผมให้ลงไปแหวกว่ายอย่างสบายใจ อุณหภูมิน้ำกำลังพอดีช่วยสร้างความั่นใจให้ผมว่ายน้ำต่อไปเรื่อย ๆ สายตาจับจ้องมองภูเขาที่รายล้อมรอบตัวอยู่ลิบ ๆ อ้า......ช่างสวยงามเสียนี่กระไร ผมกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจว่าช่างเป็นบุญของตัวเองแท้ ๆ ที่วันหนึ่งมีโอกาสมาว่ายน้ำในทะเลสาบชื่อกระฉ่อน ผมดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานไปไกลแสนไกลจนว่ายไปกลับตัวที่ต้นกกกอใหญ่ก่อนว่ายกลับมาหน้าหาดที่โรงแรมอย่างสบายใจ
รุ่งขึ้นเป็นวันสบาย ๆ ผมเลือกล่องเรือออกจากโรงแรมเพื่อชื่นชมทะเลสาบแห่งนี้อีกครั้งด้วย Speed Boat ที่เร่งเครื่องพาผมออกจากฝั่ง ละลิ่วไปบนผืนน้ำ ผ่านชาวบ้านที่พากันมาทอดแหตกเบ็ดหาปลาให้ได้ทักทายกันอย่างเป็นมิตร
ก่อนกลับโรงแรมเรือพาผมวกผ่านมาทางต้นกกกอใหญ่ที่ผมว่ายน้ำมากลับตัวเมื่อวานเย็น และแล้วผมก็เห็นฮิปโปตัวใหญ่ยืนกระพือหูอยู่ปริบ ๆ ปริบ ๆ ในกกกอนั้น....... เฮ้ยยยยย!!!!!
“ฮิปโปตัวนี้อยู่แถวนี้แหละเมอซิเออร์... มันมาอาบน้ำของมันทุกวี่ทุกวัน” คนขับเรือตะโกนบอกผม
“ทะ ทะ ทะ ทุกวันเลยเหรอ?” ผมละล่ำละลักถาม พร้อมกับเอามือถือซูมเข้าไปบันทึกภาพแบบสั่น ๆ
“ใช่แล้ว...เมอซิเออร์ ในทะเลสาบนี้มีฮิปโปอีกเยอะ...เมอซิเออร์จะวนไปดูไหม?”นี่ผมเกือบจบทริปนี้ด้วยการว่ายน้ำกับฮิปโปไปเมื่อวานนี้แล้วหรือนี่....
อ๊ากกกกก.....แม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นเลยในระหว่างที่ผมเดินทางอยู่ที่นั่น ผู้คนที่พบเจอล้วนเป็นมิตร หากแต่ผมทราบดีว่ายังมีความคุกรุ่นซ่อนเร้นให้ระแวดระวังอยู่ทั่วไปในประเทศนี้ ผมหวังว่าบุรุนดีจะพบกับสันติภาพอย่างแท้จริงในเร็ววันนี้เสียที เพื่อให้ใครต่อใครได้มีโอกาสไปสัมผัสเสียงกลองแห่งพระราชาที่ยังคงดังกึกก้องท้องฟ้า และยืนมองระลอกคลื่นทะเลสาบแทนกันยิกาสาดซัดสู่ฝั่งอย่างประทับใจ.......
เหมือนที่ผมได้ไปสัมผัสมาImage Contributors: Lode Nandhivajrin & นีรชา วงศ์มาศา