สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง... นักสร้างแบรนด์ผู้มาก่อนกาล
หลังจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต ภาพฉลองพระองค์ที่งดงามในหลายวาระถูกแชร์กันไปทั่ว เบื้องหลังความงดงามของฉลองพระองค์โดยเฉพาะผ้าไทยและเครื่องประดับอันประณีต คือ พระราชปณิธานและงานที่ท่านทรงทุ่มเทตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ตามที่ได้มีพระราชดำรัสว่า “การช่วยเหลือราษฎรนั้น เพื่อให้เขาได้ช่วยตัวเองได้"
“เพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองได้” สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเห็นงานหัตถศิลป์ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแต่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้ผ้านุ่งเก่าๆ หรือในกี่ทอผ้าใต้ถุนเรือนชาวบ้านในบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ พร้อมที่จะสูญหายไปได้ตลอดเวลา และทรงนำมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ออกมาสู่แสงไฟให้คนทั่วโลกได้เห็น ผ้าทอผืนงามฝีมือชาวบ้านจากตำบลห่างไกลรวมถึงงานหัตถศิลป์อื่นๆ อีกมากมายที่มีความประณีต จึงได้ไปโลดแล่นเคียงข้างแฟชั่นชั้นสูงในถิ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่นของโลก กลายเป็นสินค้าที่แฟชั่นไอคอน คนดัง ผู้นำระดับโลกเลือกที่จะสวมใส่ สร้างความต้องการในตลาดโลก และยกระดับคุณค่าของงานฝีมือให้เป็นงานหัตถศิลป์ชั้นยอด
อาจจะพูดได้ว่า พระองค์ทรงเป็น “ซีอีโอ” ที่มีพระอัจฉริยภาพ วิสัยทัศน์ ทรงสร้างโมเดลการดำเนินโครงการอย่างครบวงจร ที่เกิดจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด ทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นทางไปจนสุดปลายทาง ที่แก้ปัญหาความยากจนที่ต้นเหตุ ช่วยให้ประชาชนสร้างอาชีพ เลี้ยงดูตัวเองได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็สามารถฟื้นฟูรักษาวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่เกือบจะสูญไป ทำให้คนทั้งไทยได้หันกลับมาชื่นชมรากเหง้าของตนเอง สร้างกระแสช่วยกันพัฒนาต่อยอดออกไป และชาวต่างชาติได้มีโอกาสสัมผัสวัฒนธรรมอันงดงาม
ค้ำคูณแกลเลอรี่ หนึ่งในผู้ที่รักษาและสืบทอดจิตวิญญาณแห่งผ้าไทย ได้โพสต์ถวายอาลัย เล่าเรื่องที่สะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพนี้ได้อย่างชัดเจน
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ เห็นแม่ทอผ้าใต้ถุนบ้านแล้ว ผ้าผืนนั้นคือ “ ผ้าแพรวา “ ในดินแดนภูไท ถิ่นฐานอันแร้นแค้นทุรกันดาร ชาวบ้านอยู่ตามอัตภาพ มีอาชีพหลักคือเกษตรกร ส่วนสตรีจะทอผ้าไหม
“แม่เคยบอกว่า พระราชินีเสด็จ ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ “ภูพาน” ชาวบ้านหลายคนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและมีโอกาสถวายงาน หากพูดภาษาชาวบ้าน นั่นก็คือ ”ถือผ้าไหมเพื่อไปขายให้พระราชินี“ พระองค์ทรงรับซื้อไว้หมด ผืนผ้าอันวิเศษนี้ ทำให้ชาวภูไท ปลุกชีวิตได้อีกอีกครั้ง จากกี่ร้างก็ถูกซ่อมแซม เสียงฟืมกระทบกี่ เสียงสาวไหมอันพลิ้วไหว สู่เส้นใยถักทอเป็นผืนผ้าแห่งชีวิต
“แพรวา “ผืนผ้าแห่งชีวิตและจิตวิญญาณ ที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนสอนทอผ้า แต่เป็นการสื่อสารจากรุ่นสู่รุ่น มาจนถึงปัจจุบัน ผืนผ้าจากเพียงหนึ่งวา สู่คำว่าราชินีแห่งไหมไทย ผ้าอันวิจิตร ทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ ภูมิปัญญาเหล่านี้สามารถต่อยอดให้เป็นผ้าไหมที่โด่งดังไกลจนมาถึงปัจจุบัน เพราะบารมีพระแม่ฟ้าของชาวไทย “ ผ้าไหมแพรวาราชินีแห่งไหมไทย “ ข้าพเจ้า ในนามเจ้าของแบรนด์ค้ำคูณแกลเลอรี่ สัญญาด้วยจิตวิญญาณนี้ว่า จะรักษา และต่อยอด “ผ้าไทย ผ้าไหมไทย” สืบสานปณิธานของพระแม่ฟ้าของชาวไทย สืบไป”
สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มการส่งเสริมแพรวามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2520 เมื่อครั้งเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มสตรีเชื้อสายภูไทย นำโดยคุณแม่คำใหม่ โยคะสิงห์ ซึ่งปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็นครูศิลป์ของแผ่นดิน ชาวบ้านโพนได้มาเข้าเฝ้า และแต่งชุดภูไท คือเสื้อแขนยาวสีดำ คู่กับผ้าแพรวาคลุมไหล่สีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ ความงดงามและเทคนิคอันซับซ้อนในการทอจนได้ผืนผ้าที่มีลวดลายสวยงามประณีตนี้เองที่ทำให้แพรวากลายเป็นที่รู้จักกันในนาม “ราชินีแห่งไหมไทย”
ตามธรรมเนียมโบราณ ชาวบ้านมักปูผ้าที่ทอขึ้นเองไว้บนพื้นเพื่อให้เจ้านายเสด็จพระราชดำเนินประทับรอยพระบาทไว้เป็นสิริมงคล ครั้งนี้ชาวบ้านนำผ้าแพรวามาปูเช่นกัน สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทอดพระเนตรเห็นผ้าสวยมาก เลยไม่ทรงพระดำเนินไปบนผืนผ้า แต่ทรงชวนให้ชาวบ้านหันมาทอผ้างามๆ ขายให้พระองค์แทน นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ผ้าไหมแพรวาได้ก้าวเดินสู่การเป็นสัญลักษณ์มรดกอันล้ำค่าแห่งวัฒนธรรมไทย
กลยุทธ์แรกที่ทรงใช้ คือ การรับซื้อแพวาทุกผืนด้วยพระองค์เอง ในราคาสูงเพราะทรงเล็งเห็นถึงคุณค่าของผลงาน และทรงชื่นชมมรดกทางวัฒนธรรม โดยไม่ได้คำนึงถึงกำไรขาดทุน ตามที่เคยมีรับสั่งว่า “ขาดทุนของฉัน คือกำไรของแผ่นดิน”
เมื่อทรงรับซื้อผ้ามาแล้ว ได้โปรดฯ ให้นักออกแบบแฟชั่นออกแบบผ้าเหล่านี้ เนรมิตให้ผืนผ้าอันงดงามกลายมาเป็นชุดที่น่าตื่นตาตื่นใจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เป็นที่ต้องการของตลาด
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสกับชาวบ้านที่ทอผ้าว่า “ถ้ามีลูกหลาน ให้สอนลูกหลานมาช่วยทอผ้าเวลาว่าง” ซึ่งกระตุ้นให้ชาวบ้านหันกลับมาเรียนรู้ ฟื้นฟู และทอผ้ากันทั่วหน้า บางคนทอเมื่อมีเวลาว่าง แต่หลายคนทอจริงจังเป็นอาชีพ และนำผลงานผ้าทอของตนเองกลับมา “ขาย” พระองค์ท่านในปีถัดไปเมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปที่ภาคอีสาน
และนี่นับเป็นการช่วยราษฎรให้ช่วยเหลือตัวเองในขั้นต้น มีอาชีพสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว และยังได้เกิดการเรียนรู้ ถ่ายทอดวัฒนธรรมวิธีการทอผ้าที่เกือบจะสูญหายให้กลับมาเฟื่องฟูได้อีก รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสให้ชาวบ้านที่ทอผ้า ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ดี เป็นเครือข่ายที่แข็งแรง และที่สำคัญคือ ทรงสร้าง “ตลาด” และทำให้ชาวบ้านและคนทั่วไปได้ตระหนักถึงคุณค่าของงานศิลปะมรดกของชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มราคาให้กับผ้าที่วนกลับมาเป็นรายได้ที่ช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน

ทรงเป็นยิ่งกว่าแบรนด์แอมบาสเดอร์
ด้วยฐานะสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของไทย ได้ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไปทรงเยือนประเทศต่างๆ และได้ทรงใช้โอกาสนี้นำผ้าไหม ผ้าทอ และงานหัตถศิลป์ของไทยไปสู่สายตาคนทั่วโลก และยกระดับงานหัตถศิลป์ไทยให้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับงานศิลปะชั้นสูงของโลก โดยพระองค์เองทรงทำหน้าที่เป็นเสมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อประกาศให้โลกได้ตระหนักว่าประเทศไทยเป็นชาติที่เก่าแก่ มีอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมอันงดงามที่อยู่คู่ชาติไทยมาอย่างยาวนาน
ในปีพ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรปเป็นเวลานานหลายเดือน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (พระยศในสมัยนั้น) ทรงมีพระราชดำริว่าการแต่งพระองค์เป็นเรื่องสำคัญ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ทรงคิดอยู่นานว่าจะทรงฉลองพระองค์อย่างไรดี
“ในที่สุดข้าพเจ้าตกลงใจว่า จะใช้เครื่องแต่งกายทั้งแบบไทยและสากลซึ่งทั่วโลกนิยมในการตามเสด็จครั้งใหญ่นี้ก็เห็นจะเข้าทีที่สุด ดูจะเหมาะแก่โอกาสและอากาศกว่าการแต่งไทยอยู่อย่างเดียว” พระองค์ได้มีพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือ ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 
พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าหากให้นักออกแบบชั้นนำชาวต่างชาติเป็นผู้ต่อยอด นำผ้าไหมไทยไปออกแบบรังสรรค์ให้มีความหลากหลาย เหมาะกับรสนิยมของชาวต่างประเทศ จะช่วยให้ผ้าทอฝีมือจากชาวบ้านของไทย เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล จึงทรงร่วมมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังชาวตะวันตก เช่น ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain) ในการออกแบบฉลองพระองค์ผ้าไหมไทยในรูปแบบทันสมัยเป็นสากลที่ชาวตะวันตกคุ้นเคยและชื่นชม และทรงฉลองพระองค์เหล่านี้ขณะเสด็จฯ เยือนประเทศต่างๆ ทำให้ผ้าไหมผ้าทอพื้นบ้านของไทยกลายเป็นแฟชั่นชั้นสูงในระดับนานาชาติ ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลก และเกิดประโยชน์โดยตรงต่อช่างฝีมือในท้องถิ่น พระปรีชาสามารถและกลยุทธ์ของพระองค์ส่งผลต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

การทูตเชิงวัฒนธรรม ซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลังที่สุด
สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือส่งเสริมชื่อเสียงประเทศไทยมาหลายทศวรรษก่อนที่คนไทยจะได้รู้จักคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นฉลองพระองค์อันวิจิตรที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับโลกอย่างบัลแมง หรือชุดไทยพระราชนิยมก็ตาม
ก่อนที่จะตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไปเยือนต่างประเทศ พระองค์ทรงเห็นว่าชุดไทยมีความหลากหลาย สามารถบ่งบอกเอกลักษณ์และสะท้อนศักดิ์ศรีวัฒนธรรมอันยาวนานของชาติไทยให้ชาวต่างชาติเห็นได้อย่างชัดเจน จึงได้เกิดเป็นชุดไทยพระราชนิยมถึง 8 แบบซึ่งเป็นมาตรฐานจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนอกจากรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังได้เริ่มใช้เทคนิคการตัดเย็บแบบทันสมัยให้สวมใส่ง่าย รวดเร็ว นับเป็นการพลิกโฉมชชุดไทยครั้งใหญ่
ชุดไทยพระราชนิยมแต่ละแบบมีการใช้งานในโอกาสที่แตกต่างกันไป โดยท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ได้ช่วยคิดชื่อชุดแต่ละแบบถวายโดยอ้างอิงจากพระที่นั่งต่างๆ ในพระบรมมหาราชวัง และพระราชวังดุสิต ได้แก่ ชุดไทยเรือนต้น ไทยจิตรลดา ไทยอมรินทร์ ไทยบรมพิมาน ไทยดุสิต ไทยจักกรี ไทยศิวาลัย และไทยจักรพรรดิ
การถือกำเนิดของชุดไทยพระราชนิยม สะท้อนให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกลที่ได้ทรงสร้างอัตลักษณ์ให้แก่แฟชั่นไทย ขณะเดียวกัน การที่พระองค์ทรงฉลองพระองค์เหล่านี้ได้อย่างสง่างาม ยังทำให้คนทั่วโลกได้ยกย่องว่าทรงเป็นสตรีที่แต่งกายดีที่สุดในโลก และยังได้มีการจารึกพระนามไว้ที่ New York Hall of Fame ในปีพ.ศ. 2508 อีกด้วย

กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงสานต่อพระวิสัยทัศน์ของพระบรมราชชนนี ด้วยการเสนอให้องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนชุดไทยพระราชนิยมเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยปัจจุบันยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณวรี นารีรัตนราชกัญญา หลานย่าของพระองค์ได้ทรงต่อยอดงานด้านผ้าและแฟชั่นออกไปในแง่ของการดีไซน์แบบร่วมสมัย ซึ่งจะทำให้ชุดไทยเดินทางไปได้ไกลยิ่งขึ้นบนเส้นทางอุตสาหกรรมแฟชั่นของโลก และสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยได้อย่างสง่างามและไม่มีวันสิ้นสุดในสายตาชาวโลก
นอกจากผ้าไหม ผ้าทอ พระองค์ยังทรงส่งเสริมงานหัตถศิลป์ทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นของขวัญพระราชทาน หรือการแนะนำผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิศิลปาชีพ (SUPPORT)
โขนพระราชทาน ที่สุดแห่งงานประณีตศิลป์และการแสดง
หนึ่งในโครงการสำคัญที่ต่อยอดจากการรักษา ฟื้นฟู และพัฒนาผลิตภัณฑ์งานหัตถศิลป์ของพระองค์ท่าน คือ การแสดงโขนพระราชทาน ซึ่งต้องผสมผสานงานศิลปะ และงานหัตถศิลป์มากมายหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นหัวโขนอันวิจิตร เสื้อผ้าที่ต้องใช้ช่างปักเย็บมีฝีมือ เครื่องประดับอันงามประณีต ฉาก และการร่ายรำ เรียกได้ว่า การแสดงโขนนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงงานฝีมือของช่างไทยหลากหลายแขนงเท่านั้น แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมสำคัญที่ยังคงสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน
พระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้นำแบบที่ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างเสมอ เช่นเดียวกับที่ทรงใช้ผ้าไทย กระเป๋าย่านลิเภาและงานหัตถศิลป์อื่นๆ และสำหรับโขนที่นับวันจะมีคนดูน้อยลง ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า “ถ้าไม่มีใครดู ฉันจะดูเอง” และเสด็จฯ ทอดพระเนตรโขนเป็นประจำเมื่อยังทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์
หลังจากนั้นมา โขนพระราชทาน ได้กลายเป็นมหกรรมการแสดงประจำปีที่มีการแสดงยาวนานนับเดือน และตั๋วขายหมดอย่างรวดเร็วเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น โขนพระราชทานยังดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาชม และเยาวชนจำนวนมากเข้ามาเรียนโขน พร้อมที่จะทำหน้าที่สืบทอดศิลปะการแสดงนี้ต่อไป
จากเส้นไหมสู่แฟชั่นแถวหน้า จากกี่ทอผ้าสู่เวทีแฟชั่นระดับโลก ทุกย่างก้าวของผ้าและงานหัตถศิลป์ของไทยล้วนแต่เกิดจากพระราชปณิธาน สายพระเนตรอันยาวไกล ความเอาพระทัยใส่ในทุกรายละเอียดทั้งที่เกี่ยวกับผ้า ผู้ทอผ้า ผู้สร้างงานหัตถศิลป์ต่างๆ ซึ่งสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นและมรดกของบรรพบุรุษ และการรักษาวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน คือหัวใจหลักที่สามารถเปลี่ยนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้เป็นวิถีชีวิต ยกระดับมรดกทางวัฒนธรรมให้มีคุณค่ามากขึ้น มีการสืบสานอย่างไม่ขาดตอน เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วโลก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์ท่าน ได้ทรงช่วยแก้ปัญหาความยากจนของพสกนิกรได้อย่างยั่งยืน ทำให้คนเห็นคุณค่าของตนเองและมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อมาจากรุ่นก่อน และยังช่วยให้คนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของสังคมถูกมองเห็นและได้รับการยกย่อง
งานที่ทรงตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ได้แสดงให้ทั่วโลกได้ประจักษ์แล้วว่า ความงามที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่เรามองเห็นหรือฉลองพระองค์ที่วิจิตรงดงาม หากแต่ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระองค์ท่านผู้ทรงเป็นแม่แห่งแผ่นดิน
PHOTO Courtesy of Queen Sirikit Museum of Textiles, SUPPORT Foundation, Royal Household Bureau, Khamkoon Gallery
STORY by Ohnabelle and Veen T.


