"คุยข้างจอ" จากจอหนังกลางแปลงสู่เวทีคอนเสิร์ตกับ ป๋าเต็ด ยุทธนา
ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ถือได้ว่าเป็นคนในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เกิด “คุณพ่อทำงานเป็นคนฉายหนังกลางแปลง ขับรถไปจอดกางจอฉายแล้วขายยา เขาเรียกหนังขายยา คุณพ่อเป็นโฆษกแล้วก็พากย์หนังด้วย ตอนเด็กเราก็ติดรถไปกับคุณพ่อ...
เราก็ได้เรียนรู้เรื่องการตลาดว่าพอหมดฟิล์มม้วนแรกเขาก็ต้องขายยา ซึ่งฟิล์มม้วนแรกยาที่ขายก็จะเป็นชุดใหญ่แพงๆ อย่างยาหม่องตลับใหญ่ จนม้วนสุดท้ายเหลือตลับละสองบาท ทำให้เรารู้ว่า อ๋อ การตั้งราคาต้องเอาคนที่มีกำลังซื้อมากก่อนมาซื้อไป คนที่มีกำลังซื้อน้อยซื้อไม่ได้ เขาตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว พอมีราคาที่เขาซื้อได้เขาจะตัดสินใจทันที ใช้จนถึงทุกวันนี้ ทำคอนเสิร์ตบัตรแพงต้องโปรโมทบัตรแพงก่อน แต่บัตรแพงทุกอย่างดีหมด คนซื้อไม่ไหวค่อยซื้อบัตรราคาถูกลงไป”
เวลาอยู่บ้าน ก็ได้ความรู้เพิ่มจากหนังสือ “ที่บ้านเป็นร้านขายหนังสือ เราก็ชอบอ่านหนังสือ แม่สอนให้อ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเวลาไม่ได้ไปอยู่กับหน่วยขายยา เขาก็มีหน้าที่ต้องเดินทางไปตามจังหวัดต่างๆ เหมือนกับเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ ขึ้นรถไฟไป พ่อก็จะซื้อหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คอ่าน พอกลับมาบ้านก็ทิ้งไว้ที่บ้าน ทำให้เราค่อนข้างอ่านหนังสือโตเกิน คุณพ่อเป็นสมาชิกนิตยสารคู่แข่ง ที่พูดเรื่องมาร์เก็ตติ้ง เรื่องโฆษณา ทั้งหมดนี้ปลูกฝังให้เรามองทุกอย่างแบบไม่ใช่เป็นแค่คนดู มองแบบเป็นคนที่จะทำงานออกมาเพื่อให้คนอื่นดูด้วย ที่บ้านบอกเลยว่าอย่างนี้ต้องเรียนสื่อสารมวลชน...
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ทั้งความรู้และโอกาส “พอเข้าไปเรียนนิเทศ เขาก็บอกเรา คอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีหลักวิชาการรองรับ แต่ว่าพูดเหมือนเท่ จริงๆ อยู่ในนิเทศก็ไม่ได้เข้าห้องเรียนเท่าไหร่เพราะมีกิจกรรมเยอะ ก็ทำให้เราได้ฝึกการทำงานเพื่อที่จะเอาไปนำเสนอให้กับคนอื่นๆ เช่น งานรับน้องเราก็ต้องคิดว่าบนเวทีมีการแสดงอะไรบ้าง น้องจะชอบอะไร ทำยังไงงานถึงจะสนุก จนตอนปีสามไปฝึกงานที่แกรมมี่ ฝึกแผนกคอนเสิร์ตก่อนเลย ฝึกกับพี่เจือ (สันติสุข จงมั่นคง) พี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) แบบเบิร์ดเบิร์ด ตอนจะบินไปให้ไกลสุดขอบฟ้า...
ตอนนั้นพี่เจือซึ่งเป็นคนดูแลคอนเสิร์ตทั้งหมดของแกรมมี่ เขามาดูละครเรื่องเจ็ดซามูไร แล้วเขาชอบ ก็เลยเรียกทีมงานทั้งหมดมาคุยให้ไปฝึกงานที่แกรมมี่ ตอนนั้นเราก็เลือกคอนเสิร์ต ด้วยความที่ตอนนั้นคอนเสิร์ตเป็นเรื่องใหม่ของบ้านเรา เพิ่งเริ่มในยุคพี่นิน (ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์) ที่ทำให้คอนเสิร์ตเป็นคอนเสิร์ต โชคดีตรงที่ว่า พี่เล็ก เลือกเราไปเป็นเบ๊ นั่งข้างพี่เล็กตลอด คอยจด คอยซื้อกาแฟ ซื้อบุหรี่ แต่ว่าด้วยหน้าที่ที่เหมือนไม่มีความสำคัญ แต่เป็นเบ๊ของพี่เล็กซึ่งเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างตั้งแต่ครีเอทีฟไปจนถึงวันโชว์ เป็นเหมือนผู้กำกับของคอนเสิร์ต
ทำให้ได้เห็นทุกกระบวนการของคอนเสิร์ต “อ๋อเขาทำอย่างนี้ เขาวางคอนเสปต์ เขาเอาเพลงมาเรียงกัน ลองคิดกิมมิกใส่เข้าไปในแต่ละช่วง เสร็จแล้วก็ซ้อม ตามไปดูพี่เบิร์ดซ้อม กว่าจะออกแบบท่าเต้นมาเป็นท่านี้ แก้ไขอย่างไร เราได้ยินคอมเม้นต์หมดตอนเขาแก้ว่าอันนี้ดีไม่ดีอย่างไร คือ ถ้าคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์มีมหาวิทยาลัยเหมืองแร่ เรามีมหาวิทยาลัยแบบเบิร์ดเบิร์ด สอนเราทุกอย่างที่เราได้ใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้”
ด้วยความที่ทำกิจกรรมเยอะ เวลาเรียนไม่พอจึงรีไทร์ “พอไม่จบก็เลยมาทำงานที่แกรมมี่ ไม่ได้ทำฝ่ายคอนเสิร์ต ไปทำงานด้านทีวีเพราะเราเรียนวิทยุโทรทัศน์ อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นยังอยากทำหนังอยู่ เรารู้สึกว่าทีวีใกล้เคียงกับหนัง แต่พอทำแล้วเงินไม่พอใช้ก็เลยไปสมัครเอไทม์ เขาให้จัดตอนดึกๆ ที่ไม่ค่อยมีใครฟัง ก็ให้ใครจัดก็ได้ พี่ฉอดก็เลยให้เราไปจัด ก็สนุก กลายเป็นอาชีพใหม่ที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นดีเจ แต่พอนึกย้อนกลับไปเราก็อยู่กับคุณพ่อซึ่งเป็นโฆษกเป็นคนพากย์หนังมาตลอด สิ่งเหล่านี้คงอยู่ในสายเลือดของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว”
แล้วการทำรายการวิทยุก็นำเรามาสู่การจัดคอนเสิร์ต “ทำวิทยุไปสักพักก็ได้มาเป็นผู้บริหารต้องคอยดูแลเรื่องธุรกิจของวิทยุด้วย ก็เลยเกิดการทำอีเวนท์ เพื่อโปรโมท เริ่มจากกรีนคอนเสิร์ตแบบเล็กๆ ของเบิร์ดกับฮาร์ท กลายเป็นประเพณีว่าทุกปีจะต้องมีกรีนคอนเสิร์ต สำหรับคนฟังกรีนเวฟ ของคลื่นฮอตเวฟเราก็เริ่มทำฮอตเวฟ มิวสิกอวอร์ด...
เราก็เริ่มประกวดวงดนตรีมา เราก็คิดให้มันสนุกยิ่งขึ้น ก็นึกถึงฟุตบอล เรามาจากโรงเรียนสวนกุหลาบ จะมีบอลจตุรมิตรทุกปี เพราะความเป็นสถาบันทำให้เราเชียร์ใครก็ได้โดยไม่ต้องรู้จักกัน ก็เลยมีกติกาคือ ทุกคนต้องเรียนโรงเรียนเดียวกัน ตั้งวงดนตรีขึ้นมา เวลาประกวดใส่ชุดนักเรียน ซึ่งสองข้อนี้ตอบโจทย์ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของฮอตเวฟมิวสิกอวอร์ด พูดได้เลยว่าที่เราเห็นวงดนตรีในวงการตอนนี้ วงดังๆ เกินครึ่งผ่านการประกวดนี้มา บอดี้สแลม ลาบานูน สล็อตแมชีน ลุลา 25 hours แสตมป์”
จากฮอตเวฟ ถึงแฟตเรดิโอ “จัดงานแฟตเฟสติวัล ทีเชิ้ตเฟสติวัล พอแฟตประสบความสำเร็จ คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ก็โทรศัพท์เรียกตัวกลับมาทำค่ายสนามหลวง ในที่สุดก็มาทำบิ๊กเมาเท่นมิวสิกเฟส เป็นเป็นคนทำอีเวนท์เต็มตัว แกรมมี่ก็เลยตั้งแผนกชื่อว่าเกเรขึ้นมา”
จนมาถึงวันนี้ที่ก่อตั้งบริษัทแก่น กับเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม “เราเริ่มรู้สึกว่าอายุปีหน้าจะห้าสิบแล้ว มีสิ่งที่ฝันไว้แล้วอยากจะทำเยอะแยะไปหมด เริ่มรู้สึกว่าถ้าไม่วางแผนเราจะไม่ได้ทำนะ เราก็เลยต้องมานั่งคิดว่า อะไรที่เราอยากทำที่สุด เราเดินทางไปดูเทศกาลดนตรีต่างประเทศบ่อย เห็นงานโน้นงานนี้แล้วก็รู้สึกว่าทำไมประเทศไทยไม่มีมิวสิกเฟสระดับนั้น ระดับที่สามารถดึงคนทั่วโลกมาที่บ้านเราได้ทั้งๆ ที่โลเคชั่นของประเทศไทยเป็นป็อปปูล่าร์ เดสติเนชั่นของคนทั้งโลกอยู่แล้ว...
เราได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางของเซาธ์อีสต์เอเชีย เรามีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย เราก็แค่สร้างอีเวนท์ที่ดี แมเนจดีๆ มีศิลปินที่ดีให้เกิดขึ้น เขาก็น่าจะมาบ้านเรา เราก็น่าจะชนะฟูจิร็อค ซัมเมอร์โซนิค ซึ่งเป็นงานระดับเอเชียได้ วันนึงเราอาจจะมีชื่อไปเทียบชั้นกับงานระดับโลกอย่างทูมอร์โร่ว์แลนด์ อย่างแกสตันบิวรี่ได้...
ปัจจุบันนี้นักลงทุนคือคนหนุ่มๆ ก็ต้องทำบิสเนสโมเดล เหมือนมาหุ้นกับเราจัด มันคือการลงทุน ไม่ได้แปลว่าการยืมเงิน สิ่งหนึ่งที่คนนอกวงการโชว์บิสจะไม่รู้ก็คือว่า การลงทุนที่เห็นผลตอบแทนไวที่สุดคือโชว์บิสเนส ถ้าปีแรกๆ กำไรมันยังไม่ได้มีมากมาย สิ่งที่เขาทำได้ก็คือเขาใช้โชว์บิสตัวนี้ไปให้เป็นประโยชน์ในธุรกิจของเขา นี่คือเสน่ห์ของโชว์บิส
แต่ข้อเสียของมันก็คือถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลยนะ เราเคยเจ๊งมาในสเกลต่างๆ กัน แต่เราเป็นคนโดนรีไทร์ ดังนั้นเราเฉยๆ มากกับเรื่องความผิดพลาด และโดยวิธีการลงทุนก็ต้องมีสัญญามีวิธีการที่ทุกคนต้องเข้าใจว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ซึ่งนักลงทุนเขาเข้าใจดี ส่วนตัวเราเองไม่กลัวเพราะเราถือว่า เราจะได้ความรู้เพิ่มเติม มันทำให้เราเก่งขึ้น
เราจะไม่เริ่มต้นด้วยงานพันล้านทันทีหรอก มันต้องค่อยๆ โต และลูกก็ไปทำต่อ เพราะลูกเขาบอกเขาอยากทำอะไรอย่างนี้”