ศักดิ์ศรี ความดี และตำนานอาจารย์ศิลป์ จากการบรรยายของ รศ. สุธี คุณาวิชยานนท์
ในตอนสุดท้ายของการบรรยายเรื่องราวชีวิตอาจารย์ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci) เราจะได้ค้นพบแก่นแท้ของปรัชญาการศึกษาที่ท่านใช้ปลูกฝังให้กับลูกศิษย์ ตั้งแต่การสอนให้ "ภาคภูมิใจในตัวเอง" การต่อต้าน "ขี้ฝรั่งหอม" หลักการ "อยู่ในที่" ไปจนถึงเหตุผลที่ทำให้ท่านกลายเป็นตำนานที่จารึกอยู่ในใจคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้
สอนให้ภาคภูมิใจในตัวเอง
อาจารย์ศิลป์สอนให้ลูกศิษย์ภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่หลงใหลในสิ่งที่เป็นของตะวันตกอย่างไร้เหตุผล คุณวิชัย อภัยสุวรรณ นักเขียนภาพล้อในหนังสือพิมพ์ เล่าถึงวันหนึ่งที่ท่านเดินผ่านมาเห็นเขากำลังเขียนภาพล้อรูปการ์ตูนฝรั่ง อาจารย์ศิลป์จึงพูดว่า
"นายยังเห็นขี้ของฝรั่งหอมอยู่นั่นเอง ฉันเคยบอกกับนายมาตั้งนานแล้วว่า งานการ์ตูนที่นายควรจะดูแบบได้ คือ งานการ์ตูนของสวัสดิ์ จูฑารพ"
คุณไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือ "ท่านกูฏ" เคยบอกไว้ว่าสำนวน "ขี้ฝรั่งหอม" เป็นสำนวนที่อาจารย์ศิลป์คิดขึ้น คำนี้สามารถตีความได้สองระดับ
ระดับแรก คือการหลงเชื่อหลงบูชาฝรั่งไปเสียทุกเรื่อง หลงเสียจนแม้แต่ขี้ของฝรั่งก็ยังเคลิ้มใจไปว่าหอม
ระดับที่สอง คือสิ่งที่ไปหลงเชื่อทำตามฝรั่งไปนั้น เป็นการหลงผิดไปกับสิ่งที่เป็นของเสียของด้อยไร้ค่าของฝรั่ง หาใช่การทำตามในสิ่งที่ดีเลิศของฝรั่งไม่
หลักการเกียรติยศที่แท้จริง
อาจารย์ช่วง มูลพินิจ เล่าถึงคำสอนของอาจารย์ศิลป์ว่า
"เกียรติยศนั้นมีสองอย่าง...หนึ่ง เกียรติยศซึ่งให้แก่กันได้ เช่น หลวง พระ พระยา (คือ บรรดาศักดิ์) แต่อีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นเกียรติยศอันสูง ซึ่งให้แก่กันไม่ได้ แต่ตัวเองนั้นแหละต้องให้แก่ตัวเอง"
คุณประภาส อิ่มอารมณ์ เล่าประสบการณ์ที่เขาลองเขียนรูปแนวคิวบิสม์เพื่อส่งเข้าประกวด อาจารย์ศิลป์เดินมาเห็นเข้าก็ถามว่า
"...นายรู้สึกอย่างที่เห็นหรือเปล่า..."
เมื่อคุณประภาสตอบว่าไม่ ที่ทำเพราะเห็นคนอื่นเขาทำ อาจารย์จึงบอกว่า
"...ก็ลองทำไป แล้วนายจะพบเอง แต่ระวังนะ ถ้านายเดินออกมาไกลไปเท่าไหร่ นายอาจจะหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ถูก..."
สอนให้เป็นคนดี
ในช่วงที่จอมพล ป.พิบูลสงครามหมดอำนาจทางการเมือง และมีกระแสพยายามจะปิดมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจารย์สมโภชน์ อุปอินทร์ เล่าว่าอาจารย์ศิลป์ดูเงียบขรึมไป จนมีคนไปแซวท่านว่า
"อาจารย์ ตอนนี้จอมพล ป. ตกกระป๋องไปแล้ว"
อาจารย์ศิลป์ตอบด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้งว่า
"น้ำฝนที่เห็นใสสะอาดในตุ่มทุกใบนั้น ถ้าใครไปกวนมันเข้า ตะกอนก็จะลอยคลุ้งขึ้นมา วิสัยของคนเลวนั้น เมื่อตนเองไม่สามารถทำให้น้ำใสได้ ก็มักหาเรื่องกวนน้ำให้ขุ่นข้นไปเสียเลย..."
หลักการ "อยู่ในที่"
อาจารย์สนั่น ศิลากรณ์ เล่าว่า สมัยเป็นนักศึกษาเคยไปเล่นแบบไร้สาระที่โรงหล่อ จนอาจารย์ศิลป์ออกมาสั่งสอนว่า
"คนเราต้องอยู่ในที่"
คำนี้เป็นคำที่อาจารย์ศิลป์มักพูดอยู่เสมอ แม้แต่ตอนวิจารณ์งานเรียนในวิชาองค์ประกอบศิลป์ ถ้าตรงไหนดีท่านก็จะบอกว่า ตรงนั้นมัน "อยู่ในที่" และเมื่อตรงไหนดูไม่ดี ท่านจะบอกว่ามัน "ไม่อยู่ในที่"
ภายหลังท่านมาเฉลยว่า ทุกสิ่งมันมีที่ของมัน เช่น พ่อต้องอยู่ "ในที่" ของพ่อ คือ อยู่ในหน้าที่ของพ่อ และลูกต้องอยู่ "ในที่" ของลูก วัตถุก็เหมือนกัน ถ้าตั้งพระพุทธรูปไว้ในห้องน้ำก็ไม่เหมาะสม
อาจารย์สนั่นสอนต่อว่า "อยู่ในที่" คือสัจจะของโลกที่จะบันดาลให้เกิดความสุขหรือความทุกข์แก่สังคมหรือประเทศชาติได้ เมื่อเป็นนักเรียนมีหน้าที่เรียน ต้องถามว่านักเรียนอยู่ในที่ของนักเรียนไหม หรือเมื่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ทำงาน แล้วไม่รักษาหน้าที่ของตน ความเสื่อมเสียของประเทศชาติก็ตามมา
ทำไมเรื่องของอาจารย์ศิลป์จึงเป็นตำนาน
เหตุผลที่เรื่องราวของอาจารย์ศิลป์กลายเป็นตำนาน เกิดจากหลายปัจจัยที่รวมตัวกัน ทั้งผลงานที่ท่านได้สร้างเอาไว้ ทั้งในด้านงานศิลปะ การสร้างอนุสาวรีย์ ตลอดจนการสร้างระบบการศึกษาและความรู้ต่างๆ ทางศิลปะ
บุคลิกของผู้นำที่แท้จริง
อาจารย์ศิลป์เป็นคนมีบารมี เป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นที่พึ่งพาสำหรับลูกศิษย์และผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา คนยุคปัจจุบันอาจเรียกว่าเป็นระบบแบบ "ซีอีโอ" ที่บุคคลเดียวสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะอยู่ในระบบราชการ
อาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ เล่าว่า เมื่อข้าราชการกรมศิลปากรมาต่อว่าเรื่องการสอบบรรจุอาจารย์ อาจารย์ศิลป์ตอบสั้นๆ ว่า
"ฉันสอบของฉันแล้ว นายจะเอาคะแนนเมื่อไหร่ คะแนนเท่าไหร่ถึงจะสอบได้"
หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง คะแนนการสอบเข้าเป็นอาจารย์ก็เรียบร้อย
ความเป็นผู้อุปถัมภ์
อาจารย์ศิลป์เป็นทั้งครูและผู้อุปถัมภ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเงินเดือนมากมาย แต่ถ้าลูกศิษย์ขัดสนเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่มีเงินกลับบ้าน หรือไปดูหนังแต่ไม่มีเงิน ก็สามารถมาขอความช่วยเหลือได้
ความสมถะของท่านดูได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน ท่านเคยใช้วิธีขี่จักรยานไป-กลับระหว่างบ้านพักย่านบางกะปิกับที่ศิลปากร ซึ่งในยุคนี้คงไม่มีใครทำอย่างนั้นได้อีกแล้ว
อาจารย์ศิลป์กับภาพถ่าย
ภาพถ่ายเป็นพลังสำคัญในการสร้างตำนานอาจารย์ศิลป์ ท่านเป็นคนที่ถ่ายรูปขึ้น มีเสน่ห์ มีบารมี มีรัศมี มีออร่า มีคาริสม่า
อาจารย์อวบ สาณะเสน ลูกศิษย์ที่ชอบถ่ายรูป เล่าว่าเวลาถ่ายรูปอาจารย์ศิลป์ทำได้ง่ายมาก พอยกกล้องขึ้นมา ท่านก็หันหน้าเข้าใส่แล้ว ประมาณว่าท่านเป็นคนที่รู้มุมกล้องและไม่กลัวการถ่ายรูป
วาทศิลป์และวรรคทอง
นอกจากภาพถ่ายแล้ว เรื่องวาทศิลป์และวรรคทองจากอาจารย์ศิลป์ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับท่าน จากงานเขียนบทความต่างๆ และสำนวนเด็ดๆ ที่กลายเป็นวรรคทอง เช่น
"พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว"
"ศิลปะยืนยาวชีวิตสั้น"
ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานมหาวิทยาลัยศิลปากรและวงการศิลปะ
ผู้ร่วมสร้างตำนาน
เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ศิลป์ โดยเฉพาะในเรื่องวาทศิลป์ เราต้องขอบคุณ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ และ พระยาอนุมานราชธน ผู้แปลทั้งสองท่านที่ทำให้เรามีบทความดีๆ ได้อ่านกัน
ผู้ที่คู่ควรกับคำขอบคุณอย่างสูงอีกท่านคือ คุณนิพนธ์ ขำวิไล (พี่ได๋ของน้องๆ) ท่านเป็นบรรณาธิการ ผู้สัมภาษณ์เก็บข้อมูลและเรียบเรียงเรื่องราวในหนังสือ "อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์"
และอีกท่านเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยเผยแพร่งานคลาสสิกชิ้นนี้คือ คุณวิจิตร อภิชาติเกรียงไกร
บทสรุป
หนังสือ "อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์" เป็นเหมือนคัมภีร์ชิ้นหนึ่งของวงการศิลปะที่จะไม่มีวันล้าสมัย เพราะภายในบรรจุไว้ซึ่งปรัชญาชีวิต จริยธรรม และแนวคิดในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่ยังคงเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นใหม่
ตำนานอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าของอดีต แต่เป็นแรงบันดาลใจที่ยังคงมีชีวิต ยังคงสอนเราถึงการมีศักดิ์ศรี การเป็นคนดี การ "อยู่ในที่" และการภาคภูมิใจในตัวเองอย่างแท้จริง
**เรียบเรียงจากการบรรยายของ สุธี คุณาวิชยานนท์ เมื่อ 16 สิงหาคม 2555
บรรยายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ข้อมูลอ้างอิงหลักมาจากหนังสือรวมข้อเขียน "อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์" ขัดเกลาและเผยแพร่เพื่อวันศิลป์ พีระศรี ปี 2557