8 เหตุผล ที่คุณควรมีสัตว์เลี้ยงซักตัว
การมีเพื่อนร่วมทางขนฟูอาจทำให้ชีวิตดีขึ้น นอกจากจะได้เพื่อนแล้ว ยังมีประโยชน์บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านอีกด้วย แล้วจะเลี้ยงอะไรดีล่ะ สัตว์เลี้ยงยอดนิยมก็คือสุนัข (ถ้าในบ้านมีเด็กเล็กหรือคนแก่อาจเลี้ยงหมาพันธุ์เล็กก็ได้) แมว (อาจเป็นแมวไทยเพราะหาซื้อง่าย) นก ปลา หนูแฮมสเตอร์ มด หนูตะเภา กระต่ายหรือไม่ก็เต่า มาดูกันว่าเหตุผล 10 ประการที่ว่าทำไมการมีสัตว์เลี้ยงจึงดีต่อสุขภาพกายใจ

1. ช่วยสร้างความสัมพันธ์
ข้อดีที่คนอาจมองข้ามจากการมีสัตว์เลี้ยงคือคุณจะมีเรื่องคุยกับคนอื่นเสมอ การมีสัตว์เลี้ยงช่วยให้คุณติดต่อกับคนรักสัตว์คนอื่น ๆ ได้ อย่างไม่เคอะเขินแม้ว่าจะเป็นคนไม่กล้าแสดงออก อย่างน้อยคุณก็หาจุดเริ่มต้นในการพูดคุยได้ โดยเริ่มจากแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงที่และเทคนิคการฝึกอบรมนี่แหละ
2. ทำให้สุขภาพดีขึ้น
การมีสัตว์เลี้ยงช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาสุนัขไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หน้าที่ที่ต้องติดตามเพื่อนขนยาวจะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายทุกวันทางอ้อม
3. ช่วยต่อสู้กับอาการแพ้

สัตว์เลี้ยงสามารถช่วยต่อสู้กับอาการแพ้ได้ เด็กที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์อื่น ๆ มักจะพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น แม้แต่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ใหญ่ก็จะดีขึ้นหลังจากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เป็นระยะเวลาหนึ่ง และสามารถต้านทานสารระคายเคืองอื่น ๆ ได้
4. เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและหัวใจ
การมีสัตว์เลี้ยงจะช่วยให้ฟื้นตัวจากปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้เร็วขึ้น ความดันโลหิตลดลงและโอกาสที่จะหัวใจวายโดยรวมลดลง การพาสุนัขหรือแมวไปเดินเล่นกลางแดดทุกวันจะเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกได้ด้วยการสัมผัสกับวิตามินดี
5. ยกระดับอารมณ์

ในแต่ละวันที่ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ ภายนอกบ้าน จะมีอะไรดีกว่าการกลับบ้านมาเจอเพื่อนที่กระดิกหางหรือเจ้าตัวเล็กที่เดินมาคลอเคลียหลังจากที่รอเรามาทั้งวันอีก การมีสัตว์เลี้ยงเพื่อความเสน่หาและความสนใจสามารถช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ชีวิต
6. เหมาะสำหรับทุกวัย
เด็กที่สัมผัสกับสัตว์เลี้ยงช่วยลดโอกาสในการเกิดภาวะการหายใจและความผิดปกติของผิวหนัง เช่น โรคหืดและโรคเรื้อนกวาง กระบวนการนี้คล้ายกับการที่เด็กสามารถพัฒนาความต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้บางชนิดได้ แต่ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ การมีสัตว์เลี้ยงอยู่รอบ ๆ ช่วยทำให้ผู้สูงอายุเหงาน้อยลง และสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากโรคอัลไซเมอร์ การปรากฏตัวอย่างอบอุ่นของสัตว์เลี้ยงอาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวลน้อยลง

7. ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนสำหรับภาวะสุขภาพที่ร้ายแรง
สิ่งหนึ่งที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงหลายคนไม่รู้ก็คือสุนัขรับรู้สัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆได้ สุนัขบางตัวตรวจพบเมื่อเจ้าของกำลังจะมีอาการลมชัก ได้กลิ่นมะเร็งในตัวเจ้าของ ถึงกระนั้นสุนัขตัวอื่น ๆ ยังได้รับการสอนให้สังเกตสัญญาณของโรคพาร์คินสันหรือเบาหวาน
8. มอบความรักและมิตรภาพที่ไม่มีเงื่อนไข
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงคือการมีเพื่อนที่อบอุ่นกลับบ้านทุกวัน คุณจะมีเพื่อนร่วมทางเดินหรือเพื่อนคู่หูอยู่เสมอเมื่อคุณต้องการ

ก่อนที่จะรับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มาเลี้ยงที่บ้าน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นสัตว์ที่เหมาะสำหรับคุณและครอบครัว หาข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการเฉพาะของสัตว์แต่ละชนิดก่อน ประการแรก ถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองก่อนรับสัตว์เลี้ยง
- สัตว์ชนิดนี้จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน
- สัตว์เลี้ยงกินอะไร
- สัตว์เลี้ยงต้องออกกำลังกายมากแค่ไหน
- สัตว์เลี้ยงมีขนาดใหญ่แค่ไหน
- ค่าดูแลสัตว์เท่าไหร่
- มีเวลาเพียงพอในการดูแลและทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงหรือไม่
- สัตว์เลี้ยงชนิดนี้จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยแบบใดจึงจะมีสุขภาพดี
- สัตว์เลี้ยงชนิดนี้ต้องออกกำลังกายประเภทใด
- อพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์หรือไม่
- มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่ที่บ้านหรือไม่
เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคที่แพร่กระจายระหว่างสัตว์และคน (หรือที่เรียกว่าโรคจากสัตว์) สตรีมีครรภ์ยังมีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับสัตว์บางชนิด ก่อนที่จะรับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่โปรดคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน (เช่น เต่า กิ้งก่า งู) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (เช่น กบ คางคก) หรือสัตว์ปีก เนื่องจากเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยร้ายแรงจากเชื้อโรคที่เป็นอันตรายที่แพร่กระจายระหว่างสัตว์สู่เด็กเล็ก
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกและจัดการสัตว์เลี้ยง ปรึกษากับสัตวแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุด
- สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับเลี้ยงแมวตัวใหม่ เพราะน้องแมวมีพยาธิที่ทำให้เกิดโรคท็อกโซพลาสโมซิส แต่หากกำลังตั้งครรภ์และเลี้ยงแมวอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ขอให้งดการเลี้ยงแมวคอกใหม่เท่านั้นเอง
- สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะเพื่อป้องกันการสัมผัสกับไวรัสและเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลัน
ล้างมือเป็นประจำ
ไม่ว่าคุณจะเล่น ให้อาหารหรือทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง สิ่งสำคัญคือต้องล้างมือเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยจากเชื้อโรคที่สัตว์เลี้ยงนำติดตัวไปได้ หากคุณหรือสมาชิกในครอบครัวมีความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยให้ปรึกษาแพทย์
ล้างมือทุกครั้งเมื่อ:
- หลังจากสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง
- หลังจากให้อาหารสัตว์เลี้ยง
- หลังจากจัดการกับที่อยู่อาศัยหรืออุปกรณ์ของสัตว์เลี้ยง (เช่น กรงถัง ของเล่น จานอาหารและน้ำ)
- หลังจากทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง
- หลังจากออกจากพื้นที่ที่สัตว์อาศัยอยู่ (เช่น เล้า โรงนา คอกม้า) แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสสัตว์ก็ตาม หรืออาจจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อก็ได้
- ก่อนกินอาหารและเครื่องดื่ม
- ก่อนเตรียมอาหารหรือเครื่องดื่ม
- หลังจากถอดเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่เปื้อนแล้ว
- น้ำเปล่าและสบู่เหมาะที่สุดสำหรับการล้างมือ ผู้ใหญ่ควรช่วยเหลือเด็กเล็กด้วยการล้างมือเสมอ

ไม่ว่าคุณจะมีสุนัข แมว นกแก้ว หนูหรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสัตว์เลี้ยงและครอบครัวให้แข็งแรง การไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำสำคัญต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่ดี พูดคุยกับสัตวแพทย์เรื่องวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงให้แข็งแรง ให้สัตว์เลี้ยงกินอาหารที่ดี น้ำ ผ้าปูที่นอนที่สะอาดและออกกำลังกายมาก ๆ ติดตามการฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิและการควบคุมหมัดและเห็บของสัตว์เลี้ยง สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจเป็นพาหะนำเห็บที่แพร่กระจายโรคร้ายแรง เช่น โรคลายม์
การดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณให้มีสุขภาพดีจะช่วยให้ตัวเองและครอบครัวมีสุขภาพที่ดี ปรึกษาสัตวแพทย์หากมีคำถามเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์เลี้ยงหรือเมื่อสัตว์เลี้ยงป่วย
สอนเด็ก ๆ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์
สัตว์เลี้ยงทำให้เด็กเห็นอกเห็นใจและมีความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามเด็กอายุไม่เกิน 5 ปีควรได้รับการดูแลในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เพื่อความปลอดภัยของเด็กและสัตว์เลี้ยง สอนให้เด็กล้างมือทันทีหลังจากเล่นกับสัตว์หรือเมื่อเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของสัตว์ (เช่น กรง เตียง อาหารหรือจานน้ำ) อย่าปล่อยให้เด็กจูบสัตว์เลี้ยงหรือเอามือหรือสิ่งของอื่น ๆ เข้าปากหลังจากจับสัตว์
ผู้ใหญ่ควรดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับเด็กอายุ 5 ปีหรือต่ำกว่ามีการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ในฟาร์มรวมถึงสัตว์ในสวนสัตว์และงานแสดงสินค้า
credit ภาพประกอบหลัก โดย pexels.com