ย้อนประวัติศาตร์ศิลปะไทย 5 ยุค
MUSEUM MANIA เปิดเรื่องราวและคุณค่าประวัติศาตร์ศิลปะไทย 5 ยุค
ผ่านไปแล้วสำหรับนิทรรศการประมูล MUSEUM MANIA ที่ได้พาทุกคนเดินทางไปสู่บรรยากาศของพิพิธภัณฑ์ชั้นนำระดับชาติ นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์และคุณค่าของงานศิลปะไทย โดยแบ่งออกเป็น 5 ยุคตามลำดับเวลา คือ

ยุคที่ 1 สยามศิวิไลซ์และความสัมพันธ์กับศิลปินยุโรป
หลังการแผ่ขยายอิทธิพลของชาติตะวันตกโดยเฉพาะจากยุโรปมาสู่เอเชีย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่างไทยโบราณซึ่งเคยทำงานศิลปะเพื่อเชิดชูและตอบสนองความต้องการของวัดและวัง ใกล้ชิดกับความเชื่อ ภูมิปัญญา ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้รับอิทธิพลจากองค์ความรู้และธรรมเนียมปฏิบัติสมัยใหม่ได้พัฒนาเรียนรู้แนวคิดของการทำงานศิลปะแบบตะวันตก
หลังเสด็จประพาสยุโรป ในช่วงปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซื้อผลงานศิลปะจากศิลปินตะวันตกจำนวนมาก ทั้งยังว่าจ้างศิลปินและสถาปนิกจากต่างประเทศให้มาทำงานในราชสำนัก
สถาปนิกและศิลปินจากยุโรปที่มีบทบาทในสังคมสยาม รวมถึง กาลิเลโอ คินี มัณฑนากร จิตรกร และประติมากร ผู้วาดภาพตกแต่งเพดานโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม คาร์โล ริโกลี จิตรกรผู้วาดภาพตกแต่งภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม วังบางขุนพรหม และพระอุโบสถวัดราชาธิวาส และ คอร์ราโด เฟโรชี (ศิลป์ พีระศรี) ประติมากรผู้ปั้นพระบรมรูปของรัชกาลที่ 6 และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร
ศิลปิน นายช่าง และสถาปนิกชาวยุโรปกระตุ้นให้เกิดการนำเข้าองค์ความรู้ทางศิลปะถ่ายทอดไปสู่ประชาชนชาวไทย เกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน ประยุกต์ใช้ศิลปะตะวันตกโดยศิลปินไทยเพื่อนำตอบรับพระราโชบายของราชสำนัก และกลายเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะสมัยใหม่ของประเทศในเวลาต่อมา

ยุคที่ 2 บุกเบิกการเรียนรู้และสร้างสรรค์ศิลปะของประเทศไทย
ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการก่อตั้งโรงเรียนเพาะช่าง เป็นโรงเรียนศิลปะแห่งแรกส่งเสริมและสืบสานศิลปะแนวประเพณี เทคนิคช่างสิบหมู่ และมีการเรียนการสอนศิลปะแบบตะวันตกเพิ่มเติมด้วย พ.ศ. 2486 เมื่อมหาวิทยาลัยศิลปากรเปิด นักเรียนเพาะช่างจำนวนมากได้เข้ามาศึกษาต่อและหลายท่านเป็นรากฐานสำคัญในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยด้วย
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ชนชั้นนำในประเทศไทยได้เดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศทั้งด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะ และการออกแบบ บางคนแม้ไม่ได้ศึกษาโดยตรง แต่มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีโลกทัศน์ในการชื่นชมศิลปะอย่างชาวตะวันตกจึงได้นำความรู้กลับมาพัฒนาต่อยอด จนกลายเป็นศิลปินทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นมากมาย
ทั้งยังมีศิลปินจากต่างประเทศเข้ามามีบทบาทสร้างสรรค์ผลงานในแวดวงสังคมไทย และมีศิลปินผู้บุกเบิกก่อร่างสร้างศิลปะสมัยใหม่ในประเทศ โดยอาศัยการฝึกฝนและเรียนรู้นอกห้องเรียน นอกสถาบันการศึกษาศิลปะ สร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัว ฝ่าฟันอุปสรรค จนกระทั่งได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งในและนอกวงการ

ยุคที่ 3 จากโรงเรียนประณีตศิลปกรรมสู่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คอร์ราโด เฟโรชีได้รับมอบหมายให้เปิดโรงเรียนสอนศิลปะแบบตะวันตกให้กับประชาชนชาวไทย โดยต่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้นมาและรวมเข้ากับโรงเรียนนาฏ ดุริยางคศาสตร์ ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนศิลปากร ภายหลังยกระดับขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
คอร์ราโด เฟโรชีภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ศิลป์ พีระศรี มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนการสอนศิลปะร่วมกับคณาจารย์และนักปราชญ์ด้านศิลปะของประเทศไทย ลูกศิษย์ของท่านกลายเป็นศิลปินที่บุกเบิกสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสมัยใหม่ นำหลักการและแนวคิดทางศิลปะตะวันตกเข้ามาประยุกต์และผสมผสานกับการสร้างสรรค์ศิลปะของตนเอง หลายท่านยังมีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ
ศิลปะไทยในยุคนี้เป็นลักษณะผสม (hybrid) โดยการหยิบเรื่องราวทางวัฒนธรรมและประเพณีมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์

ยุคที่ 4 สืบสานปณิธานศิลป์ พีระศรี
หลังจาก ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2505 ศิลปินหัวก้าวหน้าจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากรสร้างสรรค์ผลงานในแนวสมัยใหม่ที่หลากหลาย น่าสนใจ และแปลกใหม่
ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2519 ศิลปะแบบสัจสังคมนิยม (Socialist Realism) ได้ปรากฏให้เห็นมากขึ้น ควบคู่กับแนวคิดศิลปะเพื่อชีวิต และการสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อการรณรงค์ การประท้วง และการเรียกร้อง หวังผลในเชิงท้าทายและต่อต้านกระแสศิลปะเพื่อศิลปะ
อีกแนวทางศิลปะที่พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนในสังคมไทยคือ ศิลปะในรูปแบบของการสืบสานอัตลักษณ์ ทั้งเชิงรูปแบบและเนื้อหาจากประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น บอกเล่าภาพลักษณ์ “ความเป็นไทย” สู่สายตาชาวต่างชาติ
วงการศิลปะเกิดเวทีการประกวดที่ให้ความสำคัญกับผลงานจิตรกรรมแบบรากฐานของประเพณีไทยดั้งเดิม มีการจัดตั้งภาควิชาศิลปไทยในคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อส่งเสริมงานสร้างสรรค์ในลักษณะไทยประเพณีและลักษณะไทยสร้างสรรค์ แนวทางที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีได้ปลูกฝังไว้ได้นำมาพัฒนาต่อยอดให้ศิลปะประเพณีไทยสามารถสื่อสารในบริบทของสังคมร่วมสมัยมากขึ้น ศิลปินสามารถเลือกทำงานได้ทั้งในเชิงอนุรักษ์ สืบสานจากแนวทางดั้งเดิม หรือว่าจะพัฒนาสู่แนวทางการสร้างสรรค์เฉพาะตัวที่ถ่ายทอดความเป็นไทย

ยุคที่ 5 ความหลากหลายจากโลกาภิวัตน์ ร่วมสมัย และยุคแห่งดิจิทัล
นับตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2530 จวบจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมากมาย
ในช่วงปี พ.ศ. 2540 กับวิกฤตต้มยำกุ้ง วงการศิลปะของไทยได้รับผลกระทบ ความเฟื่องฟูของตลาดศิลปะและผลงานในแนวคอนเซ็ปชวลอาร์ตพบกับโจทย์ความท้าทาย
กระแสศิลปะร่วมสมัยที่คำนึงถึงปัญหาในเชิงสังคมอันหลากหลาย การวิพากษ์วิจารณ์ศิลปะกระแสหลักเติบโตขึ้นพร้อมกับพื้นที่และชุมชนทางศิลปะใหม่ ๆ ปัญหาสังคมและความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้ศิลปินรุ่นใหม่แสวงหาอิสรภาพและทางออกใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์
อีกทั้งโรคระบาดและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ ได้พลิกโฉมวงการศิลปะ ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานในเทคนิคหลากหลาย เชื่อมโยงแนวความคิดและเทคนิคการทำงานเข้ากับกระแสความเป็นนานาชาติ ชี้นำสังคมและกระตุ้นความสนใจของนักสะสมด้วยภาษาทางศิลปะอันเป็นสากล หลายคนประยุกต์ใช้หรือหยิบยืมแนวทางศิลปะนอกกระแสมาสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการศิลปะร่วมสมัยกระแสหลักได้อย่างน่าสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นการพลิกผันแนวทางศิลปะบนท้องถนน ศิลปะแบบป็อปอาร์ต ศิลปะแบบของเล่น (Toy Art) ศิลปะเชิงภาพประกอบ (Illustrative Art) ศิลปะดิจิทัล NFTs ให้กลายเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้ดูและนักสะสม กลายเป็นกระแสความนิยมที่สะท้อนทิศทางของตลาดศิลปะในยุคที่ผันแปรไปกับกระแสของโลกออนไลน์ดังเช่นในปัจจุบัน
