อย่าพลาด งานเอ็กซ์โปพระพุทธศาสนาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เต็มพื้นที่พุทธมณฑล
รู้ไหมว่า ทุนพระราชทาน (HM the King's scholarships) สำหรับพระสงฆ์มีมานานกว่า 20 ปีแล้ว ภายใต้ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย และกำลังจะเกิดปรากฏการณ์ครั้งสำคัญระดับโลกที่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง นั่นก็คือ งานมหกรรม "สืบสานงานพ่อ ต่อยอดทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย" วันที่ 2-4 กรกฎาคม 2568 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ร่วมกับสถาบันสงฆ์ และหน่วยงานต่างๆ ริเริ่มการจัดงานนี้ขึ้น เพื่อให้พระสงฆ์และสามเณรที่ได้รับการถวายทุนการศึกษาพระราชทาน ทั้งที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว หรืออยู่ในระหว่างรับทุนการศึกษาพระราชทาน มีโอกาสเสนอผลงานการศึกษา การปฏิบัติ และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยทรงพระราชทานผ้าไตร 73 ไตร เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
พระคุณพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และกรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานจัดงานฝ่ายสงฆ์ กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทยที่ทั้ง 8 องค์กร ซึ่งกำกับดูแลการดำเนินกิจกรรมทั้งด้านการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มาร่วมกันจัดงานมหกรรมนี้ขึ้น ซึ่งกว่าจะรวมตัวกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นงานที่มีสเกลใหญ่มาก แต่ในที่สุดงานนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี ประธานฝ่ายคฤหัสถ์ กล่าวเสริมว่า มหกรรมสืบสานงานพ่อ ต่อยอดทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เป็นงานบุญใหญ่ที่รวมเอาสิ่งดีงามมาอยู่ที่เดียวกัน และเป็นครั้งแรกที่มีการระดมสมองและรวมพลังของพระเถระ พระเถรา มากที่สุด จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนชาวไทยจะมาร่วมบุญกัน
ขณะที่ นายฐานปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานอนุกรรมการอำนวยการ โครงการฯ บอกว่า ขณะที่มีการจัดงาน World Expo ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น แต่ไทยกำลังจะจัดงาน World Expo ทางด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่สำคัญยิ่งในการถ่ายทอดกิจกรรมของพระสงฆ์ไทย และปลูกฝังศีลธรรมอันดีงามให้แก่พุทธศาสนิกชน
ทั้งนี้ มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และ บริษัท ไทยเบฟ เวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยตลอดกว่า 17 ปี และมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนจากภาคเอกชน (Crowdfunding) เพื่อสนับสนุนการจัดงานดังกล่าว
พระพรหมบัณฑิต ยังบอกอีกว่า ทั้ง 8 องค์กร ก็อยากให้มีการจัดงานมหกรรมนี้ต่อเนื่องไปทุกปี ซึ่งในเบื้องต้น นายฐานปน เสนอแนะให้จัดต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงครบรอบ 100 ปี วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี 2570
กิจกรรมไฮไลท์
บนพื้นที่ 2,500 ไร่ ของพุทธมณฑล ได้ถูกออกแบบให้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานประมาณ 4,000 รูป/คน ต่อวัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยนอกจากหอประชุมใหญ่แล้ว จะมีโดมสำหรับการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมของแต่ละองค์กร
พระคุณพรหมบัณฑิต บอกว่า ปกติ ทั้ง 8 องค์กรจะทำกิจกรรมไม่ตรงกัน และเผยแพร่ข่าวสารภายในวงจำกัด ทำให้ประชาชนชาวไทยจำนวนมากไม่รู้ว่า พระสงฆ์ทำอะไรบ้างทั้งด้านการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังนั้น งานมหกรรมครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอภาพรวมทั้งหมดมาอยู่ในที่เดียว
ภายในงานจะมีการจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบทันสมัย นำเสนอสุดยอดผลงานของทั้ง 8 องค์กร ได้แก่ สถาบันสงฆ์ระดับอดุมศึกษา (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย), โครงการกองทุนศึกษาบาลี, โครงการอบรมพระนักเทศน์ พระธรรมกถิกาจารย์, โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ พระคณาจารย์ด้านกรรมฐาน, โครงการพระธรรมจาริก, โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕, โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข "วัดสวยด้วยความสุข" และหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล
นอกจากนี้ จะมีเทศนาสี่ภาค สี่ภาษาถิ่น และปุจฉาวิสัชนา การเสวนาทางวิชาการ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมสี่ภาค
อีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในตอนเย็นวันที่ 4 ก.ค. ณ ลานด้านหน้าองค์พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ (ดูรายละเอียดกำหนดการได้ที่เว็บไซต์ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย www.kstm.or.th)
พุทธมณฑล ได้รับการรับรองให้เป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาโลก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดรับโครงการพัฒนาพุทธมณฑลไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ทุนเล่าเรียนหลวงเกิดขึ้นได้อย่างไร
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยขึ้น เมื่อปี 2546 และพระราชทานทุนประเดิมเริ่มแรกในปี 2547 เพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้มีโอกาสศึกษาพุทธศาสนาขั้นสูงจากสถาบันพุทธศาสนาในประเทศ อันได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และกองบาลีสนามหลวง
พระพรหมบัณฑิต เล่าว่า ในช่วง 15 ปีแรกของโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จะเป็นเรื่องการเล่าเรียน โดยส่งเสริมการศึกษาเป็นหลัก ได้แก่ ทุนการศึกษาบาลี และการศึกษาระดับอุดมศึกษา พอมาถึงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอด จากการดำเนินการด้านการศึกษา ขยายไปสู่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านหลากหลายกิจกรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง รวมถึงการอบรมศีลธรรมให้แก่เยาวชน
ปัจจุบัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่ได้จำกัดเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น โดยฆราวาส และแม่ชี ก็มาเรียนได้ เช่น หลักสูตรบาลีศึกษา หลักสูตรธรรมศึกษา และการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะปริญญาโทและเอก ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งก็เปิดรับพระสงฆ์จากต่างประเทศด้วย
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ได้ให้ทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไปแล้ว กว่า 12,000 ทุน แบ่งเป็นทุนอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ประมาณ 5,000 ทุน นอกจากนั้นเป็นทุนอื่นๆ เช่น พระวิปัสสนาจารย์ พระนักเทศน์ และพระธรรมจาริก