จิบค็อกเทลกลิ่นอายไทยชมวิววัดโพธิ์ที่ Nuss Bar
ทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ นั้นเรียกได้ว่าสวยงามและมีเอกลักษณ์ไม่แพ้เมืองหลวงชาติใดในโลก โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมแบบเก่าปนใหม่และวัดวาอารามในเขตเมืองเก่าที่สวยแบบงามพิศ ยิ่งเพ่งยิ่งสวยและมีเสน่ห์ ถ้าค่ำนี้อยากชมความสวยงามแบบไทย ๆ แบบยาว ๆ พร้อมจิบเครื่องดื่มรสละมุนที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างประณีตขอให้ตรงไปที่ Nuss Bar บาร์ขนาดกระทัดรัดที่เพิ่งเปิดใหม่บนนถนนมหาราช ตรงข้ามวัดโพธิ์พอดิบพอดี
Nuss Bar (นุส บาร์) อยู่ชั้นล่างของร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง นุสรา ที่เพิ่งย้ายจากเมรัยในซอยข้าง ๆ มาตั้งในตึกแถวเก่าริมถนน โดยชื่อของบาร์มาจากชื่อเล่นของคุณยายนุสรา ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักของ เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เจ้าของร้าน ในส่วนของบาร์ที่แยกออกมาต่างหาก (แต่ก็เสิร์ฟดริงค์ให้กับห้องอาหารด้วย) เป็นผลงานของบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีเจ้าของรางวัลมากมายอย่าง หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ ที่นักดื่มน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาและฝีไม้ลายมือกันดีจาก Backstage Cocktail Bar (ปิดไปแล้ว), Find the Locker Room ที่ทองหล่อ, Find the Photo Booth (อยู่ในระหว่างหาโลเกชันใหม่) และล่าสุด Mahaniyom Cocktail Bar ย่านบางรัก
การเดินผ่านย่านขายยาหม่องและมุนไพรไทย ลูกเต๋าวงไฮโล ราวแขวนกางเกงช้าง และร้านกาแฟคาเฟ่ประดามีมาเจอ Nuss Bar เป็นเหมือนเซอร์ไพรส์ที่ทำให้อดผลักประตูเข้าไปนั่งหน้าบาร์ไม่ได้ บาร์ขนาดเล็ก (ส่วนที่เป็นบาร์ก็กินพื้นที่จะครึ่งหนึ่งของร้านแล้ว) มีเก้าอี้สูงสำหรับนั่งหน้าบาร์ และโต๊ะกลมเล็กวางเรียงตามแนวหน้าต่างขนาดใหญ่ มองออกไปเห็นความสวยงามของวัดโพธิ์ได้อย่างชัดเจน ภายในร้านตกแต่งด้วยสีแดงหมากสุกตัดด้วยสีทองสะดุดตา ให้ความรู้สึกทั้งหรูหราและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน
มาถึงเครื่องดื่มกันบ้าง นอกจากเมนูคลาสสิกที่มียืนพื้นแล้ว คุณหนึ่งยังมีซิกเนเจอร์ค็อกเทลสี่ตัวที่นำค็อกเทลคลาสสิกมาปรับสูตร ผสมวัตถุดิบแบบไทยเพื่อให้ได้รสชาติและมิติที่ต่างออกไปโดยยังคงเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มต้นแบบไว้ได้อย่างครบถ้วน ที่บอกว่า “วัตถุดิบแบบไทย” อย่าเพิ่งหน้าเบื่อและคิดถึงแต่ข่าตะไคร้ใบมะกรูด ของดีจากไทยที่นำไปใส่ในค็อกเทลให้อร่อยได้มีมากกว่านั้น!
ตัวแรกคือ Palm Daiquiri ที่ได้แรงบันดาลใจจาก daiquiri หวานเปรี้ยวจัดจ้านที่คุณหนึ่งนำมาทำให้ละมุนขึ้นด้วยน้ำตาลสดจากเพชรบุรี ที่เมื่อบวกกับมะนาวและไวท์รัมแล้วออกมาลงตัว นุ่มนวล ไม่หวานหรือเปรี้ยวโดด ดื่มเป็นแก้วแรกเรียกความสดชื่นได้ดี
ต่อมาคือ Pomelo Paloma ที่เปรี้ยวสดชื่นด้วยน้ำส้มโอจากแม่กลอง ดรายเวอร์มูธ และเตกิล่าผสมกับใบผักชีด้วยกรรมวิธีปั่นแล้วแยกน้ำ (ที่เรียกว่า Justino) เพิ่มความซาบซ่าด้วยโซดา และรสชาติกระแทกปากของพริกเกลือติดขอบแก้ว จิบแรกอาจรู้สึกถึงความเปรี้ยวอมฝาดของส้มโอ และความหอมสะอาดเขียว ๆ ของผักชีจาง ๆ แต่เมื่อได้พริกเกลือ (รสชาติแบบรถเข็นผลไม้ที่ถูกต้อง) เข้าไปด้วยแล้วออกมากลมกล่อมมาก หมดแก้วได้ไม่รู้ตัว
สายแข็งต้องสั่ง 3 Friends Negroni ที่เป็นการเอาผลไม้สามชนิดใน “น้ำสามเกลอ” มาล้อกับสปิริตสามชนิดในสูตรดั้งเดิม นั่นก็คือจินที่นำไปผสมกระเจี๊ยบ เวอร์มูธผสมพุทราจีน และบิตเตอร์ลิเคียวร์ผสมมะตูม จิบแรกคือ Negroni ที่คุ้นเคย ตามมาด้วยรสของผลไม้แต่ละชนิดที่คุ้นเคยยิ่งกว่า เรียกว่าเป็นการสร้างมิติที่น่าสนใจและเป็นไทยมาก ๆ ให้กับค็อกเทลคลาสิกระดับโลก
สุดท้ายในเมนูคือ Cashew Sidecar ใช้บรั่นดี อะมาโร และน้ำมะม่วงหิมพานต์ที่รสชาติละม้ายมะม่วงกวน ผสมกันแล้วออกมาเป็น sidecar ที่หวานนำ มีบอดี้และกลิ่นมะม่วงกำลังเหมาะ แต่ไม่เลี่ยนติดคอ เปลือกส้มที่ลอยหน้ามายังช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดีด้วย ค็อกเทลทุกแก้วราคา 440 บาท (ไม่รวมค่าบริการและภาษี) และจะเปลี่ยนเมนูทุก ๆ สามเดือน
จิบค็อกเทลเม้ามอยนาน ๆ แล้วอาจจะเริ่มหิว Nuss Bar ยังมีของว่างขนาดจุ๋มจิ๋มสามรายการให้รองท้อง คือแคปหมูติดมันราดซอสพะโล้หวาน ๆ เค็ม ๆ (ราคา 89 บาท) หมึกหอมแดดเดียว (หรือสองแดดแล้วแต่วัน) ย่างเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซบ (ราคา 149 บาท) และฟรายส์หั่นด้วยมือเสิร์ฟพร้อมดิปรสมัสหมั่น (ราคา 89 บาท) แวบแรกนึกว่าจะเลี่ยนเพราะเป็นเมนูของทอดบวกเครื่องแกง แต่ปรากฎว่าออกมาดีเกินคาดกับมันฝรั่งชิ้นอวบทอดกรอบแบบไม่อมน้ำมัน เข้ากันได้ดีกับดิปที่มีกลิ่นรสของมัสหมั่นชัดเจน
Nuss Bar เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันอังคารตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ที่ร้านไม่มีที่จอดรถแต่สามารถใช้บริการที่จอดรถริมถนนได้ การเดินทางหลบรถติดที่สะดวกคือลงรถใต้ดินสถานีสนามชัย เดินเลียบรั้วมิวเซียมสยามมาเลี้ยวขวาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพนิชยการ แล้วเดินต่อไปทางวัดโพธิ์อีกราวสองร้อยเมตรเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊คเพจ